Wind Beneath Gripen Wings

88 ปีของ Saab ผู้สร้างเครื่องบินรบ Gripen เครื่องบินรบที่ไทยนำออกมาใช้ปฏิบัติการจริงครั้งแรกของโลก

“F-35 ก็เหมือนกับ Ferrari ส่วน Gripen คือ Honda Civic คุณไม่สามารถจอดซ่อม Ferrari ตามข้างทางได้ แต่คุณสามารถซ่อม Honda Civic ได้” คือคำพูดของ Walter Kowalski อดีตผู้จัดการโครงการ NATO ที่กล่าวถึง Gripen ได้กระจ่างมากพอจะทำให้คนนอกวงการเครื่องบินอย่างเราเริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นว่าทำไมหลายประเทศถึงได้หันมาสนใจเครื่องบินรบลำนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไทยตัดสินใจซื้อ และมีโอกาสได้นำ JAS 39 Gripen C/D ออกปฏิบัติการในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ Gripen ถูกนำออกมาใช้งาน และมีการใช้อาวุธสู่เป้าหมายจริง

หากจะพูดถึงข้อดีอย่างคร่าวของ Gripen นั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องความคล่องตัวในการใช้งาน ทั้งระยะการขึ้นบิน-ลงจอดที่สั้น น้ำหนักเครื่องยนต์ที่เบา ค่าใช้จ่ายในการขึ้นบินแต่ละครั้งที่ต่ำกว่าคู่แข่ง รวมไปถึงความสะดวกในการบำรุงรักษาและหาอะไหล่มาซ่อมแซมในระยะยาว 

แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่สมรรถนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อการขายแต่เพียงเท่านั้น เพราะรากฐานของการออกแบบเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกลับไปสู่วันแรกที่ Saab ตัดสินใจจะผลิตเครื่องบินรบเมื่อ 88 ปีก่อน ซึ่งไม่ใช่การผลิตเครื่องบินที่ดีที่สุด ไม่ได้ผลิตเพื่อแข่งขันกับใคร แต่ผลิตเพื่อป้องกันภัยในยามสงครามนั่นเอง

จากวันที่เริ่มก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตเครื่องบินให้กองทัพอากาศสวีเดน จนถึงวันนี้ที่เครื่องบินของ Saab ถูกส่งไปประจำการอยู่ทั่วโลก คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จะพาไปดูเส้นทางการเติบโตของบริษัทที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วมากมาย จนกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความมั่นคงอย่างในทุกวันนี้

ประเทศที่ไม่เข้าร่วมสงคราม

ชื่อบริษัท Saab หรือ Svenska Aeroplan Aktiebolaget แปลตรงตัวว่า Swedish Aeroplane Company บริษัทอากาศยานและเทคโนโลยีความมั่นคงสัญชาติสวีเดนแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นอันแสนเรียบง่ายคือ เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองของสวีเดนที่เคยเป็นประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคยุโรปมาร่วมร้อยปีและวางตัวเป็นกลางทางการเมืองมาอย่างยาวนาน 

อำนาจดังกล่าวของสวีเดนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป เพราะมันเชื่อมโยงกับปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือทรัพยากรแร่เหล็กที่สำคัญต่อการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งพบได้มากในสวีเดน และปัจจัยข้อนี้ก็ยิ่งมีน้ำหนักมากเป็นพิเศษเมื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม 

สวีเดนตระหนักดีว่าการวางตัวเป็นกลางในสงครามไม่ได้การันตีความปลอดภัยให้กับประเทศเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ไม่ไกลจากเยอรมัน หนึ่งในชนวนสำคัญของสงครามโลกครั้งใหม่ในขณะนั้น 

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เป็นที่รู้กันว่ากองทัพอากาศคืออนาคตของหน่วยงานความมั่นคง ความเชี่ยวชาญด้านการรบทางอากาศจะกลายเป็นข้อได้เปรียบข้อใหญ่หากสงครามครั้งใหม่ปะทุขึ้น 

