สักที่ที่มีความหมาย
เสน่ห์ของแสงเงาในไพรเวตสตูดิโอของ Tantai Tattooer ที่อยู่ด้วยความต่างและความเป็นตัวเอง
แรกเดินทางถึงสถานที่ตรงหน้า เราไม่คาดคิดว่าหลังกำแพงปิดทึบนี้จะมีอาคารทรงโปร่งที่ให้ความรู้สึกสบายตา สบายใจ ตัวอาคารเน้นโชว์โครงสร้าง ระหว่างกลางของพื้นที่ด้านนอกและด้านในกั้นด้วยกระจกใสเปิดให้แสงแดดส่องลอดเข้ามาอย่างอิสระ แต่กลับไม่รู้สึกถึงไอร้อนนักด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
หากจินตนาการตามคำกล่าว หลายคนอาจคิดว่าเรากำลังพูดถึงแกเลอรีหรือคาเฟ่สักแห่ง แต่ความจริงแล้วอาคารตรงหน้านี้คือ ‘ไพรเวตสตูดิโอสัก’ ของ แทนไท ชีวโศภิษฐ หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ Tantai Tattooer ช่างสักที่เคยสักให้กับแบมแบมและมาร์ก ต้วน 2 สมาชิกแห่งวง GOT7
ถ้าใครได้เข้าไปดูผลงานของแทนไทในช่องทางโซเชียลมีเดีย จะเห็นว่าผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นสีขาว ดำที่ดูมินิมอล มีการไล่เฉดสีอย่างเป็นธรรมชาติและเล่นกับแสงเงาบนรอยสัก ไม่ต่างจากสตูดิโอของเขาที่เล่นกับแสงเงาของธรรมชาติอย่างลงตัว
ช่วงบ่ายคล้อยวันหนึ่งที่ฝนตกพรำๆ แบบไม่ทันตั้งตัว เรานัดกับแทนไทเพื่อสนทนาถึงการทำร้านสักที่แตกต่างไม่เหมือนใคร บทสนทนาระหว่างเราชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าทั้งเวลาที่ฝนตก และช่วงเวลาฟ้าหลังฝนที่มีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามานั้นคล้ายกับการทำธุรกิจของแทนไทไม่น้อย
เป็นการทำธุรกิจที่หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไปที่จะขยาย แต่เขากลับวิ่งเข้าหาช่วงเวลาที่เหมาะสมของตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ซึ่งแม้จะมีทั้งแง่มุมที่สว่างและมืดมัวแต่กลับมีเสน่ห์ของตนเอง
แทนที่จะรอโอกาส ให้สร้างโอกาสของตัวเอง
แทนไทคลุกคลีในวงการสักมานานกว่า 9 ปี จากการเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ก่อนค้นพบว่าตนเองไม่ชอบทำงานโปรเจกต์ใหญ่ๆ และไม่ถนัดการทำงานเป็นทีม แต่ชอบทำงานที่จบเป็นชิ้นๆ ไป และเป็นงานที่ทำคนเดียวได้ ด้วยสไตล์การทำงานเช่นนี้ เขาจึงคิดว่าการเป็นช่างสักอาชีพน่าจะเหมาะกับเขาที่สุด
“ก่อนที่จะมาเปิดไพรเวตสตูดิโอ เราทำงานควบ 2 ที่ มีทั้งสักแบบไพรเวตที่บ้านของตัวเอง และมีร้านที่เราไปเปิดอยู่ชั้นบนของแกเลอรีแถวเจริญกรุง เราก็ชอบถามลูกค้าว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน หลายคนบอกชอบสักแบบไพรเวตที่บ้านมากกว่า เพราะดูสงบ เป็นส่วนตัว และคุยกับช่างสักได้แบบไม่เกร็ง ส่วนตัวเราก็ชอบสักแบบไพรเวตมากกว่า ทำให้มีสมาธิทำงาน และกล้าคุยกับลูกค้ามากกว่าด้วย”
ถึงแม้การสักแบบไพรเวตที่บ้านของแทนไทจะดูไปได้สวย แต่ในช่วงสถานการณ์ของโควิด-19 ที่ไม่สามารถเปิดร้านสักได้ เพราะไม่อยากให้ทั้งลูกค้าและสมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในบ้าน ต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อ แทนไทจึงตัดสินใจเปิดไพรเวตสตูดิโอแห่งนี้ขึ้น สวนทางกับคนทำธุรกิจหลายคนที่เลือกไม่เสี่ยงขยายธุรกิจหรือทำสิ่งใหม่ๆ ในช่วงที่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
