จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ไม่ประนีประนอมกับสิ่งที่ไร้คุณภาพ หลักคิดของเจ๊จง’ ที่ทำให้แบรนด์หมูทอดมีสาขาและคนรักมากมาย

เสียงดังฟังชัด ขยันทำงาน สัญชาตญาณเฉียบคม 

สามคำนี้คงเป็นคำจำกัดความที่พอเหมาะพอดีของหญิงแกร่งแห่งย่านพระราม 4 ผู้ก่อตั้งแบรนด์หมูทอดเจ๊จง–จงใจ กิจแสวง 

อันที่จริงร้านหมูทอดของเธอโด่งดังนำมาตั้งแต่ก่อนที่เวลาของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้จะถูกครอบครองด้วยโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำ ทั้งความเอร็ดอร่อยและความคุ้มค่าของหมูทอดที่เธอหั่น โกย วางบนจานข้าวแบบไม่หวงปริมาณ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่หมูทอดของเธอจะเป็นที่รักเป็นที่รู้จักของคนในแถบย่านพระรามสี่ คลองเตย กล้วยน้ำไท เป็นอย่างดี

ณ วันนี้ที่ใครๆ ต่างมีอินเทอร์เน็ตบนมือถือและประเทศไทยถือเป็นเมืองหลวงแห่งเฟซบุ๊ก หมูทอดเจ๊จงจึงไม่ใช่แค่ร้านขายข้าวแกงและหมูทอดย่านพระราม 4 อีกต่อไป แต่กลายเป็นแบรนด์หมูทอดระดับประเทศที่ใครๆ ก็รู้จัก ลูกค้าที่มาต่อคิวหน้าร้านเจ๊จงกลายเป็นลูกค้าที่มาจากต่างถิ่นบ้าง เป็นพี่ๆ ไรเดอร์บ้าง และวันนี้เธอยังขยายกิจการออกไปอีกมากมายหลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ

เจ๊จงอาจจะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ให้ทุกคนเห็นว่า ความขยันอดทน ความตั้งใจจริงที่จะลงมือทำ และความไม่ยอมแพ้ต่ออะไรทั้งสิ้น คือสิ่งที่นำพาให้เธอเดินทางมาเป็น เจ๊ ที่คนทำธุรกิจหลายคนมองเธอเป็นแรงบันดาลใจ

ได้ข่าวว่าก่อนขายหมูทอดเจ๊จงขายข้าวแกงบุฟเฟต์มาก่อน

มันเริ่มจากที่เจ๊เป็นหนี้ ก็คือเป็นหนี้ อยากใช้หนี้ ทำยังไงจะหมดหนี้ เจ๊ก็มาเริ่มต้นขายอาหารตามสั่งก่อน ตอนนั้นเจ๊ทำคนเดียว แล้วมีพี่ที่เขาขับแท็กซี่เขาบอกเจ๊ว่า เนี่ย ทำคนเดียวแบบนี้ วันนึงต้องตายแน่ๆ เลย แล้วเขาก็บอกเจ๊ว่าให้ขายข้าวแกงบุฟเฟต์สิ จะได้ไม่เหนื่อย เพราะมันแค่ทำแล้วตั้งเอาไว้ พอลูกค้ามาก็ตักอย่างเดียว ตอนนั้นเจ๊ก็คิดเลยว่า เฮ้ย แล้วข้าวแกงบุฟเฟต์ทำไงวะ เพราะเราก็ทำกับข้าวเป็นแค่ไม่กี่อย่าง 

ตอนนั้นเจ๊ก็ไปดูคนที่เขาขายข้าวแกงบุฟเฟต์กันนะว่าเขาทำไง พอดูแล้วก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ แต่ก่อนจะลองมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ เจ๊ก็โดนพ่อดุ แกดุว่า “ขายอาหารตามสั่งก็ขายดีอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์ ถ้าทำอร่อยแล้วเขากิน 2 จาน เราก็เจ๊งแล้ว แต่ถ้าทำไม่อร่อย ใครเขาจะมากินมึง”

