รังฮูก
Little Owly’s Cafe คาเฟ่จากรักของแม่ที่ดีไซน์เพื่อลูกน้อยได้เล่นสนุกไปกับธรรมชาติ
ในวัยเฉียดเลข 30 ผมมักได้ยินเพื่อนพี่น้องผู้แต่งงานเป็นฝั่งฝาพร่ำบอกเสมอว่า ถ้าเป็นไปได้ขอไม่มีลูกเสียดีกว่า ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักเด็ก หรือไม่อยากมีทายาทตัวจิ๋วเป็นโซ่ทองคล้องใจ เพียงแต่สถานการณ์ความเป็นไป ณ ปัจจุบันดูไม่เอื้ออำนวยเสียมากกว่า
เศรษฐกิจย่ำแย่ โรคอุบัติใหม่ไม่เว้นปี ไหนจะวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่มีให้เผชิญอยู่ตลอด ปัจจัยเหล่านี้คือสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวตัดสินใจมีลูกกันน้อยลง ชี้ชัดให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่านับตั้งแต่ปี 2567 ประเทศไทยมีอัตราการเกิดต่ำกว่า 5 แสนคนต่อปี และดูมีวี่แววจะน้อยลงอย่างต่อเนื่อง

แต่ในสภาวะที่กล่าวมากลับมีคนที่คิดต่างออกไป ดังเช่นกรณีของเพื่อนซี้ทั้ง 3 อย่าง ฟาง–พรรณิภา โมฬีชาติ, กวาง–วรมน สุนทรภัค และเจน–ดร.ผาณิตมาส กลั่นแก้ว ที่ตัดสินใจเปิด Little Owly’s Cafe คาเฟ่น้องใหม่ย่านตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยจุดร่วมเดียวกันในฐานะ ‘แม่’ คือการเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ทุกช่วงวัยได้ใช้จินตนาการและเล่นสนุกไปกับธรรมชาติอย่างเต็มที่
สายลม แสงแดด และผืนดินเป็นเพียงหน้าฉากห่อหุ้มคาเฟ่แห่งนี้ไว้ หากแต่เปิดประตูย่างเท้าเข้าไปมีหลายสิ่งที่มากกว่านั้น ของเล่นทุกๆ ชิ้น ที่นั่งและทางเดิน ทุกๆ อย่างล้วนถูกออกแบบด้วยความพิถีพิถันและความรักความอบอุ่นทุกกระเบียดนิ้ว
ยามบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ผู้เขียนมีโอกาสชวนแม่ๆ ทั้ง 3 สนทนาถึงแนวคิดในการทำ Little Owly’s Cafe ถึงแนวคิดในการออกแบบร้าน เหตุผลที่ต้องเป็นคาเฟ่ ไปจนถึงจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจนี้
ขอเชิญมาเยี่ยมเยียนพร้อมรับพลังบวกจากรังฮูกสุดอบอุ่นไปด้วยกัน โดยเฉพาะเหล่าคนมีลูกน้อยที่น่าจะได้เพิ่มลิสต์รายชื่อหมุดหมายปลายทางสำหรับพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์