ในปี 1936 เมื่อสวีเดนเห็นแววว่าความขัดแย้งกำลังคุกรุ่น สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังใกล้เข้ามา รัฐสภาวีเดน (The Riksdag) จึงลงความเห็นว่ากองทัพอากาศสวีเดนจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินรบ 257 ลำพร้อมกับเครื่องบินฝึกอีก 80 ลำภายในปี 1943 

และถึงไม่บอกก็คงพอจะเดาได้ว่าการดำเนินโครงการสร้างเครื่องบินรบนั้นจะใช้เงินทุนมหาศาลแค่ไหน สำหรับประเทศกลางๆ อย่างสวีเดนที่มีทรัพยากรและงบประมาณจำกัด การจะปลุกปั้นกองทัพอากาศให้แข็งแกร่งได้คงไม่ง่ายนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อด้อยเสียทีเดียว เมื่อพวกเขาได้ข้อสรุปว่าสวีเดนจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องบินรบของตัวเองขึ้นมาแทนการจัดซื้อจากประเทศอื่น

คู่แข่งคนสำคัญ

ในปี 1937 Bofors บริษัทเหล็กและผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ ร่วมกับ Ab Ars บริษัทลูกในเครือ Electrolux Group ได้ก่อตั้ง Saab ขึ้นที่เมือง Trollhättan โดยได้มีการควบรวมเอาบริษัท Nohab Flygmotorfabrik ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินมาด้วย

แต่หลังจากที่รัฐสภาได้ประกาศว่าต้องการเครื่องบินรบฝูงใหญ่สำหรับกองทัพอากาศ ไม่ได้มีแค่ Saab เท่านั้นที่หวังจะได้รับออร์เดอร์เครื่องบินจากลูกค้ารายใหญ่ในครั้งนี้

คู่แข่งคนสำคัญของ Saab ในเวลานั้นได้แก่บริษัท ASJA ที่มีประวัติการต่อเครื่องบินมาอย่างยาวนาน ซึ่งทั้งสองบริษัทต่างก็ได้รับคำเชิญให้เข้าเจรจา ที่นำไปสู่การจัดตั้ง joint company ร่วมกันในนาม AB Förenade Flygverkstäder (AFF) เพื่อพัฒนาและออกแบบเครื่องบินที่กองทัพอากาศสวีเดนต้องการ 

อย่างไรก็ดี การร่วมงานดังกล่าวไม่ราบรื่นนักเมื่อ ASJA กั๊กข้อมูลและซุ่มออกแบบเครื่องบิน L10 ของตัวเองซึ่งเป็นดีไซน์ที่ถูกใจกองทัพอากาศสวีเดนมากกว่าดีไซน์ที่ออกแบบร่วมกันโดย AFF ส่งผลให้เกิดการยุติความร่วมมือของ AFF ลงในปี 1939

ต่อมา Saab ได้เข้าซื้อ ASJA และตั้งชื่อเครื่องบิน L10 ใหม่ว่า Saab 17 ซึ่งนับว่าเป็นอากาศยานลำแรกของบริษัท เริ่มผลิตขึ้นในปี 1938 โดยได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินสัญชาติสวีเดนลำแรกที่ทำจากโลหะทั้งหมด มีระบบเก็บล้อขึ้น (retractable landing gear) และมีรายละเอียดการออกแบบที่โดดเด่นอย่างยิ่งในเวลานั้น เช่น การฝังหัวหมุดยึด (rivets) ให้จมลงในโครงสร้างเพื่อลดแรงต้านอากาศ (air drag) นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินโมเดลอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันอย่างเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B17 และเครื่องบินขับไล่ S17 