แต่ต้องบอกก่อนว่า ด้วยความที่พ่อเจ๊เขาไม่ได้เป็นพ่อค้า เขาเป็นคนขับแท็กซี่ เขาอาจจะมองอะไรที่ไม่เหมือนเรา เจ๊เลยบอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร ถ้ามันขายไม่ได้เดี๋ยวก็กลับมาขายตามสั่งเหมือนเดิม ก็คือด้วยความดื้อของเจ๊นี่แหละ เจ๊ก็เปลี่ยนเลยมาขายข้าวแกงบุฟเฟต์

แล้วขายดีได้กำไรตามหวังเลยไหม

เอาเป็นว่าทำยังไงมันก็ยังไม่พอใช้หนี้เขา คือขายไปขายมาเดี๋ยวหมดทุน ต้องยืมเขา กู้เขา อะไรอย่างนี้

แล้วเจ๊ทำยังไงกับชีวิตต่อ

ปกติตอนนั้นขายเสร็จจะประมาณบ่ายโมง เราก็กลับบ้าน เจ๊ก็คิดว่า มันใช่เหรอวะ เราเป็นหนี้เขาแต่บ่ายโมงเราถึงบ้าน กว่าจะนอนก็ตั้งสองทุ่ม เท่ากับเราทิ้งเวลาไปตั้ง 7-8 ชั่วโมงเลยนะวันวันนึง เจ๊ก็เลยมาคิดว่า เอ๊ะ แล้วกูจะทำอะไรต่อจากขายข้าวแกงบุฟเฟต์ดี ไม่อยากทิ้งเวลาไปเปล่าๆ ตั้งหลายชั่วโมง 

ทำไมไม่ขายข้าวแกงต่ออีก 7-8 ชั่วโมงที่เหลือ

คือข้าวแกงเนี่ย พอช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปแล้วตลาดมันจะเงียบ คือตลาดมันวายแล้ว มันไม่น่าจะมีคนมาซื้อแล้วถ้าขายข้าวแกงต่อ

แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันมาเริ่มขายหมูทอดคือจุดไหน

ด้วยความที่เราเงินน้อย ตอนนั้นเราก็ไปซื้อข้าวหมูทอดมาให้ลูกกิน ซึ่งตอนนั้นน่ะเขาขายกันกล่องละ 10 บาท เจ๊ก็ไปซื้อมานะจะให้ลูกกิน พอเปิดกล่องออกมาปั๊บ พอเราเห็นปุ๊บ เรามีความรู้สึกเลยว่า พรุ่งนี้กูจะขายอีนี่ต่อจากที่ขายข้าวแกงบุฟเฟต์ แค่นั้นเอง แค่นั้นจริงๆ แล้วเจ๊ก็หันไปบอกลูกเจ๊ว่า “น้องแต้ว เดี๋ยวคอยดูนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ แม่จะขายข้าวหมูทอดนี้ต่อจากขายข้าวแกงบุฟเฟต์”

จำได้แม่นเลยว่า วันรุ่งขึ้นซื้อหมูมา 8 กิโลฯ แล้วพอข้าวแกงเจ๊หมดใช่ไหม ลูกค้าก็มา คือเจ๊อาจจะโชคดีตรงนี้ที่ว่า เจ๊มีลูกค้าที่กินข้าวแกงอยู่แล้ว เจ๊ก็บอกลูกค้าที่มาว่า เฮ้ย ไอ้น้องรอก่อน เจ๊มีหมูทอดขาย พอเจ๊เก็บของที่ขายข้าวแกงบุฟเฟต์ลงไปปุ๊บ เจ๊ก็เริ่มหมักหมู ตั้งข้าว หุงข้าว แล้วก็ตั้งเตา ทอดหมูเอง ทำน้ำจิ้มเองอะไรเองหมด เจ๊ก็ทำเองทุกอย่าง