วันที่คุณแม่ทั้ง 3 เริ่มก่อร่างสร้าง ‘รังฮูก’ ในฝัน
ก่อนอื่นต้องเท้าความกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พรรณิภา, ดร.ผาณิตมาส และวรมน ได้จับมือทำธุรกิจนำเข้าขวดนมเด็กที่สามารถรักษาคุณค่าน้ำนมแม่จากต่างประเทศ กระทั่งถึงจุดหนึ่งพวกเธอรู้สึกว่าธุรกิจที่กำลังทำอยู่ถึงจุดอิ่มตัว จึงตัดสินใจมองหาลู่ทางอื่นโดยมีโจทย์ตั้งต้นคือต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
“ด้วยความที่เราทั้งสามเป็นแม่คน แต่ละคนมีแพสชั่นในการเลี้ยงลูก เรารู้สึกว่าถ้าจะต่อยอดทำธุรกิจก็ต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเด็ก” พรรณิภาเผยถึงความตั้งใจของเธอและเพื่อนให้ฟัง
ประจวบเหมาะกับที่พรรณิภามีที่ดินผืนหนึ่งในย่านตำบลบางแก้ว กอปรกับพวกเธอรู้สึกว่าพื้นที่ได้เล่นสนุกของเด็กๆ ในยุคนี้ช่างหายาก โดยเฉพาะในตัวเมืองที่มักลงเอยด้วยสวนสนุกหรือบ้านหรรษาในศูนย์การค้า ครั้นจะใช้บริการเครื่องเล่นตามสวนสาธารณะก็มีเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับการบำรุงและดูไม่เป็นอันตราย
จาก pain point ข้างต้นนำมาสู่การระดมสมองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตกผลึกไอเดียว่าจะทำคาเฟ่ที่เหมาะสำหรับเด็ก โดยมีเงื่อนไขว่าเด็กๆ ที่เข้ามาใช้บริการจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ

“เราวางคอนเซปต์ให้ที่นี่มีบรรยากาศความเป็นธรรมชาติ เลยโยนโจทย์ให้บริษัทออกแบบว่าอยากให้ที่นี่เหมือนป่าป่าหนึ่ง โดยตัวอาคารเป็นเหมือนเมล็ดพันธ์ุที่งอกเงยขึ้นมาจากผืนดิน
“ขณะเดียวกันเราคิดต่อว่าน่าจะมี ‘สัตว์’ สักชนิดที่ทำหน้าที่เป็นมาสคอตให้ผู้คนจดจำ ก็เลยนึกถึง ‘นกฮูก’ จากนิทานเรื่อง Three Little Owls เพราะนกฮูกดูเป็นสัตว์ที่มีคาแร็กเตอร์เฉลียวฉลาด มีนิสัยรักลูก หวงลูก ซึ่งถ้าเปรียบที่นี่เป็นรังนก บรรยากาศคงจะอบอุ่นเหมือนที่เราตั้งใจไว้” ดร.ผาณิตมาสอธิบาย

ด้วยเหตุนี้โลโก้ของ Little Owly’s Cafe จึงเป็นแม่นกฮูกที่กำลังโอบกอดลูกน้อยสองตัวอยู่บนรัง โดยได้ศิลปินหญิงชาวเบลเยียมนาม ‘Justine Collet’ ที่พรรณิภารู้จักเป็นการส่วนตัวช่วยออกแบบผ่านเทคนิคสีน้ำ ซึ่งส่วนผสมของสีทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่นปลือกไม้ ตรงตามคอนเซปต์ที่อยากให้คาเฟ่แห่งนี้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด
“ตอนที่เราเห็นดราฟต์แรกของโลโก้เราตอบกลับไปทันทีเลยว่าขอแบบนี้เลย ไม่ต้องแก้แล้ว ลายเส้นทุกอย่างลงตัวตามที่ต้องการ ด้วยความที่คนออกแบบเป็นแม่คนเหมือนเราทำให้เขาเข้าใจคอนเซปต์ไอเดีย จะเรียกว่าเป็นความโชคดีก็ได้ที่มีคนเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ” พรรณิภากล่าว