แต่เขาคิดว่านี่แหละเป็นโอกาสที่เหมาะสม
“ช่วงโควิดร้านสักก็เปิดไม่ได้ เราเลยคิดว่างั้นใช้เวลานี้มาสร้างสตูดิโอดีกว่านอนรอเวลาอยู่เฉยๆ เพราะกว่าจะเปลี่ยนพื้นที่โล่งตรงนี้ที่เคยเป็นแค่สนามหญ้าให้กลายเป็นสตูดิโอสักได้ก็ใช้เวลานาน กว่าจะสร้างเสร็จพร้อมใช้งาน โควิด-19 ก็คงเริ่มซาลงแล้ว และลูกค้าจะได้มาใช้บริการที่นี่แทน”
แทนที่จะทำตามใคร ให้ทำตามสไตล์ของตัวเอง
แทนไทอยากให้ไพรเวตสตูดิโอสักยังให้ฟีลเหมือนบ้าน แต่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น และที่สำคัญคือสะท้อนความเป็น Tantai Tattooer มากที่สุด
“เราคิดว่าไพรเวตสตูดิโอนี้ไม่ลิงก์กับผลงานที่เราทำ แต่ลิงก์กับความเป็นตัวเรามากกว่า ที่เป็นคนอินโทรเวิร์ตระดับหนึ่ง พูดน้อย มีสเปซของตัวเอง เวลาให้คนเข้ามาที่นี่ก็เหมือนให้คนมาเรียนรู้ตัวเราด้วย มันเลยมีกำแพงจากข้างนอกที่มองมาจะไม่รู้เลยว่าข้างในเป็นอะไร
“แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาด้านในกลับเจอความดิบ ความเงียบ ขณะเดียวกันก็ยังเปิดรับภายนอกอยู่บ้าง จากการที่มีกระจกให้ได้ดูวิว เปิดรับแสงภายนอก บางทีแดดออกก็มีแสงสวยๆ ส่องเข้ามา ฝนตกก็จะได้ฟีลสงบร่มเย็นไปอีกแบบ เมื่อตกกลางคืนก็จะมีแสงจากไฟที่แต่งสวน ส่วนต้นไม้ก็มาจากที่เราอยากดูธรรมชาติ เห็นอะไรเขียวๆ บ้าง ถ้าไม่มีกระจกกับต้นไม้เราว่ามันก็จะดูทึบไปหน่อย”
“ส่วนวัสดุกับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในร้านไม่ได้มีเกณฑ์การเลือกเป็นพิเศษ แค่คิดว่าอันไหนเราชอบก็เอาอันนั้น แต่เราจะใส่ใจดีเทลเล็กๆ น้อยๆ เช่น texture และการ skim แสง ซึ่งมาจากงานสักของเราเองที่จะเน้นโทนสีขาว-ดำ เป็นงานแนวแบล็กแอนด์เกรย์ งานคลีน งานเล็กๆ ที่ใส่ใจเรื่องดีเทลเป็นพิเศษ และเน้นบิลต์อินให้เห็นโครงสร้างไปเลย ไม่มีการทาสีเพิ่ม เวลาคนเข้ามาที่นี่ ถ้าไม่บอกว่าเป็นของใคร เขาก็จะรู้ทันทีว่านี่เป็นไพรเวตสตูดิโอของ Tantai Tattooer เพราะดูเป็นตัวตนเรามากที่สุด”
แทนไทยังเล่าให้เราฟังอีกว่า คนที่สนใจมาสักมักไม่ได้ถูกดึงดูดด้วยคาแร็กเตอร์ของงานอย่างเดียว แต่ถูกดึงดูดจากคาแร็กเตอร์ของช่างสักด้วย เพราะการสักคือการใช้เวลาอยู่กับช่าง ไปดูว่าช่างทำงานยังไง ไวบ์เป็นยังไง จะได้ไม่อึดอัดเวลามาสักแล้วพูดคุยกัน
“คนที่เขามาหาเราเขาก็ชอบคาแร็กเตอร์เรา อย่างแบมแบมกับมาร์ก ต้วน GOT7 เขาเลือกไปสักกับใครก็ได้ แต่เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกมาสักกับเรา น่าจะเพราะคาแร็กเตอร์เรามันดันไปคลิกกับเขาด้วย แต่ก็มีคนที่มาสักกับเราแล้วไม่ชอบเรานะ เราก็ไม่ได้หวังให้ใครมาชอบเรา 100% แค่ชอบผลงานเราก็โอเค เราเข้าใจว่าทุกคนก็แตกต่างกันออกไป