คิดสูตรเองสดๆ ตอนนั้นเลยเหรอ

คือ ณ ตอนนั้นเจ๊คิดเอาเองว่า มันไม่น่าจะยาก เพราะอะไรรู้ไหม มันก็แค่หมูทอดหรือเปล่า แค่หมูหมักพริกไทยกระเทียมแล้วเอาลงไปทอดในกระทะ แล้วก็แค่อบๆ ให้มันสุก แล้วเอาขึ้นมาหั่นอะไรอย่างนี้ คือตอนเริ่มมันก็ไม่ใช่ว่าจะดีเลยนะ แต่ลูกค้าก็เป็นคนบอกว่ามันเค็มไป มันอะไรไป น้ำจิ้มมันเป็นยังไงอะไรอย่างนี้ เขาจะบอกเรา เราก็คอยปรับไป

แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบคิด นอนๆ อยู่เจ๊ก็คิดว่า ทำไมเราไม่ลองเอาหมูสามชั้นมาทำดู เเต่กระทะเราก็เล็กทำไงดี เจ๊ก็ไปคุยกับร้านหมู ว่าหมูสามชั้นที่เป็นเส้นยาวๆ มึงหั่นให้กูได้เปล่า เพราะว่ากระทะกูเล็ก มันก็บอกได้ครับๆ เจ๊ก็ลองเปลี่ยนจากเนื้อหมูธรรมดาเป็นสามชั้น แล้วก็ลองเอามาหมัก ทีนี้ตอนหมักเจ๊ก็มาย้อนคิดถึงสมัยตอนที่เจ๊เคยขายราดหน้า ว่าถ้าใส่แป้งมันลงไปน่าจะนิ่มนะ ใส่ไอ้โน้นลงไปมันจะอร่อย ก็คือเอาจากที่เราเคยทำกับข้าวทำอะไรมา ใส่ๆ ลงไป แล้วก็ลองซื้อแป้งกรอบมาด้วย ก็เอาสามชั้นชุบแป้งทอด ผลปรากฏว่าขายดีว่ะ

คิดดูสิ ว่าทอดร้อนๆ แล้วเอาขึ้นมา หนังของหมูสามชั้นตอนเพิ่งขึ้นจากน้ำมันมันจะเสียงดังเปรี๊ยะๆๆ โอ้โห โคตรอร่อย แล้วเมื่อก่อนเจ๊ใช้มือสับนะ ไม่ได้ใช้เครื่อง เชื่อไหมทั้ง 4 นิ้ว ของเจ๊สุกหมดเลย เพราะหมูขึ้นมาร้อนๆ แล้วลูกค้ารอ ก็ต้องรีบสับ ตอนนั้นก็ขายดี พอจะมีเงินไปใช้หนี้เขาแล้ว

เจ๊ชอบคำชมนึงที่คนเขาชอบชมเจ๊ว่าเจ๊ขยัน เพราะเจ๊คิดว่า เออ มันก็น่าจะเป็นคำชมที่จริง เพราะว่า ถ้าสมมติว่าวันไหนที่เราเพิ่มปริมาณหมูมาเยอะๆ แล้วมันใกล้จะมืดแล้ว เราก็จะแพ็กใส่ถุงเลย แล้วใส่จักรยานปั่นไปขายเลย ขายตามวินมอเตอร์ไซค์ วิน 4 ล้อ วินแท็กซี่ อะไรอย่างนี้ จนทุกวันนี้ถ้าเจอพวกรุ่นพี่เก่าๆ ที่เขาขับแท็กซี่ เขาจะมาจับมือเจ๊แล้วบอกว่า เจ๊จงมึงโคตรโชคดีเลย เจ๊เลยคิดว่า จุดเริ่มต้นแรกของเราถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องเริ่มจากการที่เราขยันก่อน 

อย่างเดี๋ยวนี้ตื่นตี 2 แต่เมื่อก่อนนี่ตื่น 5 ทุ่มเพื่อไปโรงงานนะ ลูกขับรถพาออกจากคลองเตยไปถึงบางบัวทองเที่ยงคืน แต่พอตอนหลัง ด้วยสุขภาพด้วยวัย หมอก็สั่งว่าไม่ให้ทำแบบนั้นแล้ว พอมาตอนหลังก็ตื่นตี 4 อยู่ไม่กี่วัน เจ๊ก็เริ่มรับไม่ได้กับการตื่นตี 4 คือเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่