เน้น ‘สัจจะวัสดุ’ เพื่อลูกน้อยได้สัมผัสกับธรรมชาติทุกตารางนิ้ว
“เรารู้แล้วว่าคอนเซปต์ของคาเฟ่เราคือธรรมชาติ ดังนั้นวัสดุที่จะใช้ออกแบบทั้งภายนอกและภายในอาคารก็ต้องเป็นไม้ ซึ่งสื่อถึงความเป็นสัจจะวัสดุ” ดร.ผาณิตมาสอธิบายต่อถึงการสร้างรังฮูกในฝันแห่งนี้
คำว่า ‘สัจจะวัสดุ’ ที่ ดร.ผาณิตมาสกล่าวถึงในที่นี้หมายถึงวัสดุที่แสดงถึงลักษณะของธรรมชาติอันปราศจากการเติมแต่ง ดังนั้นวัสดุที่ถูกนำมาใช้ก่อร่างสร้าง Little Owly’s Cafe มากกว่า 80% จึงมาจากไม้ โดยได้บริษัท ภาวาลเฮ้าส์ แอนด์ ดีไซน์ จำกัด เป็นผู้ออกแบบตัวอาคาร และบริษัท ฮานหนึ่งศูนย์หนึ่ง จำกัด เป็นผู้ออกแบบภายในตัวอาคาร
“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าภายในถูกดีไซน์ให้มีความโค้งมน ไม่เหมือนคาเฟ่ที่ส่วนใหญ่ตัวพื้นที่เป็นห้องสี่เหลี่ยม อย่างต้นเสาก็ครีเอตให้เป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นการต่อยอดจากไอเดียแรกคืออยากให้ที่นี่เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่งอกเงยขึ้นมา” วรมนเสริมถึงไอเดียการออกแบบภายในคาเฟ่


ด้านพรรณนิภาเน้นย้ำว่า ต้องการให้เด็กๆ ที่มา Little Owly’s Cafe ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติมากที่สุด ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงเครื่องเล่นอย่างสไลเดอร์, บ้านบอล, ที่ปีนผาจำลองขนาดเล็ก ไปจนถึงมุมสันทนาการยิบย่อยจึงใช้วัสดุจำพวกไม้ที่ปราศจากการทาสีเคมี ไม่เว้นแม้กระทั่งของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เน้นของเล่นที่ทำจากไม้มากกว่าพลาสติก
“เรารู้สึกว่าการเลือกของเล่นที่ทำจากวัสดุไม้มีข้อดีมากกว่าของเล่นจากวัสดุจำพวกพลาสติก ข้อแรกคือความปลอดภัยที่แตกหักยากกว่ากรณีเด็กทำตกหรือหยิบเข้าปาก สีที่ใช้เคลือบก็เป็นสีธรรมชาติ ข้อสองคือเด็กๆ ได้เติมแต่งจินตนาการ ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ต่างจากของเล่นพลาสติกที่มีกลไกสำเร็จรูป

“สุดท้ายคือจำนวนของเล่นแต่ละชนิดเรากำหนดให้มีแค่ชิ้นเดียว สาเหตุเพราะเราอยากให้เด็กๆ ฝึกอดทนรอให้เป็น อีกนัยหนึ่งคือสอนให้เขารู้จักแบ่งปันของเล่นกับเพื่อน ให้เขาได้ฝึกทักษะคิดต่อยอดว่าถ้าเขานำของเล่นชิ้นนี้ไปเล่นกับอีกชิ้นที่เพื่อนมีอยู่จะเป็นยังไง
“พูดง่ายๆ เราไม่อยากให้ร้านถูกกลืนด้วยแนวคิดที่ว่ามีดีแค่ของเล่นเยอะ แต่อยากให้ของเล่นเหล่านี้มีความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ ให้เขาได้โฟกัสกับตัวเองตอนเล่นมากกว่า” พรรณนิภาสรุปถึงความตั้งใจของพวกเธอที่สอดแทรกอยู่ในความสนุกของของเล่นแต่ละชิ้น
และถึงแม้ของเล่นจะมีการจำกัดจำนวนชิ้น แต่ทุกๆ 3-4 เดือนทางร้านจะมีการสลับสับเปลี่ยนนำของเล่นใหม่เข้ามาทดแทนเพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเบื่อ อีกทั้งของเล่นฝึกทักษะภายในร้านส่วนใหญ่เป็นการซื้อจากแบรนด์ผู้ผลิตในไทย

