นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

MILLImeter

เส้นทางของศิลปินชื่อ ‘MILLI’ เพิ่มเติมคือ มีธุรกิจยิมมวยและหนังสือเล่มแรกเป็นของตัวเอง 

จากเด็กสาวที่ขึ้นไปประกาศศักดาบนเวทีรายการ The Rapper Thailand Season 2 มาวันนี้ ‘มินนี่–ดนุภา คณาธีรกุล’ หรือ ‘มิลลิ’ (MILLI) หรือ ‘นวย’ aka ตามแต่ใครจะยินดีเรียก ได้กลายมาเป็นแร็ปเปอร์เบอร์ต้นของประเทศไทย ภายใต้ชายคาของค่าย YUPP! Entertainment โดยปราศจากข้อกังขาในความสามารถของเธอ

นอกจากผลงานเพลงฮิตติดชาร์ตทั่วบ้านทั่วเมือง อย่าง พักก่อน, สุดปัง, 17 นาที, สาธุ, Sad Aerobic ฯลฯ อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ชีวิตของมิลลิเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นคือการได้เป็นศิลปินหญิงเดี่ยวชาวไทยคนแรกที่ได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีระดับโลกอย่าง Coachella เมื่อปี 2022 ร่วมกับค่าย 88rising  พร้อมประกาศก้องให้โลกรู้ว่า คนไทยไม่ได้ขี่ช้าง และเมนู ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ นั้นโคตรจะแซ่บ

และในตอนนี้ชีวิตของศิลปินชื่อมิลลิกำลังก้าวสู่อีกเส้นทาง นั่นคือการเป็นหุ้นส่วนเจ้าของยิมมวยย่านพระราม 9 ที่มีชื่อว่า ‘Rope a Dope’ (โรป อะ โดป) ร่วมกับศิลปินรุ่นพี่ในวงการแร็ปเปอร์อย่าง ‘ธชา คงคาเขตร’ หรือ ‘หลุยส์ 1-Flow’ รวมไปถึงการมี ‘MILLIPEDIA’ หนังสือเล่มแรกในชีวิต ที่เธอนิยามว่าเป็น ‘สารานุกรม’ บอกเล่าการเติบโตในชีวิตทุกๆ มิลลิเมตร 

น่าสนใจว่ากีฬามวยมีอิทธิพลยังไงกับแร็ปเปอร์หญิงรายนี้ ธุรกิจยิมมวยที่มีชื่อว่า Rope a Dope ของเธอน่าสนใจยังไง มีวิธีการบริหารแบบไหน และทำไมเธอถึงตัดสินใจออกหนังสือเล่มแรกของตัวเอง รวมไปถึงเส้นทางการเติบโตของเธอในฐานะศิลปินให้แง่คิดอะไรกลับมาบ้าง เราขอชวนฟังคำตอบจากปากของมิลลิไปพร้อมกัน ในคอลัมน์ Brand Belief ตอนนี้

Let’s Get Ready to Rumble!

วันนี้สามารถพูดได้เต็มปากแล้วหรือยัง ว่าเด็กหญิงที่ชื่อ ‘มินนี่’ เมื่อหลายปีก่อน เติบโตเป็นศิลปินที่ชื่อว่า ‘มิลลิ’ อย่างเต็มภาคภูมิ

ถ้าพูดถึงชีวิตการเป็นศิลปินหนูรู้สึกตัวเองโตขึ้นมาหลายระดับ แต่ก็ยังมีหนทางอีกไกลให้ได้โตอีก ทุกวันนี้หนูยังรู้สึกเอนจอยกับอาชีพศิลปิน ยังรู้สึกเอนจอยกับการได้ออกไปเอนเตอร์เทนผู้คน แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของชีวิตส่วนตัว หนูรู้สึกว่าความเป็น ‘มินนี่’ มันยังคงอยู่เสมอ หนูให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว ออกไปเที่ยว ออกไปทำสิ่งที่อยากทำซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด 

คิดว่าการที่ได้เล่นบนเวที Coachella เมื่อปี 2022 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตและของอาชีพการเป็นศิลปินหรือเปล่า?

มันมีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในทุกๆ วัน รู้ตัวอีกทีหนูใช้ชื่อมิลลิมา 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนมัธยมไม่จบจนตอนนี้จบมหา’ลัย บางคนยังนึกว่าหนูอายุ 17 ไม่ใช่จ้า ตอนนี้อายุ 22 แล้ว คือใช้ชีวิตได้คุ้มมาก 

สำหรับเวที Coachella มันเป็นเหมือนตัวจุดประกายที่นำพาบทเรียนหลายๆ อย่างให้ตัวเองได้เรียนรู้มากขึ้น เข้าใจวิธีการทำงานของเวทีระดับโลกที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ที่นั่นเขามองทุกอย่างเป็นเรื่องของธุรกิจ ผิดกับที่ไทยที่ศิลปินในวงการมีความเป็นพี่เป็นน้องกันสูง 

แต่ถ้าถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไปมากมั้ยหลังกลับมาจาก Coachella นอกจากจะได้กินเมนูข้าวเหนียวมะม่วงแทบทุกร้าน ทุกอย่างในชีวิตแทบจะเหมือนเดิม หนูยังนั่งมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน ยังเดินห้างซื้อของเข้าบ้าน ชีวิตประจำวันยังคงเหมือนเดิม

หลายคนมักพูดว่า มิลลิดูเป็นคนมีเอนเนอร์จี้ ดูแอ็กทีฟตลอดเวลา คำถามคือคุณมีเคล็ดลับในการรักษาทั้ง 2 สิ่งนี้ยังไงให้มีอยู่ในทุกๆ วัน

เอาเข้าจริงถ้าวันไหนรักษาไม่ได้หนูก็จะไม่รักษา มีวันหนึ่งหนูเคยตื่นเช้ามาวิ่ง 10 กิโลฯ ต่อด้วยว่ายน้ำ เข้ายิมไปเวท เสร็จแล้วค่อยออกไปทำงาน เสร็จงานก็กลับมาปั่นจักรยาน แต่มันก็จะมีบางวันที่เราอยากตื่นมาแล้วไม่อยากทำอะไรเยอะแยะ มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ เช่นสั่งมะยงชิดมากินสักกล่อง ออกไปหาอาหารอินเดียอร่อยๆ กิน ไปหาคนที่เราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกแฮปปี้

ไม่นานมานี้หนูเพิ่งบอกกับตัวเองว่า ชีวิตเรามีเรื่องให้เครียดเยอะมากเหมือนกันนะเนี่ย แต่ยังดีที่รู้จักหาความสุขใส่ตัวเองเป็นไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม ซึ่งมุมนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้บอกในโซเชียลฯ 

ดูเหมือนคุณจะเป็นคนชอบหากิจกรรมใหม่ๆ ทำอยู่เสมอ

ใช่ อย่างช่วงนี้ก็ชอบกิจกรรมที่เป็นกีฬา ก็จะออกไปลองเล่นกีฬาหลายๆ ประเภท ที่ผ่านมาก็มีโบว์ลิ่ง ปีนผา และเวคบอร์ด ส่วนใหญ่เป็นกีฬาแนวเอกซ์ตรีม ทุกวันนี้เลยเจ็บข้อเจ็บเข่าไปหมด (หัวเราะ)

จริงๆ อีกกีฬาที่หนูชอบคือการต่อยมวย หนูต่อยมวยมาได้ 2 ปีแล้วนะ เริ่มต่อยครั้งแรกตอนช่วงเรียนมหา’ลัยปี 3 เหตุผลที่เริ่มเล่นเพราะว่า เครียดจากการซ้อมดนตรีเลยอยากออกกำลังกาย อีกส่วนหนึ่งคือเป็นคนชอบกีฬา MMA (Mixed Martial Arts) แต่หาเรียนยากและราคาค่อนข้างแพง 