การตื่นตี 4 ก็นับว่าเช้าแล้วสำหรับหลายๆ คน ทำไมเจ๊จงรับไม่ได้

คือจะให้เจ๊มานอนฟังได้ยินเสียงว่าข้างล่างเขาทำงานกัน เจ๊ทำไม่ได้ว่ะ แล้วถามว่าลงมานี่เจ๊ลงมาทำอะไร เอาจริงๆ ขอแค่ให้ได้ลงมาที่ร้าน ให้ได้เห็นให้ได้ด่า นู่นนี่นั่นอะไรว่าไป คือขอให้เราได้อยู่ตรงนั้น 

เจ๊เคยเรียกลูกน้องมานั่งคุย คือด้วยความที่เขามาสายบ่อยมาก เจ๊ก็ถามว่า เคยเห็นเจ๊หยุดไหม เคยเห็นเจ๊ลงมาสายไหม จริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เจ๊จะเป็นคนแรกเลยที่ลงมาเปิดร้าน แล้วเวลาที่เจ๊มาเปิดร้านคนแรก เจ๊ไม่ได้คิดด้วยนะว่า เฮ้ย เดี๋ยวนั่งรอให้ลูกน้องมา ให้ลูกน้องทำดีกว่า ไม่ เจ๊ไม่คิดแบบนั้น เจ๊ลงมาก่อน เจ๊จะทำก่อน ยกเตา ยกโต๊ะ ยกอะไรรอก่อน คือเจ๊มีความรู้สึกว่าเดี๋ยวพวกเขามาจะได้ลงมือทำได้เลย ถ้าเรามัวแต่มานั่งรอให้ลูกน้องมา ให้ลูกน้องมายกเตาแก๊ส ยกนั่นยกนี่ กว่าจะได้เริ่มก็ช้า เจ๊จะเป็นคนแบบนี้

หมูทอดของเจ๊ไม่เหมือนหมูทอดคนอื่นยังไง ทำไมถึงขายดี

จริงๆ แล้ว เจ๊ว่ามันเหมือนกันแหละ 

รสชาติอร่อยกว่าเจ้าอื่นเกี่ยวไหม

เจ๊คิดว่าคำว่าอร่อยมันใช้ไม่ได้กับบางคน บางคนเขาบอกว่า ไม่เห็นจะอร่อยเลย คืออร่อยเขาอร่อยเราไม่เหมือนกัน คืออย่างเมื่อก่อนเจ๊จะเป็นคนยืนขายเอง มันก็จะมีความรู้สึกเป็นกันเอง เจ๊จะเป็นคนที่แบบได้ค่ะๆ คือได้หมด ได้ทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ มันเหมือนเราเป็นกันเอง ซึ่งจริงๆ ลูกค้าก็น่ารักด้วย พอมาเดี๋ยวนี้เป็นลูกน้องขาย เจ๊ว่ามันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ แต่เคยถามลูกค้าว่าทำไมชอบร้านเจ๊ เขาบอกว่า เขารู้สึกว่าถ้ามากินร้านเจ๊แล้วมันคุ้ม มันคุ้มกับที่เขาต้องจ่ายไป