ลูกเริงร่า ผู้ปกครองอุ่นใจ
“พื้นที่ด้านในดูเรียบง่ายแต่จริงๆ ออกแบบยากมาก” วรมนเปิดประเด็นใหม่ให้ผมได้ซักถามต่อ
ที่บอกว่าดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ ยากนั้น คือการสร้างบรรยากาศความเป็น ‘kid friendly area’ ควบคู่กับเรื่องของความปลอดภัย ที่ต่อให้ลูกอยากจะสนุกสนานแค่ไหนแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมใส่ใจข้อนี้เป็นอันดับหนึ่ง
“อย่างเรื่องของการเลือกสีของไม้สำคัญมาก เพราะเราอยากให้คนที่เข้ามารู้สึกถึงบรรยากาศอบอุ่น” วรมนอธิบายเสริม “ยกตัวอย่างพื้นที่ตรงกลางร้านเราเลือกใช้ไม้สีอ่อน มีบุนวมกันกระแทก มีความโค้งโอบรับ เพราะเราอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก 2-3 ขวบ”
หรืออย่างลวดลายภาพวาดนอกเหนือไปจากแม่นกฮูกและลูกๆ ที่เป็นภาพจำของ Little Owly’s Cafe ก็ยังมีลวดลายอื่นๆ เช่น สุนัขจิ้งจอก ผีเสื้อ ใบไม้ ต้นไม้ ฯลฯ จากฝีมือเดียวกันกับผู้ออกแบบโลโก้ให้ร้าน แน่นอนว่าสีที่ใช้เป็นสีธรรมชาติเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นเสริมสร้างบรรยากาศประดุจอยู่ในป่าแสนอบอุ่น


ส่วนในแง่ของความปลอดภัยต้องบอกว่าเฟอร์นิเจอร์ทุกๆ ชิ้น ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เน้นออกแบบให้มีความเว้าโค้งลบคมเพื่อป้องกันการกระแทก แต่ละจุดมีสตาฟต์คอยสอดส่องระวังอุบัติเหตุ อีกทั้งเครื่องเล่นแต่ละจุดยังมีป้ายเตือนถึงความเหมาะสมของช่วงวัยให้ผู้ปกครองได้อ่านก่อนพาบุตรหลานเล่นสนุก
“ถ้าสังเกตจะเห็นว่าดีไซน์ทุกมุมภายในร้านผู้ปกครองจะต้องมองเห็นเด็ก อย่างการที่เราล้อมรอบร้านด้วยกระจกบานใหญ่เพราะเราอยากให้ผู้ปกครองเห็นลูกๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะเล่นอยู่ในร้านหรือขอออกไปวิ่งเล่นตรงสนามหญ้าด้านนอก เด็กๆ เองก็จะรู้สึกสบายใจที่เห็นพ่อแม่อยู่ไม่ห่างจากเขา” พรรณิภาอธิบายถึงดีไซน์ร้านที่ล้อมรอบด้วยกระจก อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของ Little Owly’s Cafe ที่เด่นสะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมา

อีกความน่าสนใจของกระจกบานใหญ่ดังกล่าว คือการที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันจากสถาปนิกที่ดูแลโปรเจกต์ นอกจากความหนาและน้ำหนักที่ต้องพอดีเพื่อดูดซับแรงกระแทก รวมถึงให้ตัวกระจกมีความโค้งรับกับพื้นที่ด้านในโดยปราศจาก ‘กรอบ’ บดบังสายตา สถาปนิกที่ออกแบบจึงใช้เทคนิคนำกระจกซ้อนกันแบบไล่เรียงระยะห่าง โดยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ครีบ’ เป็นตัวยึดมุมไว้
ซึ่งอีกหนึ่งข้อดีของการมีกระจกล้อมรอบนอกเหนือจากจะทำให้พ่อแม่เห็นลูกๆ ชัดเจนดังที่พรรณิภากล่าวไป ขณะเดียวกันยังทำให้รู้สึกถึงการเชื่อมต่อระหว่างตัวร้านกับธรรมชาติรอบนอก อาทิ แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาเนืองๆ
นอกจากนี้ที่ร้าน Little Owly’s Cafe ยังมีการทำ big cleaning เพื่อรักษาความสะอาดเป็นประจำทุกอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมอบความสบายใจแก่ผู้ปกครองที่จูงบุตรหลานเข้ามาใช้บริการ