เผอิญแถวหอนักศึกษามีค่ายมวยก็เลยไปลองเข้าดู ซึ่งหนูแสดงเจตจำนงกับพี่เจ้าของค่ายว่า หนูไม่ได้อยากมาแค่ออกกำลังกาย หนูอยากรู้ว่ามวยไทยคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง การฝึกซ้อมแบบไหนดีที่สุดเป็นยังไง พี่เขาก็ตั้งใจสอน จนทุกวันนี้สนิทกับพี่เจ้าของค่าย มาค่ายทีเขาก็ดูแลเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง 

ซึ่งหนูได้ค้นพบตัวเองว่า การที่เราโดนครูมวยต่อยหรือเตะ ถือเป็นอีกวิธีในการปลดปล่อยความเครียด ความเครียดที่สะสมมันถูกระบายผ่านความเจ็บปวดทางร่างกาย จนนานวันก็กลายเป็นความชอบในกีฬามวย โดยเฉพาะมวยไทย หนูชอบมวยไทยเพราะส่วนตัวเราเป็นคนบู๊ๆ ชอบพุ่งชน และดาเมจมันเยอะกว่ามวยประเภทอื่นๆ 

กระทั่งเรียนจบต้องกลับมาใช้ชีวิตในเมือง ก็ยังไม่เจอค่ายมวยที่ถูกใจ หนูรู้สึกว่าค่ายมวยในเมืองพอลูกค้าเขาเยอะเขาไม่สามารถลงรายละเอียดการฝึกซ้อมได้เหมือนแบบที่หนูเคยเจอมาก่อน จนวันหนึ่งมาเจอกับยิมมวย Rope a Dope ของพี่หลุยส์ (ธชา คงคาเขตร ศิลปินแร็ปเปอร์ aka 1-Flow) ซึ่งที่นั่นสอนมวยสากลเป็นหลัก ก็เลยหันมาเล่นมวยสากล เทคนิคที่จำได้แม่นจากตอนเรียนมวยสากลคือท่าต่อย Peek a Boo เป็นท่าไม้ตายที่ต้องย่อตัว โยกหลบ แล้วกลับขึ้นมาฮุก เป็นไม้ตายแบบเดียวกับที่ไมค์ ไทสัน ใช้ประจำ

จากลูกค้าทำไมถึงกลายมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของยิมมวย Rope a Dope ได้

คือปกติเราเป็นคนไม่ค่อยเสียตังค์ให้กับอะไร พอพี่หลุยส์เอ่ยปากชวนมาเป็นหุ้นส่วนก็รู้สึกว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ 

พี่หลุยส์โฆษณาให้ฟังว่าเขาอยากทำ Rope a Dope ให้เป็นยิมมวยเหมือนของต่างชาติ ติดแอร์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พอได้ฟังไอเดียจนจบก็เลยอยากลองลงทุนดูสักครั้ง เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราชอบ เราต่อยอดกับมันได้ และที่สำคัญคือพอเราลงทุนเป็นหุ้นส่วน Rope a Dope ก็เหมือนได้เป็นสมาชิกยิมฟรีตลอดชีวิต 

ทำไมถึงต้องเป็นยิมมวยสากล

เอาจริงๆ มวยสากลในประเทศไทยหาเรียนยาก ความยากต่อมาพอเป็นธุรกิจมวยสากลคือ ฝรั่งหรือคนไทยส่วนใหญ่ที่มาก็อยากจะเรียนมวยไทย เพราะเป็นคนไทยหรือมาถึงประเทศไทยก็ต้องเรียนมวยไทย มวยสากลก็เลยหาเรียนยากแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่นี่ก็เลยอยากจะเป็นอีกหนึ่งที่สอนมวยสากล

ชื่อยิม Rope a Dope หมายถึงอะไร

Rope a Dope เป็นเทคนิคหนึ่งในการชกของมวยสากล เป็นท่าที่ใช้หลังพิงเชือกโยกหลบคู่ต่อสู้ นักมวยที่ใช้เก่งๆ ก็คือมูฮัมหมัด อาลี เป็นท่าชวนหงุดหงิดที่หนูเคยโดนมาแล้ว ซึ่งพี่หลุยส์ชอบท่านี้ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อยิม

Rope a Dope มีบริการอะไรบ้างที่แตกต่างจากยิมมวยสากลที่อื่นๆ?

