Monster is in Details
คุยกับ Sticky Monster Lab ถึงดีเทลที่ทำให้ยืนหยัดอยู่ได้ทั้งในโลกคอมเมอร์เชียลและหัวใจแฟนคลับ
ในโลกศิลปะ เรารู้จัก Sticky Monster Lab ครั้งแรกเมื่อปี 2007 จากลายเส้นคาแร็กเตอร์มอนสเตอร์หลากสีดีเทลน้อยแต่มีเสน่ห์มัดใจคนได้ไม่ยาก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาต่อยอดเป็นอาร์ตทอยตั้งแต่ยุคที่คำคำนี้ยังแปลกใหม่ในวงการ มีสินค้าและงานศิลปะมากมายออกมาจำหน่ายให้เหล่าสาวกที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในโลกคอมเมอร์เชียล เหล่ามอนสเตอร์ของสตูดิโอแห่งนี้ได้รับเชิญไปคอลแล็บในโปรเจกต์ต่างๆ ทั้งกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดรวมถึงแบรนด์ระดับโลกอีกมากมาย
มาวันนี้หากใครเดินทางผ่านแยกเพลินจิตจะเห็น installation art ขนาดยักษ์ของ Sticky Monster Lab ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทางเข้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี และเมื่อสาวเท้าผ่านประตูเข้าไปก็จะพบกับเจ้ามอนสเตอร์กระจายตัวป่วนหัวใจผู้มาเยือนอยู่ตามจุดต่างๆ ภายในห้าง
เหล่ามอนสเตอร์ที่ว่ามาเป็นส่วนหนึ่งของงาน FUNNY LITTLE MESS: SEASON OF GIVING โปรเจกต์ต้อนรับคริสต์มาสและปีใหม่ที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซีชวน Sticky Monster Lab มาคอลแล็บเพื่อออกแบบกิจกรรมและ installation art ตามจุดต่างๆ โดยไฮไลต์ก็คือ FUNNY LITTLE PLAYGROUND สนามที่ไม่ใช่แค่เด็กเล่นบริเวณชั้น G

จากสิ่งต่างๆ ที่ไล่เรียงมาคงพอเห็นภาพว่าเหล่ามอนสเตอร์เดินทางมาไกลเพียงใด หากแต่คำถามที่เราคิดว่าน่าสนใจกว่าการเติบโตคือพวกเขาทำอย่างไรให้สตูดิโอยืนหยัดอยู่ได้ทั้งในโลกคอมเมอร์เชียลและหัวใจแฟนคลับ พวกเขาทำยังไงให้แม้เป็นงานที่รับใช้แบรนด์แต่แฟนคลับก็ยังพร้อมสนับสนุน
และที่ด้านข้างของบ่อบอลในโซน FUNNY LITTLE PLAYGROUND เราได้นั่งสนทนากับ Fla และ Boo สองผู้ร่วมให้กำเนิด Sticky Monster Lab เพื่อหาคำตอบของคำถามที่ว่าไว้
และต่อไปนี้คือรายละเอียดเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ในความสำเร็จเบื้องหน้า


เมื่อไม่มีกรอบ อะไรก็เป็นไปได้
แม้เราจะจดจำเขาในฐานะนักออกแบบคาแร็กเตอร์ แต่ขณะพูดคุยกับสองผู้ร่วมก่อตั้งสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ เขาพยายามจะไม่นิยามตัวเองด้วยบทบาทใดบทบาทหนึ่ง แต่หากจะมีคำสักคำที่ครอบคลุมพอจะอธิบายสิ่งที่ Sticky Monster Lab เป็น คำคำนั้นคือคำว่า ‘multidisciplinary creative studio’
พวกเขาไม่ใช่แค่คนออกแบบคาแร็กเตอร์ ไม่ใช่แค่คนคิดคอนเซปต์ ไม่ใช่แค่คนทำวิดีโอโมชั่น ไม่ใช่แค่คนทำนิทรรศการ ไม่ใช่แค่คนออกแบบผลิตภัณฑ์
พวกเขาทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ภายใต้โจทย์ที่ได้รับ

“ข้อดีของการนิยามตัวเองแบบนี้คือเราสามารถผลิต output ออกมาได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ออกมาได้หลากหลาย โดยไม่ได้ถูกจำกัดว่าจะต้องเป็นแค่ illustrator หรือ video graphic หรืออะไรบางอย่างเท่านั้น แต่ว่าเราสามารถทำออกมาได้หลายๆ รูปแบบ” Fla อธิบาย
และการทำงานได้หลากหลายรูปแบบก็เป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ Sticky Monster Lab เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแรงในมุมธุรกิจแม้จะมีคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน
“ยอมรับตามตรงว่าตั้งแต่แรกเราไม่มีความคิด เราไม่มีแพลนอะไรที่ยิ่งใหญ่หรือจะต้องทำอะไรขนาดนี้” Boo หันไปมองรอบๆ พื้นที่ขณะเว้นจังหวะในการเล่า “เราแค่เริ่มจากอะไรเล็กๆ แค่คุยกันว่าเรามาทำภาพคาแร็กเตอร์กันดีกว่า พูดตรงๆ ก็คือเราไม่คิดว่าวันหนึ่งมันจะเติบโตมาขนาดนี้ เราแค่มีวิชชั่นอยู่ตลอดว่าอยากจะเติบโตขึ้น”
สตอรีทำให้คาแร็กเตอร์ของเราแตกต่าง
ถ้าใครสังเกตเจ้า Redmon มอนสเตอร์สีแดงขนาดยักษ์ที่นั่งอยู่หน้าห้างจะพบว่ามันใส่ถุงเท้าข้างเดียว และเมื่อเดินเข้ามาในห้างบริเวณลาน Playground จะพบถุงเท้าอีกคู่


