โรงเรือนอนุบาลพันธุ์ไม้
Kate Sessions หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านพรรณไม้ ที่บุกเบิกการสร้างสวนและธุรกิจต้นไม้ในแซนดิเอโก
ต้อนรับเดือนแห่งวันสตรีสากล เมื่อพูดถึงผู้หญิงและการสร้างกิจการ เราอยากขอพาย้อนเวลากลับไปในปี 1880 พาไปยังแสงแดดของเมืองแคลิฟอร์เนีย แต่เป็นช่วงปีที่หลายพื้นที่ของอเมริกานั้นยังรกร้าง และพื้นที่ของผู้หญิงทั้งในการเรียนและการทำงานก็ยังปิดกั้น
ในทศวรรษของการหักร้างถางพงและการกรุยทางเพื่อสิทธิสตรี มีผู้หญิงผู้รักในต้นไม้คนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่จบปริญญาทางวิทยาศาสตร์ เป็นสุภาพสตรีที่เรานิยามว่าเป็นเจ้าของกิจการยุคแรกๆ ที่เธอใช้ความรู้และความรักในต้นไม้ สร้างเป็นข้อตกลงกับเมืองแซนดิเอโกเพื่อเริ่มกิจการโรงเพาะชำต้นไม้ (tree nursery) ในที่ดินของพื้นที่เมืองที่เธอให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสวนสาธารณะ
จากความรักของเด็กหญิงที่มีต่อธรรมชาติและการเติบโตขึ้นในดินแดนที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของผู้ชาย โลกของต้นไม้และพืชพรรณที่เธอเพาะปลูกขึ้นในดินแดนกันดารว่างเปล่าสุดท้ายนั้นสุภาพสตรีนามว่า เคต เซสชั่น กลายเป็นมารดาของสวนสำคัญของเมือง เป็นแม่ผู้เพาะเลี้ยงต้นไม้ต่างๆ เธอเองเป็นหนึ่งในผู้ที่กรุยทางวิชาชีพเฉพาะเกี่ยวกับต้นไม้และเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวของทศวรรษคือนักเพาะเลี้ยงต้นไม้ (horticulturist) รวมถึงกิจการที่อาจไม่ค่อยถูกพูดถึงนักคือโรงเพาะชำกล้าไม้ เธอเป็นผู้ทดลองและรวบรวมพืชพรรณที่เหมาะสมเช่นพืชเมืองร้อนไปจนถึงพืชท้องถิ่น ส่งผลไปยังหน้าตาหรือภูมิทัศน์ของเมืองผ่านกลุ่มพืชพรรณในปัจจุบัน
ผู้หญิงในโลกของผู้ชาย
ก่อนจะก้าวไปสู่กิจการต้นไม้ของเคต เราอยากพาผู้อ่านไปยังบริบทของยุคสมัยทั้งของผู้หญิงและของพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ที่มีความยากลำบากเป็นหัวใจ ในช่วงสมัยปลายศตวรรษที่ 19 แซนดิเอโกและแคลิฟอร์เนียเป็นพื้นที่ที่รกร้างห่างไกลและกันดาร (รถไฟวิ่งถึงกลางเมืองราวปี 1881 ยุคตื่นทองที่พาคนหนุ่มไปหาทองคำราวปี 1848) พื้นที่นอกบ้านส่วนใหญ่ในความยากลำบากมักเป็นพื้นที่ของผู้ชายทั้งพื้นที่การศึกษาและการทำงานรวมถึงประกอบกิจการต่างๆ – ภาพการโตขึ้นของแคลิฟอร์เนียท่ีสัมพันธ์กับกิจการซักรีดและแรงงานจีน มีในบทความ 100 ปีร้านซักรีด
เคต โอลิเวีย เซสชั่น (Katherine Olivia Sessions) เกิดในปี 1857 เป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย เมื่ออายุได้หกขวบ ครอบครัวของเธอก็ย้ายมาอยู่ในบ้านไร่ (farmland) ริมทะเลสาบ (Lake Merritt) เคตเป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตอย่างอิสระ ใช้ชีวิตในฟาร์ม ขี่ลูกม้า เก็บดอกไม้ป่าและต้นเฟิร์น ความรักต้นไม้ของเธอจึงเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กและชัดเจนขึ้นเมื่อครอบครัวพาเธอไปเที่ยวที่เกาะแซนด์วิช (Sandwich Islands–ฮาวายในปัจจุบัน) เคตใช้เวลากับคุณแม่ผู้รักการทำสวน และเธอเองได้ชื่อว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่จัดดอกไม้ได้สวยงาม
เคตเองเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ถือว่าก้าวหน้ามากและคาดว่าครอบครัวของเธอก็ก้าวหน้าด้วย โดยทั่วไปผู้หญิงมักวางตัวเองไปสู่การเป็นแม่บ้านและเมีย แต่เคตเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงการศึกษา เธอจบวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจและเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ คณะที่เธอเรียนสัมพันธ์กับความสนใจในพืชพรรณคือคณะวิทยาศาสตร์ เคตเองนับเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมในหมู่เพื่อน ในที่สุดเธอจบการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิตในปี 1881 และนับเป็นบัณฑิตหญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาสาขาวิทยาศาสตร์ (Bachelor of Science) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
การเป็นบัณฑิตวิทยาศาสตร์หญิงคนแรก ในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องที่สังคมจะเปิดรับในทันที กรณีของเคต งานแรกที่เธอทำและได้ทำเป็นครู ในยุคนั้นงานสอนแทบจะเป็นพื้นที่เดียวที่เปิดรับผู้หญิง เคตย้ายมาอยู่ในเมืองแซนดิเอโกเพื่อทำงานในโรงเรียน เธอทำอาชีพครูจนถึงปี 1885 หลังจากนั้นเคตจึงตัดสินใจก้าวออกจากโลกการทำงานของผู้หญิงไปสู่ธุรกิจกิจการของผู้ชาย นั่นคือพื้นที่กิจการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ต้นไม้
คำสัญญาในต้นไม้ร้อยต้น
จากชีวิตคุณครูของเคต ก้าวไปสู่บทบาทของผู้ประกอบการ และตัวแม่ในวงการเพาะเลี้ยงต้นไม้เริ่มต้นเมื่อเธอตัดสินใจร่วมกิจการเรือนเพาะต้นไม้และร้านดอกไม้กับสามีภรรยาคู่หนึ่งก่อนที่การเป็นพาร์ตเนอร์ทางการค้าจะสิ้นสุดลง เคตทำการรักษากิจการและสินทรัพย์บางส่วนไว้คือร้านดอกไม้ที่ย่านกลางเมืองของแซนดิเอโกและฟาร์มดอกไม้บางส่วนที่โคโรนาโด
ตรงนี้เป็นความน่าสนใจของการดำเนินธุรกิจและการรักษากิจการและการงานของเธอ อย่างแรกคือธุรกิจเพาะต้นไม้ (horticulture) เป็นโลกของผู้ชาย นึกภาพการเป็นเจ้าของสวนที่อยู่นอกเมือง การขนส่งไปจนถึงการเดินทางเพื่อรวบรวมพืชพรรณ การเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เป็นงานที่ค่อนข้างหนักและไม่ใช่โลกของผู้หญิง หลังจากเคตรับสืบทอดกิจการแล้ว สิ่งที่เธอทำในแง่ของธุรกิจโรงเพาะเลี้ยงคือการทำสัญญากับเมืองโดยแลกกับการเช่าใช้ที่ดินกับต้นไม้และการพัฒนาพื้นที่ดินรกร้างนั้น
หลังจากเคตย้ายจากการเป็นครูสู่กิจการเพาะต้นไม้และเจ้าของร้านดอกไม้ ในปี 1892 เคตได้เสนอขอเช่าใช้ที่ดินของเมืองแซนดิเอโก ในตอนนั้นเมืองแซนดิเอโกเองกำลังขยายตัว เมืองมีแผนที่จะปรับปรุงที่ดินรกร้างให้กลายเป็นสวน จังหวะนั้นเองที่เคตเจรจาขอให้พื้นที่ที่เมืองเรียกว่าเป็นโครงการ City Park โดยเธอขอเข้าใช้เพื่อเปิดกิจการโรงเลี้ยงต้นไม้และแลกเปลี่ยนกับการปลูกและดูแลพัฒนาที่ดินในเขตสวนนั้นเป็นต้นไม้ 100 ต้น ต่อมาเจ้า City Park ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Balboa Park เคตจึงได้ฉายาว่า Mother of Balboa Park ในตอนนั้นเองทางเมืองก็ยกตำแหน่ง ‘ผู้ดูแลสวนของเมือง (city gardener)’ ด้วย
เคตนับเป็นกลไกสำคัญในการตั้งคณะกรรมการพัฒนาสวนของเมืองร่วมกับนักขับเคลื่อน George Marston คือเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้พื้นที่สวนสาธารณะเป็นพื้นที่ของชุมชนและผู้คน
ตัวมัมแห่งวงการ
ทีนี้ เคต เซสชั่น เป็นตำนานตรงไหน อันที่จริงตลอดช่วงชีวิตการทำงาน เธอแทบจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำกิจการเพาะต้นไม้ ในแง่ของเจ้าของธุรกิจ เคตไม่ได้แค่ดูแลโรงเรือนบนที่ดินของเมืองที่บัลบัวบาบัลพาร์กเท่านั้น แต่พร้อมๆ กัน เธอเป็นเจ้าของสวนเพาะกล้าในอีกหลายพื้นที่