ตอนนี้ Rope a Dope มีโปรแกรม ice bath ที่จัดขึ้นอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งนำโปรแกรมโดยตัวหนูเอง กับอีกโปรแกรมคือ ‘นวดสปอร์ต’ (sport therapeutic massage) ที่ทำทั้งสองโปรแกรมนี้ขึ้นมา เพราะหนูสังเกตเห็นว่า คนที่มาต่อยมวยส่วนใหญ่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอง บ้าพลังใส่สุดจนร่างกายบาดเจ็บ กับอีกอย่างคือไม่ค่อยยืดเส้นหลังฝึกซ้อม ซึ่งความยืดหยุ่นมันสำคัญมากๆ กับการต่อยมวย ยิ่งคุณออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงหนักๆ ยิ่งต้องดูแลร่างกายตัวเอง

ที่ Rope a Dope ยังมีคลาสหลายประเภทให้เลือก ทั้งคอร์สสำหรับคนที่อยากมาเพื่อออกกำลังกาย หรือคอร์สส่วนตัวสำหรับคนที่อยากรู้ทุกอย่างของมวยสากล ไปจนถึงคอร์สสำหรับคนที่อยากเทิร์นตัวเองเป็นนักมวยสากลจริงๆ จังๆ โดยเทรนเนอร์ในยิมก็เป็นเทรนเนอร์ที่ฝึกสอนหนูมากับมือ 

คุณมักจะเน้นย้ำเสมอว่า Rope a Dope เป็น ‘ยิมมวย’ ไม่ใช่ ‘ค่ายมวย’ เพราะอะไรจึงต้องเน้นย้ำแบบนั้น

เหตุผลเพราะถ้าเป็นค่ายคุณจะต้องมีนักมวยเป็นของตัวเอง แต่ Rope a Dope ยังไม่มีนักมวยเป็นของตัวเอง ตอนนี้เราเป็นเหมือนยิมอเนกประสงค์ เรามีที่ออกกำลังกายก็เลยอยากพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นให้มันทำอะไรได้มากขึ้น 

จุดมุ่งหมายเราอยากทำพื้นที่ตรงนั้น (พระราม 9 ซอย 41) เป็น ‘ฮับ’ เพราะว่านอกจากจะมียิม ใกล้ๆ ตรงนั้นยังมี ‘ร้านกะเพราเสือป่า’ ที่พี่หลุยส์ทำกับพี่สาว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดคุณมาที่ฮับนี้ คุณหิวไม่มีแรงก็ไปกินกะเพราก่อนแล้วค่อยไปต่อยมวย หรือคุณต่อยมวยเสร็จแล้วหิวก็ไปกินกะเพราต่อได้เลย และถ้าเผื่อในอนาคตมันเวิร์กจริงๆ ร้านกะเพราเสือป่าก็อาจจะมีเมนูคลีนสำหรับคนรักสุขภาพ รวมๆ ฟีลเหมือนคุณมาออกกำลังกาย มากินข้าวแถวบ้าน มีกลิ่นอายความเป็นโฮมมี่ 

ยากไหมกับการมีธุรกิจตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย 

หนูว่าฟีลๆ จอยๆ ดีค่ะ ถ้าทุกคนที่มายิมจะได้เจอหนูแน่ๆ บางวันหนูจะอยู่รับแขกด้วยตัวเองตั้งแต่ 8 โมง อยู่จนยิมปิดตอน 2 ทุ่ม หลังยิมปิดหนูก็อยู่ปั่นจักรยาน เล่นเวทเทรนนิ่งไปเรื่อย 