พื้นที่ที่เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมีอิสระในการจินตนาการ
“สโลแกน creative nest & cafe มาจากการที่เราคิดว่านอกจากการเล่น เด็กๆ ควรที่จะได้ลงมือทำ เราเลยจัดเวิร์กช็อปเล็กๆ เช่น ฝึกทำเทียน (candle making) หรือฝึกระบายสีตามความคิดสร้างสรรค์ เมื่อเขาทำเสร็จก็จะเกิดความภาคภูมิใจว่าผลงานนี้เกิดจากฝีมือของเขา และที่สำคัญคือเด็กจะได้ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ที่มาช่วยทำ” วรมนกล่าวถึงอีกหนึ่งกิจกรรมของร้านซึ่งเธอเป็นผู้ดูแล
ผิวเผิน creative nest & cafe ดูเป็นสโลแกนที่เรียบง่าย แต่สำหรับแม่ๆ ทั้ง 3 พวกเธอยืนยันหนักแน่นว่านี่เป็นความตั้งใจอยากเป็นพื้นที่ที่เด็กๆ สัมผัสได้ถึง ‘ความปลอดภัย’ และ ‘กล้า’ ที่จะใช้จินตนาการในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งพวกเธอเห็นว่าบ่อยครั้งที่เด็กๆ ไม่กล้าแสดงออกหรือถูกดุเพียงเพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อเด็ก
“จุดมุ่งหมายเดียวกันของการเป็นพ่อแม่ในสมัยนี้ คือทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก โลกสมัยนี้เองก็ค่อนข้างท้าทายในการเลี้ยงลูก เราจึงอยากทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย และมีสิ่งที่ทำให้ลูกของเขาได้พัฒนา” พรรณิภากล่าวถึงอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายตั้งแต่วันแรกที่ทำร้าน Little Owly’s Cafe
“อนาคตเรายังอยากคิดค้นเมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่มที่ทั้งอร่อยและมีคุณประโยชน์เพื่อตอบโจทย์เด็กๆ และพ่อแม่ที่รักสุขภาพ” วรมนเอ่ยถึงความท้าทายในอนาคต ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปหลังร้านเปิดตัวได้ราว 3 เดือน

มากกว่านั้นคือการที่ Little Owly’s Cafe ได้พัฒนากลายเป็นคอมมิวนิตี้เล็กๆ สำหรับกลุ่มผู้ปกครองที่ได้พบปะแบ่งปันเทคนิคการเลี้ยงลูก หรือเด็กๆ ที่ได้พบเพื่อนใหม่นอกห้องเรียน นอกเหนือไปจากการจดจ้องอยู่กับสมาร์ตโฟนหรือจอคอมพิวเตอร์
“สำหรับเราเราสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมใจในการทำธุรกิจนี้ อิ่มเอมใจที่ได้เห็นแต่ละครอบครัวออกมาใช้เวลาร่วมกันโดยที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาพิเศษนี้ ขณะเดียวกันเราได้เรียนรู้ว่าแต่ละครอบครัวมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน มีวิธีจัดการแก้ปัญหาเวลาลูกดื้อไม่เหมือนกัน ซึ่งเราว่าคนที่มีครอบครัวจะรู้ดีว่านี่เป็นความสวยงามที่หาจากที่ไหนไม่ได้” ดร.ผาณิตมาสกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม
อย่างที่บอกว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้ามีความเข้าใจและตั้งใจมากพอเด็กๆ ก็จะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แน่นอนว่า Little Owly’s Cafe พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจนี้ ประดุจรังอันอบอุ่นที่ฟูมฟักรอวันลูกนกกางปีกบินสู่ฟ้ากว้างอย่างแข็งแรง