ในแง่ขององค์ความรู้และพื้นที่วิชาชีพ การทำหน้าที่ปลูกต้นไม้แลกเปลี่ยนของเคตไม่ใช่แค่การปลูกอย่างใส่ใจเฉยๆ เธอจะทำการคัดเลือก ดูแล ลงปลูกต้นไม้อย่างเหมาะสม เธอทำการศึกษาซึ่งเคตเองเป็นผู้ที่สนับสนุนการใช้ไม้พื้นถิ่น และในขณะเดียวกันเธอก็เป็นผู้ร่วมคณะเดินทางสำรวจพืชเช่นในเม็กซิโก เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำและเพาะเลี้ยงพืชเช่นศรีตรัง ไปจนถึงกล้วยไม้ในภูมิอากาศของแซนดิเอโกได้สำเร็จ
บทบาทของเธอซึ่งสัมพันธ์กับวิชาชีพเพาะพันธุ์ไม้จึงสัมพันธ์กับหน้าตาของการออกแบบภูมิทัศน์ หลังจากสัญญาต้นไม้ร้อยต้นแล้ว เธอเองก็รับเพาะกล้าไม้ที่ใช้ในเมืองแซนดิเอโกต่อ ดังนั้นทั้งสวนที่เธอสร้างขึ้นจนเขียวไปจนถึงไม้ดอกใบบนถนนหนทางจึงนับเป็นลูกๆ ของเธอได้
ประเด็นการนำเข้าและเพาะไม้ต่างถิ่นของเธอมักถูกตั้งข้อสังเกตว่าส่งผลกับระบบนิเวศท้องถิ่นในเวลา เธอเองเป็นผู้เลือกและเลี้ยงต้นไม้ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของเมือง เธอเองได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้นำเอาพืชเช่นต้นศรีตรัง พอยน์เซตเทียหรือกล้วยไม้เข้ามาทดลองเลี้ยงและเพาะขยายพันธุ์จนกลายเป็นต้นไม้สำคัญในเมืองในแถบแคลิฟอร์เนีย แถมเธอเองยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหน้าตาของสวนของเมืองและเป็นผู้ให้พาต้นควีนปาล์มให้กลายเป็นต้นไม้ริมถนนยอดนิยมและกลายเป็นภาพสำคัญของใต้สายลมแสงแดดของชายฝั่งอีสโค้ทอย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
บทบาทการนำเข้าและทดลองเลี้ยงของเธอภายหลังถูกวิจารณ์ว่าอาจส่งผลกระทบกับพืชท้องถิ่น แต่ฝ่ายสนับสนุนชี้ให้เห็นว่าในสมัยนั้นยังไม่มีความเข้าใจเรื่องพืชต่างถิ่นที่กระทบกับระบบนิเวศดั้งเดิม และเคตเองหลายครั้งการเดินทางของเธอมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์เช่นต้นปาล์มในสวนเป็นปาล์มเสี่ยงสูญพันธุ์จากรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย (Baja California) ของเม็กซิโก การปลูกต้นไซปรัสที่กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของสวนบัลเบา หรือต้น Guadalupe ไม้พื้นถิ่นของเกาะ Guadalupe ในเม็กซิโกที่เสี่ยงสูญพันธุ์จากแพะเลี้ยงที่กลายเป็นแพะท้องถิ่นและกินต้นไซปรัสดังกล่าวจนหมด ซึ่งเธอเองก็ได้นำไม้เสี่ยงสูญพันธุ์มาเลี้ยงไว้ในสวนและเติบโตเป็นอย่างดี
บทบาทและความน่าสนใจของ เคต เซสชั่น สัมพันธ์กับการเป็นผู้หญิงแกร่งที่เลือกจะทำในสิ่งที่ตนเองรัก คือการเพาะต้นไม้ นอกจากการลงมือเพาะ ตระเวนหาและกลายเป็นมารดาของเหล่าพืชพรรณของเมืองแล้ว บทบาทสำคัญคือการทดลองและศึกษาวิจัยความรู้ด้านพืชพรรณ ในพื้นที่สวนของเธอ เธอเป็นผู้ตีพิมพ์บทความทั้งในนิตยสารและผลงานวิจัย เธอเปิดสวนเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและลงมือนำเที่ยวด้วยตัวเอง ใช้พื้นที่สวนสาธารณะที่เธอเพาะต้นไม้ต่างโรงแสดงพันธุ์ยักษ์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนด้านพืชสวนของมหาวิทยาลัย เป็นสมาชิกก่อตั้งของสมาคมไม้ดอกแซนดิเอโก (San Diego Floral Association) เป็นผู้สนับสนุนพืชกินได้ เป็นผู้เปิดพื้นที่กิจการต้อนรับและสื่อสารองค์ความรู้กับนักพืชพรรณทั่วโลก
อ้างอิง