หลังจากนั้นก็มีเครื่องบินที่น่าสนใจอีกหลายรุ่นถูกออกแบบและผลิตขึ้นในระหว่างที่สงครามดำเนินไป อาทิ Saab 18 เครื่องบินลำแรกของสวีเดนที่มีการติดตั้งระบบเรดาร์ และ Saab 21 หนึ่งในซีรีส์เครื่องบินลำดับต้นๆ ของโลกที่มีการออกแบบที่นั่ง Ejector Seat ที่ช่วยให้นักบินสามารถดีดตัวออกจากเครื่องได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่นอกจากฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่ถูกใส่เข้ามาแล้ว

นอกเหนือจากผลผลิตอย่างตัวเครื่องบินแล้ว ในแง่กระบวนการผลิตของ Saab เองก็มีการพัฒนาและปรับตัวในหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการสร้างโรงงานที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินกว่า 30 เมตร ซึ่งขนาดใหญ่กว่า 20,000 ตารางเมตร เทียบเท่าสนามฟุตบอล 4 สนาม พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ป้องกันการโจมตีด้วยก๊าซพิษจากภายนอก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อรักษากิจการอุตสาหกรรมการบินซึ่งพวกเขามองว่าเป็นสิ่งสำคัญของประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะสงครามนั่นเอง

ในยามไร้สงคราม

เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี 1945 บริษัทเครื่องบินรบอย่าง Saab ย่อมต้องมองหาโอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่เพื่อให้กิจการสามารถเดินต่อไปได้ในยามที่ดีมานด์เครื่องบินรบลดน้อยลง ซึ่งพวกเขาก็ได้ทำอะไรออกมามากมายหลายอย่าง 

ทั้งการผลิตเครื่องบินพลเรือน ซึ่งดูจะได้รับความสนใจมากขึ้นหลังยุคสงคราม, อุตสาหกรรมผลิตแผ่นอะคริลิก วัสดุชนิดใหม่ที่ได้รับความสนใจเพราะสามารถใช้ทดแทนกระจกได้ในหลายกรณี, น้ำหอม ที่มีโรงงานรวมหัวน้ำหอมกว่า 4,000 กลิ่นจากทั่วทุกมุมโลก ได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดน้ำหอม (Perfume Library) เพียงแห่งเดียวในสแกนดิเนเวีย 

อีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะทำให้ Saab กลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มแมสทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีจุดเริ่มต้นแสนบ้าระห่ำคือการส่งวิศวกรเครื่องบินสิบกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำรถยนต์มาก่อนมาออกแบบรถยนต์ใหม่ให้แก่บริษัท 

ผลผลิตของความท้าทายในครั้งนั้นได้แก่ Ursaab หรือโปรโตไทป์ของ Saab 92 รถยนต์รุ่นแรกของบริษัทที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอากาศยาน จิตวิญญาณดั้งเดิมของ Saab โดยตัวเลขรุ่น 92 นั้นก็เป็นเลขที่รันต่อมาจากเครื่องบินรุ่น Saab 91 

เอกลักษณ์ของรถยนต์ Saab 92 คือรูปโฉมที่ดูเพรียวและลู่ลมตามหลัก aerodynamic คล้ายกันกับเครื่องบิน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงฉุด (drag coefficent) อยู่ที่เพียง 0.30 เท่านั้น เป็นดีไซน์ที่ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ Saab 92 สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

นอกจากนี้ Saab 92 ยังเป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งพบได้ยากในตลาดขณะนั้น ถือเป็นจุดขายที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ขับขี่ที่อาศัยในสภาพภูมิอากาศหนาวจัดในแถบนอร์ดิก เนื่องจากรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าจะสามารถกระจายน้ำหนักได้ดี และควบคุมได้ง่ายในเวลาที่พื้นถนนลื่นนั่นเอง

Saab Automobile

เมื่อแผนกรถยนต์ของ Saab ประสบความสำเร็จและเริ่มเป็นที่รู้จักในแง่ดีไซน์และสมรรถนะ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการเจาะตลาดในสหรัฐอเมริกา โดยตัดสินใจนำ Saab 93 และ Sonett I ไปเปิดตัวที่งาน New York Auto Show ในปี 1956