ทีมงานของ Rope a Dope ตอนนี้หลักๆ มีอยู่ 3-4 คน ทุกคนช่วยแบ่งเบาการทำงาน งานแอดมินหนูก็ทำ ใครที่ทักเข้ามาในเพจแล้วแอดมินตอบว่าค่ะ ก็จะเป็นหนูตอบ แต่ถ้าตอบว่าครับ ก็จะเป็นครูมวยตอบ หลังๆ หนูดีใจมากที่ยิมมีลูกค้ามากขึ้น

ดูคุณจะเป็นคนที่เนิร์ดเรื่องมวยมากๆ เพราะนอกจากคุณจะเป็นหุ้นส่วนยิมมวยแล้ว คุณยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักมวยอีกด้วย

จุดเริ่มต้นมันมาจากที่หนูได้ร่วมโปรเจกต์หนึ่งกับค่ายมวย Fairtex ทีนี้ทางนั้นเขาก็ถามว่าสนใจเป็นสปอนเซอร์ให้กับแรมโบ้เล็ก ฉ.อจลบุญ ไหม ซึ่งหนูก็รู้สึกว่าคอมมิวนิตี้มวยมันมีความเป็นพี่น้องเหมือนวงการฮิปฮอป และหนูเห็นว่านักมวยคนนี้ดูทรงดีนะ ก็เลยตัดสินใจเป็นสปอนเซอร์ให้เขาในนามยิม Rope a Dope  

ประสบการณ์การได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับนักมวยเป็นยังไง

กดดันมาก ความรู้สึกแรกคืออย่ามาแพ้โดยที่มีชื่อยิมเราปักอยู่บนกางเกงนะ ทุกคนก็เลยเห็นรีแอกชั่นของหนูว่าเชียร์ได้โอเวอร์มาก อาจจะเพราะคนอื่นไม่เคยเห็นหนูในมุมที่อินกับมวยมากๆ หนูอินถึงขั้นที่วันเกิดปีที่แล้วหนูนั่งดูมวยกับที่บ้านจนหลับคาหน้าจอทีวี 

ในอัลบั้มใหม่ของคุณที่กำลังจะปล่อยเร็วๆ นี้ ก็มีซิงเกิลที่เกิดจากแพสชั่นในกีฬามวย?

เพลงแรกคือเพลง HEAVYWEIGHT ที่ใช้เปิดตัวพี่ตะวันฉาย (ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม) บนเวที ONE 170 กับอีกเพลงที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอไปชื่อว่าเพลง ONE PUNCH ซึ่งทั้ง 2 เพลงนี้จะอยู่ในอัลบั้มใหม่

อย่างเพลง HEAVYWEIGHT ชื่อมันก็มาจากรุ่นน้ำหนักมวย เนื้อหาในเพลงที่พูดถึงในนั้นสื่อถึงเราเป็นนักมวยที่เคยอยู่ระดับสมัครเล่นมาก่อน จนเติบโตมาเป็นรุ่น atomweight ผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักจนมาเป็นรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในมวยสากลสมัครเล่น นั่นคือรุ่น Heavyweight เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็เข้ามาได้เลย เราจะต่อยมันให้หมด

ส่วน ONE PUNCH เป็นเพลงที่เล่าถึงการพิสูจน์ตัวเองในฐานะที่เป็น women fighter ที่มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องสู้ สู้กับการถูกตราหน้าว่าจะทำได้หรือ? แต่จริงๆ เราทำได้อยู่แล้ว และเราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเพื่อคุณ ซึ่งอัลบั้มเต็มทั้งหมดจะได้ฟังในเดือนมิถุนายน

ข้อคิดสำคัญที่ได้จากการบริหารธุรกิจ Rope a Dope คือ?