คือร้านเจ๊จงมีดีที่กินแล้วคุ้ม

เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่เดี๋ยวนี้เจ๊มองว่า ด้วยวัตถุดิบมันก็แพง เราก็ต้องมาปรับราคาตาม พอเราจะพูดคำว่า ‘คุ้ม’ เราก็พูดมันได้ไม่เต็มปาก อย่างเมื่อก่อนนี้ น้ำจิ้มนี่วางไว้เลย ลูกค้าคนนึงซื้อข้าวถุงนึง เอาน้ำจิ้ม 5-6 ถุงไปเราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เจ๊ต้องขอว่า ต้องขอถุงละ 2 บาทนะ แต่เราก็รู้สึกไม่ดีในใจเราไง เพราะเมื่อก่อนเราให้ฟรี แต่เดี๋ยวนี้เราต้องเก็บตังค์ แต่ถ้าไม่เก็บตังค์เราก็อยู่ไม่ได้อีก เพราะอย่างพริกป่นเดี๋ยวนี้ขึ้นมากิโลฯ นึงจะ 200 แล้ว คือน้ำจิ้มถุงนึงต้นทุนเกือบ 2 บาทแล้ว แล้วต้นทุนมันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ เลย เพราะฉะนั้นถ้าลูกค้าซื้อข้าวถุงนึง แล้วหยิบน้ำจิ้ม 5 ถุง เราก็ต้องมานั่งคุยกันแล้วว่า มันไม่ได้

นอกจากหมูทอดแล้วร้านเจ๊จงก็มีขายอย่างอื่นตามมา

จริงๆ คือเมื่อก่อนเจ๊ก็ขายหมูทอดอย่างเดียวนี่แหละ แต่พอช่วงที่เจ๊เริ่มทำคนเดียวไม่ไหว ก็เริ่มจ้างลูกน้องมา 1 คน ด้วยความรู้สึกเจ๊นะ เจ๊ก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด เจ๊ก็คิดว่า เราจ้างคนมาเพิ่ม เราก็ควรจะขายอะไรเพิ่มไหม เพื่อที่จะมีกำไรเอามาจ่ายค่าแรงลูกน้อง เจ๊ก็เริ่มที่จะมีไข่ต้ม มีกุนเชียงมาขาย ต่อไปลูกน้องคนเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ต้องมีคนมาช่วยทอด ก็จ้างคนมาช่วยทอด พอเป็นแบบนั้นก็ต้องเพิ่มของมาขายอีก แล้วพอของที่ขายมันเพิ่มไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าถ้าอย่างนั้นข้าวแกงก็ต้องกลับมาไหม เพราะคนเขาจะได้ไม่เบื่อ

คือตอนนั้นก็เริ่มมีลูกน้องเป็นสิบคนแล้ว อย่างทุกวันนี้ก็มียี่สิบกว่า ก่อนโควิดนี่คือสามสิบกว่าเลยนะ มันก็มีของมาขายเยอะแยะจนเหมือนลูกค้าก็ติดแล้ว เลยกลายเป็นว่าข้าวแกงมันก็เลยมีหลากหลาย แต่ว่ามันก็จะเป็นสาขาที่มีพื้นที่เท่านั้นนะที่มีขาย

เวลาเจ๊ขายของเจ๊มีหลักในการตั้งราคายังไง

เจ๊เพิ่งคุยกับลูกเมื่อไม่นานนี้เองว่าเจ๊ไม่เคยมาคิดราคาต่อทุน ไม่เคยมานั่งคิดว่า 1 จานราคาต้นทุนข้าวเท่าไหร่ กับข้าวเท่าไหร่ ไม่เคยคิด เจ๊คิดอย่างนี้ เจ๊คิดว่าวันนี้เจ๊ลงทุนไป 5,000 เย็นนี้เจ๊ขายได้เงินมาทั้งหมด 6,000 ก็เท่ากับว่าทั้งหมดเจ๊ได้กำไรมา 1,000 เจ๊โอเคแล้ว เพราะเจ๊มีความรู้สึกว่า กับข้าวบางตัวมันไม่ได้กำไรหรอก แต่มันช่วยดึงลูกค้า สมมติว่าไอ้อันนี้อะมันแพงมากเลย ถ้าเราเอามาขายมันไม่น่ามีกำไร คือเราก็เห็นๆ อยู่แล้วว่ามันไม่ได้อะไรหรอก แต่ถ้าเราไม่เอามา ลูกค้าก็จะไม่มีโอกาสได้กินของอันนี้ แต่ถ้าเรามาคิดกำไรรวมแบบที่เจ๊คิดมันก็สามารถขายได้ มันก็คือหมดแค่นี้มีแค่นี้