รถยนต์โมเดลใหม่ๆ ของ Saab ที่เปิดตัวหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฟังก์ชั่นที่น่าสนใจและแปลกใหม่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งมาแล้วในตัวรถ, ก้านปัดน้ำฝนบริเวณไฟหน้า หรือระบบฮีตเตอร์อุ่นเบาะที่นั่งในรถ รวมถึงการเปิดตัวรถ Saab 900 รุ่นไอคอนิกของแบรนด์ ซึ่งมีไลน์ Saab 900 Turbo รถยนต์เทอร์โบชาร์จจิ้งรุ่นแรกของแบรนด์

ในระหว่างปี 1982 จนถึง 1986 ยอดขายของ Saab เติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 60 เดือนติดต่อกัน โดยมีสถิติสูงสุดในปีช่วง 1986 ด้วยยอดขายรวมกว่า 47,000 คันในสหรัฐอเมริกา

กระทั่งในปี 1989 ที่แผนกยานยนต์ได้มีการแยกตัวออกมาเป็นบริษัท Saab Automobile โดยมีบริษัท General Motors (GM) จากสหรัฐอเมริกาเข้าถือหุ้น 50% ทำให้ Saab Automobile สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ของอเมริกัน รวมถึงมีแรงสนับสนุนด้านการเงิน การกระจายสินค้า 

และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา GM ก็ได้เข้าถือครองหุ้นทั้งหมด ทำให้บริษัท Saab เดิมที่ดำเนินงานในฝั่ง Aerospace and Defense กับแผนก Automobile ไม่มีความเกี่ยวข้องกันนับแต่นั้น

การเข้ามาของ GM สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับงานออกแบบของ Saab Automobile ในหลายส่วน อาจด้วยมุมมองทางธุรกิจที่แตกต่างกัน ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง สังเกตว่าดีไซน์ที่เคยกล้าบ้าบิ่น โดดเด่น และลูกเล่นฟังก์ชั่นใหม่ๆ ที่มากับตัวรถ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาอย่างยาวนานดูจะจางหายไป จึงไม่น่าแปลกที่ยอดขายในยุคหลังของ Saab Automobile จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่เคย

กระทั่งปี 2011 Saab Automobile ประกาศล้มละลายและหยุดผลิตรถยนต์อย่างถาวร

ความมั่นคงครบวงจร

ตรงกันข้ามกับฝั่ง Automobile เพราะงานออกแบบและผลิตเครื่องบินของ Saab ยังคงดำเนินการต่อเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าอุปสงค์เครื่องบินรบจะลดลงมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อสงครามเย็นดำเนินต่อไป Saab ก็ยังคงพัฒนาเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น 

Saab 29 Tunnan เครื่องบินเจ็ตสัญชาติสวีเดนลำแรก

Saab 32 Lansen เครื่องบินซูเปอร์โซนิกสัญชาติสวีเดนลำแรก

Saab 35 Draken เครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียงถึง 2 เท่า ถูกใช้งานในหลายประเทศ

Saab 37 Viggen เครื่องบินรบลำแรกของโลกที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์กลางดิจิทัลไปใช้

และตั้งแต่ยุค 90s เป็นต้นมา Saab ก็ได้เข้าสู่ยุคของ Saab JAS 39 Gripen เครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์ (multi-role fighter) ที่ยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ 

Saab ระบุว่า Gripen คือเครื่องบินรบที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มากที่สุดในโลก ด้วยการออกแบบแบบโมดูลาร์ ทำให้สามารถอัพเกรดและปรับปรุงให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ ปัจจุบันมีประจำการอยู่ในไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก

ทุกวันนี้ Saab ประกอบด้วยแผนกย่อยมากมาย ทำงานออกแบบและผลิตที่ครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงรอบด้าน โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