การพูดคุยกับผู้คน การประชุมอย่างเดียวจะไม่เกิดผลจนกว่าจะลงมือทำ เราคุยฟุ้งเรื่องไอเดียได้แต่ต้องจับมือกันไปทำงานด้วย เพราะอย่างพี่หลุยส์เขาก็มีหลายธุรกิจที่ต้องทำ หนูก็จะเข้ามาช่วยดูแล เข้ามาสานต่องานที่ต้องทำ 

ส่วนในอนาคตนอกจากอยากจะสร้างฮับของคนรักกีฬามวย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะส่งนักมวยสากลสักคนไปต่อยในรายการจริงๆ จังๆ สักรายการ

จากเรื่องธุรกิจมวย ตอนนี้คุณเพิ่งมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชื่อว่า ‘MILLIPEDIA’ ซึ่งคอลแล็บร่วมกับ ‘ขายหัวเราะ’ ด้วย

มันเริ่มมาจากทางขายหัวเราะติดต่อมาว่า อยากชวนหนูมาร่วมทำโปรเจกต์หนึ่งซึ่งขายหัวเราะเป็นหนังสือที่เราผูกพันมาตั้งแต่เด็ก แล้ววันนี้เขาอยากคอลแล็บกับเรา นำเสนอชีวิตของศิลปินชื่อมิลลิผ่านหนังสือสักเล่ม แต่ชีวิตของหนูถ้าจะให้เล่าในมุมที่จริงจังก็อาจไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไหร่ โดยปกติหนูเป็นคนที่ make fun กับ trauma ของตัวเอง ข้างนอกฮาๆ ข้างในฮือๆ ก็เลยรู้สึกว่า ขายหัวเราะน่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของหนูออกมาได้ดี 

ชื่อหนังสือ MILLIPEDIA มาจากอะไร?

มันได้ไอเดียมาจากตอนที่หนูเสิร์ชประวัติตัวเองในวิกิพีเดีย ผลปรากฏคือไม่มีข้อมูลข้อไหนที่ตรงเลย พื้นเพหนูไปเกิดสุราษฎร์ธานีได้ยังไง หนูเกิดที่โรงพยาบาลหัวเฉียว หนูก็เลยเขาไปแก้ไขข้อมูลว่า พื้นเพเป็นคนสวย หลังจากนั้นคือเข้าไปแก้ไขข้อมูลอะไรไม่ได้อีกเลย (หัวเราะ) 

ก็เลยเป็นไอเดียว่า ข้อมูลในวิกิพีเดียไม่มีอะไรถูกต้องเลย ถ้างั้นเราสร้างมิลลิพีเดียเป็นของตัวเอง รับรองว่าข้อมูลถูกต้องแน่นอน

ทำไมถึงนิยาม MILLIPEDIA ว่าเป็น ‘สารานุกรมชีวิต’ ของมิลลิ

เพราะข้างในหนังสือเล่มนี้จะเล่าทุกเรื่องที่คุณสงสัยเกี่ยวกับหนู และมีบางเรื่องที่หนูไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไหนมาก่อน ถ้าเป็นมะม่วงก็เหมือนมะม่วงที่ถูกปลอกเปลือกจนเห็นเนื้อในทั้งหมดให้ทุกคนได้ชิมกัน

 เรื่องมีตั้งแต่ตัวหนูเริ่มจากศูนย์ ตั้งแต่ตัวเท่าหัวเข่า อะไรที่ทำให้เด็กคนนี้มั่นอยากจะเป็นดารา อยากจะเป็นศิลปิน ซึ่งจริงๆ ตอนแรกหนูไม่อยากเป็นด้วยซ้ำ หนูอยากเป็นพิธีกร อยากเป็นนักจิตวิทยา อยากเป็นผู้ประกาศข่าว เพราะเราชอบกระดกลิ้น ร เรือ ชอบอ่านหนังสือ แต่ทำไมถึงลงเอยมามีอาชีพเป็นศิลปิน แร็ปเปอร์ 