“คอนเซปต์ของงาน FUNNY LITTLE MESS: SEASON OF GIVING เริ่มจากการที่เราเห็นถุงเท้าที่แขวนไว้บนต้นคริสต์มาส เราก็คิดเล่นๆ ว่าถ้าเจ้ามอนสเตอร์ใส่ถุงเท้าแล้วอีกตัวขโมยถุงเท้า เรื่องราวอะไรจะเกิดขึ้น เราก็เลยสร้างสตอรีขึ้นมา เป็นเรื่องราวของ Elfmon ที่ขโมยถุงเท้าของ Redmon แล้วก็มีการแบบไล่ล่ากัน ตามจับกัน จนสุดท้ายทั้งสองก็ได้กลายเป็นเพื่อนกัน” Fla ย้อนเล่าถึงวิธีคิดงานพอให้เห็นภาพ
นอกจากความน่ารักที่สัมผัสได้ผ่านสายตา พวกเขายังให้ค่ากับการลงลึกกับเรื่องราวของเหล่ามอนสเตอร์
“เราไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นแค่คนออกแบบคาแร็กเตอร์อย่างเดียว” Boo ย้ำกับเราอีกครั้ง “เพราะว่าสิ่งหลักที่เราทำคือการเล่าเรื่องราวมากกว่า คาแร็กเตอร์เราทำหน้าที่เล่าเรื่องราว ความรู้สึก ของบุคคล ที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ถ้าใครตาม Sticky Monster Lab จะพบว่ามันไม่ได้มีแต่เรื่องราวที่ positive เพียงเท่านั้น อาจจะบางครั้งที่ดูเป็น negative บ้าง เราอยากเล่าเรื่องราวที่มีความดีป แต่เราก็กลัวว่ามันจะดูเศร้าไปหรือเปล่า เราก็เลยสร้างคาแร็กเตอร์ที่มีความน่ารักขึ้นมา เพื่อให้มันคอนทราสต์กัน ไม่ให้ความรู้สึกเทไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป
“ความเป็นคาแร็กเตอร์ช่วยห่อหุ้มให้เราเล่าเรื่องที่อาจดูหม่นเศร้าเหล่านี้ได้ และเรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วย”


ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างอาร์ตกับคอมเมอร์เชียล
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้ในโปรเจกต์ที่ต้องรับใช้ฝั่งแบรนด์หรือลูกค้า งานของพวกเขาก็ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ สังเกตได้จากปริมาณมวลชนที่มาถ่ายรูปกับงานศิลปะของพวกเขาที่กระจายตัวทั่วห้างสรรพสินค้า
“พวกคุณบาลานซ์ระหว่างอาร์ตกับคอมเมอร์เชียลยังไง ให้คาแร็กเตอร์ยังเป็นที่รักของแฟนๆ” เราถามสิ่งที่สงสัยก่อน Boo จะทำหน้าที่ผู้คลี่คลาย
“เวลาพวกเราทำงานใดก็ตามเราก็ยึดตัวตน ความเป็น artistic ความที่อยากจะเล่าเรื่องราวและอารมณ์ต่างๆ ให้ฟังมากกว่า อันนั้นคือเป้าประสงค์หลักของเรา แต่ว่าเราก็ไม่ได้จำกัดความหรือว่าขีดเส้นไว้ว่า อันนี้คืองานอาร์ตหรืออันนี้คืองานคอมเมอร์เชียล เราสามารถกระโดดข้ามไปข้ามมาได้
“เพราะว่าเราไม่ได้ตีเส้นแบ่งตายตัวระหว่างสองอย่างนี้ เราเลยทำให้มันสามารถอยู่ด้วยกันได้”

ความสม่ำเสมอทำให้เติบโต
เมื่อถามว่า “อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ Sticky Monster Lab เติบโตมาจนถึงวันนี้” คำตอบที่ได้ไม่ใช่เรื่องของทักษะหรือความน่ารักใดๆ แต่เป็นเรื่องของวินัยและความสม่ำเสมอ
“ความสม่ำเสมอทำให้พวกเราเติบโต” Fla เปิดประเด็นก่อนที่ Boo จะขยายความ
“การทำงานสร้างสรรค์หรืองานศิลปะมันจำเป็นต้องมีคนมาเห็น ต้องมีคนฟีดแบ็ก มันถึงจะเติบโตต่อไปได้ แต่บอกตามตรงว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะสำเร็จ บางครั้งเราอาจจะมีช่วงเวลาที่เป็นไปด้วยดี แต่บางทีก็ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เราต้องเอาชนะและทำมันต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
“นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมความสม่ำเสมอถึงสำคัญกับการเติบโต”