  1. Aeronautics ครอบคลุมงานระบบ งานโครงสร้าง และบริการสนับสนุนเกี่ยวกับอากาศยาน ทั้งในด้านการบินพลเรือนและการบินทางทหาร นอกจากนี้ยังทำการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับระบบอากาศยานมีคนขับและไร้คนขับในอนาคตอีกด้วย
  2. Dynamics พัฒนาและผลิตอาวุธสำหรับกองกำลังต่างๆ เช่น ระบบขีปนาวุธ ตอร์ปิโด ระบบฝึกอบรมและจำลองสถานการณ์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศบนพื้นดิน 
  3. Surveillance พัฒนาระบบการป้องกันความปลอดภัย ระบุพิกัด และตรวจจับภัยคุกคาม มีบริการครอบคลุมหลายประเภท เช่น การจัดการจราจรทางอากาศและทะเล เรดาร์ต่างๆ ไปจนถึงระบบข่าวกรองสัญญาณ (SIGINT)
  4. Kockums การพัฒนา ผลิต และสนับสนุนการใช้งานระบบทางทะเล ทั้งเรือดำน้ำ เรือผิวน้ำ เรือลาดตระเวน เรือสาธิตความเร็วสูง ไปจนถึงระบบกวาดทุ่นระเบิด และเรือรบที่มีเทคโนโลยีล่องหน (stealth technology)

จะเห็นได้ว่าหน่วยธุรกิจของ Saab ไม่ได้โฟกัสอยู่กับเครื่องบินรบหรืออาวุธสงครามเท่านั้น หากยังมีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลาดตระเวน เทคโนโลยีป้องกันภัย ระบบข่าวกรอง ระบบจำลองการฝึกบิน และอีกหลายอย่างที่จำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศแม้ในยามที่ไม่มีสงคราม

อย่างไรก็ดี เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครนที่ปะทุขึ้นเมื่อ 2022 นั้นส่งผลโดยตรงต่อผลการดำเนินงาน รายได้ และกำไรของ Saab ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จากรายงานปิดปี 2024 ระบุว่า Saab ทำรายได้รวมกว่า 2.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 50% หากย้อนกลับไปเทียบกับ 1.4 แสนล้านบาทในปี 2022 

โดยนาย Micael Johansson ประธานกรรมการบริหาร Saab กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2024 ที่ผ่านมาว่า “เราสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ปรับปรุงการดำเนินงาน และสร้าง cash flow ให้เป็นบวก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อขยายธุรกิจให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้าน positioning ของเราในตลาด 

“ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก Saab ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ สนับสนุนประเทศต่างๆ ในการสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศ และมีส่วนร่วมในการเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันประเทศของยุโรป” 

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดเผยข้อเสนอแผนงบประมาณมูลค่า 2 ล้านล้านยูโร ซึ่งรวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘era of rearmament’ ของยุโรปที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศแผนระดมทุนมากถึง 800,000 ล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกในด้านความมั่นคง

ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ก็ยังมีการตกลงที่จะเพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็น 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อีกด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าทั้ง Saab และองค์กรด้านความมั่นคงอื่นๆ น่าจะมีแนวโน้มด้านรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการเหล่านี้

88 ปีของ Saab คือระยะเวลาที่นานพอๆ กับชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งจากประวัติของบริษัทแห่งนี้ก็ต้องนับว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ทั้งการควบรวมครั้งแล้วครั้งเล่า ลองผิดลองถูกทำธุรกิจใหม่ๆ แยกตัวออกไปเป็นบริษัทรถยนต์ จนกลายมาเป็นบริการครอบคลุมแทบทุกด้านของเทคโนโลยีความมั่นคงอย่างในทุกวันนี้ และคงจะขยับขยายต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่นวัตกรรมสมัยใหม่จะถือกำเนิดขึ้น 

Reference

Writer

เรียนจบในยุคโควิด-19 เยียวยาใจด้วยการนอนดูซีรีส์เกาหลีและกินของอร่อย

Illustrator

กราฟิกที่หยุดกินเปรี้ยวไม่ได้ ( IG : sourpemi )

You Might Also Like