ในหนังสือจะไล่ทุกอย่างในชีวิตของหนูตั้งแต่ตอนประกวด The Rapper วันที่ได้ขึ้นเวที Coachella จนถึงไปในอนาคตว่าหนูมองแผนในชีวิตตัวเองยังไง ซึ่งพอทำกับขายหัวเราะ แน่นอนว่าก็จะมีภาพประกอบเนื้อหาที่ลายเส้นน่ารัก เหมือนอ่านการ์ตูนขายหัวเราะเพลินๆ สักเล่ม 

คนที่ได้อ่านหนังสือ MILLIPEDIA จะได้อะไรกลับไปบ้าง

ไม่แน่ใจว่าชีวิตของหนูจะเป็นประโยชน์ให้กับคนอ่านได้มากน้อยแค่ไหน แต่หนูรู้สึกว่าบางคำถามในชีวิตที่หนูสามารถตอบตัวเองได้แล้ว อาจจะเป็นคำตอบให้กับคำถามของผู้อ่านหลายๆ คน จริงอยู่ที่รูปแบบของสิ่งที่เจอในชีวิตมันอาจจะไม่เหมือนกัน แต่มันอาจจะมีแนวทางในการผ่านเรื่องนั้นไปใกล้เคียงกัน หรือมันอาจจะมีแนวทางในการตัดสินใจที่คล้ายๆ กัน ซึ่งผู้อ่านอาจจะนำเอาไปใช้ได้

จนถึงตรงนี้คุณได้ผ่านทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่แย่มาไม่น้อย คิดว่าสิ่งเหล่านี้สอนอะไรแก่คุณบ้าง

หนูไม่ได้เสียใจให้กับเรื่องที่แย่นะ อาจจะมีบางเรื่องที่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองปากแจ๋วเกินไป แต่สุดท้ายมานั่งคิดดูอีกที เรื่องบางเรื่องมันเป็นความผิดพลาดที่สอนเรา 

อย่างดราม่าของ พักก่อน ซึ่งเป็นเพลงเดบิวต์ของหนูที่มีการใช้คำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกรุนแรง ถ้าไม่มีดราม่าในวันนั้น ในวันนี้หนูก็อาจไม่ตระหนักว่า หนูจำเป็นต้องรับผิดชอบกับผลงานของเราที่ไปถึงหูผู้ฟังจำนวนมาก ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเพลงของเราได้ทั้งหมด ในเมื่อทุกคนไม่ได้เติบโตมาแบบเดียวกัน ดังนั้นเราจำเป็นต้องแคร์คนฟังให้มากๆ คิดถึงใจคนอื่นให้มากขึ้น และพิถีพิถันกับงานของเราให้มากขึ้น

ถ้าเปรียบการเติบโตของชีวิตตัวเองเป็นหน่วย ‘มิลลิเมตร’ คิดว่าตัวคุณเติบโตไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว 

1 กิโลเมตร เท่ากับ 1 ล้านมิลลิเมตร ถ้างั้นหนูว่า 5 ปีที่ผ่านมา ชีวิตศิลปินของหนูน่าจะเพิ่งผ่านไปแค่ 1 ล้านมิลลิเมตร หนูว่ามันแป๊บเดียวเองนะ ปกติหนูวิ่งเพซ 4 แป๊บเดียวก็ 1 กิโลเมตรแล้ว (หัวเราะ)

‘MILLIPEDIA : บันทึก MILLI ทุกมิลลิเมตร’ คือหนังสือที่บันทึกถึงเส้นทางการเติบโต การเดินตามความฝัน และทุกเหตุผลที่ทำให้ ‘มินนี่–ดนุภา คณาธีรกุล’ หรือ ‘มิลลิ’ (MILLI) กลายเป็นศิลปินแร็ปเปอร์ชื่อดัง ผ่านลายเส้นคาแร็กเตอร์ประกอบเนื้อหาโดย ขายหัวเราะ Studio จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ Salmon Books ราคา 245 บาท

(เครดิตภาพ : เพจเฟซบุ๊ก ขายหัวเราะ)

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like