แค่ต้องหาช่างที่สไตล์เหมาะกับตัวเองและชอบผลงานของเขา”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกไม่ทำสตูดิโอสักเหมือนคนอื่นที่มักทำเป็นแทตทูช็อปที่มีบรรยากาศร้านแบบปิดทึบ มีแสงไฟสลัว นอกจากนี้แทนไทยังบอกอีกว่าลูกค้าของเขากว่า 80% ล้วนเป็นลูกค้าที่ไม่เคยสักมาก่อน แต่เลือกมาสักกับเขาเป็นครั้งแรก ด้วยบรรยากาศร้านที่ดูสบายๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด ก็ทำให้ถึงแม้ตอนแรกที่ลูกค้ามาจะยังกลัวการสัก แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายจะทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอีก และรู้สึกเหมือนได้มา take a break ถือว่าเป็นการ therapy แบบหนึ่งก็ว่าได้
รวมถึงการที่แทนไทเลือกเป็นช่างสักคนเดียวของร้าน โดยที่ไม่มีช่างสักคนเหมือนในแทตทูช็อปที่มีช่างสักหลายคน นั่นก็มาจากสไตล์การทำงานของเขาที่ชอบทำงานคนเดียว อยากให้ทั้งเขาและลูกค้ามีความเป็นส่วนตัว กล้าพูด กล้าคุยกันแบบไม่รู้สึกเกร็ง
“การที่มีช่างสักหลายคนก็มีข้อดี คือช่างจะได้โตไปด้วยกัน จากการเรียนรู้เทคนิคของกันและกัน แล้วพอมีช่างหลายคนร้านก็จะรับงานได้มากขึ้น กระจายงานได้มากขึ้น ธุรกิจก็จะโตไวขึ้น แต่ด้วยสไตล์เราเป็นแบบนี้ เลยขอเลือกทำเป็นไพรเวตสตูดิโอดีกว่า อาจโตช้าหน่อย แต่เรามีความสุขและสบายใจกว่า”
แม้แต่โลเคชั่นของร้านที่อยู่แถวฉิมพลี ก็ยังมาจากไลฟ์สไตล์ของแทนไทเอง ที่ไม่ชอบเข้าไปในเมืองที่รถติด ทั้งที่นี่ยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านและร้านสักเดิมที่เคยเปิดมากนัก จึงคิดว่าลูกค้าน่าจะเดินทางมาหาได้ไม่ยาก ประกอบกับแถวนี้ไม่ค่อยมีตึกสูงสักเท่าไหร่ ทำให้เขาสามารถดูวิว ชมท้องฟ้าแบบที่เขาชอบได้อย่างสบายตาและสบายใจ
แทนที่จะทำแค่ร้านสัก ให้มองถึงโอกาสในการต่อยอด
สไตล์ร้านที่ไม่เหมือนร้านสักแห่งไหนที่เคยมีมา ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่แทนไทอยากลบภาพจําความเป็นร้านสักในเชิงธุรกิจ แต่อยากให้เป็นสถานที่ที่ได้ปลดปล่อยจินตนาการ ให้ทั้งผู้ออกแบบและผู้ต้องการงานศิลปะได้ประสบการณ์และงานที่ชอบเกินความคาดหมายกลับไป
มากกว่าการทำไพรเวตสตูดิโอ เขาจึงอยากผลักดันสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสเปซที่ต่อยอดได้
“สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น อย่างแรกคือไม่น่าจะมีใครซื้อที่ขนาดนี้เพื่อทำร้านสัก ส่วนใหญ่ก็เช่าหรือทำร้านสักในบ้านของตัวเอง แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างของร้าน แต่เป็นเรื่องของการต่อยอดด้วย อย่างเรามีไพรเวตสตูดิโอของตัวเอง เราก็ทำเวิร์กช็อปได้ ทำอีเวนต์ได้ อยากทำโปรเจกต์อะไรบ้าๆ ก็ทำได้ พอมันต่อยอดได้ก็ไม่เหมือนแทตทูช็อปที่มาสักไปวันๆ แล้วก็จบไป”
แทนไทยังยกตัวอย่างโปรเจกต์ที่เพิ่งทำอย่างการสักตามลายสะบัดของกิ่งไม้ จากที่เขาเห็น Reel ในไอจีคลิปหนึ่ง ที่มีศิลปินสร้างงานศิลปะผ่านการเอากิ่งไม้มาตีที่ผ้าใบวาดภาพ
“ในอนาคตเราคิดว่าอยากคอลแล็บกับแบรนด์น้ำหอม สร้างกลิ่นสตูของเรา แล้วเราก็สักบนแพ็กเกจ หรือเอาเซรามิกมาปั้นที่นี่ก็ได้
