เดินป่าตามดารา ป่าตลาด และ ‘ป่าแตก’ กับโอกาสที่รัฐน่าคว้าไว้ให้ได้

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว อีกหนึ่งกิจกรรมที่กำลังเป็นที่พูดถึงคือการเดินป่า โดยเฉพาะเมื่อคนในแวดวงบันเทิงหันมาเดินป่ากันมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีของ ‘เฟย ภัทร’ ที่ทำคอนเทนต์เดินป่าในช่อง KARNFOEI และมีอีพีหนึ่งที่เรื่องราวการเดินป่าของเพื่อนดาราอย่าง ‘ท็อป ทศพล’ ตีคู่ไปกับเรื่องราวความรักระหว่าง ‘ก้อย อรัชพร’ ก็ยิ่งจุดประเด็นให้คนสนใจ และอยากจะลองเดินป่า เกิดเป็นปรากฏการณ์ ‘ป่าแตก’ 

ที่จริงแล้วปรากฏการณ์ ‘ป่าแตก’ เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่คนหันไปท่องเที่ยวแบบใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เช่นเมื่อปลายปี 2024 คนก็แห่ขึ้นภูกระดึงจนเกินลิมิตที่อุทยานกำหนดไว้และลูกหาบไม่เพียงพอต่อการให้บริการ สะท้อนว่าการเดินป่าไม่ได้เป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป  

จากกระแสโซเชียลสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

มากไปกว่ากระแสเดินป่า ที่ทำให้หลายช่องทางโซเชียลมีเดียกำลังถกเถียงกันว่าใครเดินป่าก่อนกัน หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจคือหากนี่เป็นกระแสที่มาต่อเนื่องและเริ่มเข้าไปหยั่งรากลึกในใจคน ถ้ารัฐบาลคว้าโอกาสนี้ได้ ไม่แน่ว่าการเดินป่าของไทยอาจสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นได้

ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติระบุว่า ในเดือนกันยายน 2568 อุทยานทั่วประเทศมีรายได้รวมกว่า 2,000 ล้านบาท ไม่เพียงแต่ตัวอุทยานเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ การที่ผู้คนเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ยังสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ทั้งลูกหาบ ไกด์ท้องถิ่น โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และร้านขายอุปกรณ์เอาต์ดอร์ รวมถึงบริษัททัวร์ที่จัดแพ็กเกจเดินป่าโดยตรง

‘ป่าตลาด’ ประตูบานแรกของนักเดินป่าหน้าใหม่  

เมื่อการเดินป่ากลายเป็นกิจกรรมยอดฮิต พื้นที่อย่างภูกระดึง, ดอยหลวงเชียงดาว หรือภูสอยดาว ก็ถูกขนานนามว่า ‘ป่าตลาด’ หรือเส้นทางยอดนิยมที่เดินง่ายและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทำให้นักเดินป่าหน้าใหม่เลือกเริ่มต้นที่นี่ก่อน

รูป : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
รูป : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

แม้บางคนจะมองว่า ‘ป่าตลาด’ คือพื้นที่ของนักท่องเที่ยวตามกระแส แต่ในอีกมุมหนึ่ง ป่าตลาดคือจุดเริ่มต้นของการสร้างวัฒนธรรมการเดินป่าในไทย เพราะเมื่อคนเริ่มต้นได้ง่าย ก็ย่อมอยากลองเส้นทางที่ยากขึ้นหรือแปลกใหม่กว่า นำไปสู่การกระจายตัวของนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง และพื้นที่ธรรมชาติที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก

กระแสนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มุ่งส่งเสริมจังหวัดเมืองรองให้เป็นเป้าหมายใหม่ของนักเดินทาง ผ่านโครงการอย่าง ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ ที่ให้ส่วนลดพิเศษเมื่อท่องเที่ยวในเมืองรอง ส่งผลให้หลายจังหวัดทางผ่านมีรายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น กล่าวได้ว่าเมื่อกระแสเดินป่ามาบรรจบกับนโยบายรัฐที่เน้นกระจายรายได้ ‘ป่าตลาด’ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น 

การเดินป่าในวัฒนธรรมโลก

ในหลายประเทศ การเดินป่าไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่าง แต่เป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่ผูกพันกับเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง

ญี่ปุ่นมีวันหยุดแห่งชาติที่เรียกว่า ‘วันภูเขา’ และระบบ mountain huts กระจายอยู่ตามเส้นทางปีนเขายอดนิยม ช่วยให้คนทุกวัยขึ้นเขาได้ง่ายโดยไม่ต้องแบกของเอง ที่พักเหล่านี้บริหารโดยคนในท้องถิ่น ทำให้เกิดการจ้างงานและการหมุนเวียนรายได้ในพื้นที่

ในขณะที่สหรัฐอเมริกานั้น กิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการเดินป่าและแคมป์ปิ้ง มีมูลค่าคิดเป็น 2.3% ของ GDP และสร้างการจ้างงานกว่า 5 ล้านตำแหน่ง

จากป่าแตก อาจกลายเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ 

สำหรับประเทศไทย กระแสเดินป่าที่กำลังขยายตัวอาจกลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ หากภาครัฐและเอกชนจัดการอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านเส้นทางเดินที่ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวก และระบบข้อมูลนักท่องเที่ยว

หนึ่งในตัวอย่างความก้าวหน้าคือการที่กรมอุทยานแห่งชาติ เริ่มใช้ระบบ E-Ticket สำหรับการเข้าพื้นที่อุทยานฯ ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นต้นมา ผ่านระบบจองออนไลน์ การชำระเงินดิจิทัล และระบบสแกนใบหน้า เพื่อยกระดับการจัดการข้อมูลและความปลอดภัย

หากรัฐสามารถพัฒนานโยบายเชื่อมโยงกับชุมชน เช่น แพ็กเกจเดินป่าร่วมกับคนในพื้นที่ หรือพัฒนาเส้นทางเดินในเมืองรอง การเดินป่าอาจสร้างรายได้หมุนเวียนและงานใหม่ให้คนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน และสุดท้าย ‘ป่าแตก’ อาจไม่ได้เป็นเพียงภาพความแออัดในอุทยาน แต่เป็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านเชิงวัฒนธรรมของคนไทย ที่เริ่มหันกลับมาหาธรรมชาติอีกครั้ง และเห็นคุณค่าของป่าในมิติที่มากกว่าแค่การพักผ่อน

หากรัฐ เอกชน และชุมชนร่วมกันออกแบบระบบท่องเที่ยวที่สมดุลระหว่างรายได้ ธรรมชาติ และประสบการณ์ของผู้เดินทาง ไทยอาจก้าวสู่จุดเดียวกับญี่ปุ่นหรือเกาหลี ที่การเดินป่าไม่ใช่กระแส แต่คือวิถีชีวิตที่ทำให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโตได้จริง

รูป : อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
รูป : อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว

อ้างอิง

Tagged:

Writer

พิลาทิสและแมว

You Might Also Like