นอกจากนี้แทนไทอยากทลายกรอบที่คนนิยามเกี่ยวกับงานศิลปะ เพราะเขาเชื่อว่างานศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด และไม่ควรไปสร้างกรอบให้กับมัน บางคนอาจคิดว่างานศิลปะต้องเกิดจากการใช้พู่กันกับสีโปสเตอร์ สีอะคริลิกเท่านั้น แต่ความจริงยังมีหลายอย่างที่น่าลอง เขากล่าวว่าต่อให้เอาไม้กวาดไปวาดรูปก็เป็นงานศิลปะได้ หรือต่อให้ลายกนกจะเบี้ยวก็สวยงามได้ถ้าอยู่ถูกที่ถูกทาง
“เรานึกถึงตอนที่หลานเราเคยวาดรูปลอยกระทง แล้วระบายสีท้องฟ้าเป็นสีดำ แล้วครูกับเพื่อนก็ถามว่าทำไมถึงระบายท้องฟ้าสีดำ มันมืด มันดูไม่สวย เขาก็ให้เหตุผลว่าเราต้องลอยกระทงตอนกลางคืน ท้องฟ้าถึงเป็นสีนี้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าศิลปะทุกวันนี้ยังมีกรอบอยู่บ้าง
“แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน อย่างงานสักสมัยก่อนจะมีแต่งานใหญ่ๆ งานสีดำ งานแนวญี่ปุ่น งานแนวชนเผ่า ผู้ใหญ่ก็จะมองว่าอย่าไปสักนะ มันดูเละเทะ แต่เดี๋ยวนี้มีลายสักเล็ก ดูน่ารักๆ มีสีสันมากขึ้น คนก็อคติกับการสักน้อยลง มองว่างานสักก็สวยนี่ เครื่องสักเมื่อก่อนจะเสียงดังๆ เดี๋ยวนี้ก็ดูเงียบลง ทำให้ช่างสักสมัยนี้ก็มีเยอะขึ้น ไม่แน่ว่าอีกหน่อยอาจมีคณะที่เปิดสอนเรื่องการสักเลยก็ได้”
แทนที่จะทุ่มทำการตลาด ให้สร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรงก่อน
สิ่งที่ทำให้ Tantai Tattooer ยืนระยะมาได้ถึง 9 ปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาจากที่แทนไทให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนดิ้งและสร้างความแตกต่างแบบไม่ทิ้งตัวตน
“พอเราเป็นตัวของเราเอง ทำอะไรที่มันต่าง ลูกค้าก็เข้ามาหาเราเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราไม่เคยยิงแอดด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ลูกค้ามาหาเราจากการบอกกันปากต่อปาก บางคนเห็นผลงานหรือคาแร็กเตอร์เราแล้วชอบก็มี
“เราว่ายุคนี้มันต้องแตกต่าง แต่เราต้องชอบมันด้วย ไม่ใช่แตกต่างแล้วฝืน ก็ดูพยายามเกินไป แล้วเราจะทำมันได้ไม่นาน ต้องหาอะไรที่น่าทำ แต่ยังไม่มีคนทำ คนถึงจะรู้สึกว่าน่าตื่นเต้น”
แทนไทยังเน้นย้ำกับเราอีกว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือเรื่องของ process เขาจะให้ลูกค้ามาช่วยกัน work งานไปด้วย เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะมีลายที่ชอบมาหรือมีแค่ไอเดีย แทนไทจะช่วยคิดว่างานนี้เหมาะกับดีเทลยังไง และควรวางรอยสักในตำแหน่งไหนถึงดูน่าสนใจและสวย
“เราเน้นไปที่การ consult และให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในงาน การมาสักกับเราจึงเน้นไปที่ process ระหว่างทางมากๆ เพราะรอยสักนี้จะอยู่บนตัวลูกค้าไปตลอด เราก็อยากให้เขาได้ลายที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา และเป็นลายที่เขาชอบมันจริงๆ แล้วเราค่อยมาทำให้ดูดี พอทำงานแบบนี้เราแฮปปี้ ลูกค้าก็แฮปปี้ไปด้วย”