ทุกวันนี้ยังคิดแบบนี้อยู่ไหม

เจ๊คิด แต่ถ้าเป็นรุ่นลูกเขาไม่คิดแบบนี้แล้วนะ ไม่ใช่แล้ว เด็กๆ เขาก็จะคิดแล้วว่า ข้าว 1 กล่องต้นทุนกล่องใบละเท่าไหร่ ข้าว 270 กรัมเป็นทุนเท่าไหร่ หมูอันนี้ทุนเท่าไหร่ น้ำจิ้ม ค่าแรง ค่าเสื่อมค่าอะไรเท่าไหร่ เจ๊ก็บอกลูกว่า โห ตอนนั้นถ้ากูคิดแบบพวกมึงนะ กูก็คงไม่ได้ขายแหละ คือเจ๊เป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ สบายๆ คือตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำไงให้มีเงินใช้หนี้แค่นั้นเอง

เหมือนเจ๊จงมองเห็นข้อดีของการไม่คิดเยอะ

เจ๊มีความรู้สึกว่าคนเราถ้าคิดเยอะหรือคิดมากแม่งจะไม่ได้ทำสักที เวลาที่เจ๊ได้คุยกับใครก็แล้วแต่เเล้วเขามีข้ออ้างว่า ไม่เอา ไม่มีทุน ไม่มีที่ เจ๊ว่าอันนี้มันเป็นข้ออ้าง เพราะเราคิดว่าอย่างตอนที่เราอยากจะเริ่มต้นเราไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เราคิดแค่ว่า เราอยากจะทำ พอเราอยากจะทำขึ้นมาปุ๊บ เรารู้แล้วว่าเราอยากจะไปหาเงินที่ไหน โอเคเรากู้แบงก์ไม่ได้ กูก็กู้แขกเอาสิ ใช่ไหม ร้อยละ 20 เจ๊บอกเลยว่าถ้าเราเอาเงินมาลงทุนค้าขายแล้วจ่ายเขาจริงๆ มันอยู่ได้ ถามว่า ถ้า ณ เวลานี้มึงเป็นหนี้ แล้วมึงไปกู้แบงก์ใครเขาจะให้มึง ใช่ไหม มีแต่แขกเท่านั้นที่เขาจะให้มึง ส่วนกระทะ ตะหลิว ไม่มีเหรอ ก็ยืมข้างบ้านสิ เจ๊ก็ยืมเขาเอา ยืมกระทะบ้านนี้ ยืมตะหลิว ขายตามสั่งจำเป็นต้องมีตู้ไหม แต่กูไม่มีไง ไม่มีเงินซื้อ ก็เอาตะกร้าพลาสติกใบนึง ผ้าขาวคลุมเอา ก็ขายได้แล้ว ความที่เราอยากขายต้องมาก่อน ไอ้คนที่บอก ไม่มีนู่นไม่มีนี่ เจ๊ว่ายังอยากไม่จริง

เห็นว่าเมื่อก่อนมีผักมีกล้วยให้ลูกค้ากินด้วย

ใช่ๆ ตอนก่อนโควิดน่ะมี แล้วพอโควิดมา เจ๊ก็เลยตัดของพวกนี้ออก แล้วจริงๆ ก็คือด้วยต้นทุนด้วย เจ๊ก็เลยยังหยุดพวกนี้ไว้อยู่ แต่ถ้าถามว่าอยากเอากลับมาไหม เรายังอยากเอากลับมาให้พวกเขาเหมือนเดิม เพราะเจ๊มีความรู้สึกว่ามันน่ารักดีกับการที่กินหมูทอดแล้วมีผักแกล้ม มีกล้วย

มันเริ่มจากการที่แฟนเจ๊เขาป่วยเขาก็ไปนอนอยู่โรงพยาบาล อยู่เอกชนด้วยนะ แล้วเจ๊ไปเฝ้าเขา เฝ้าจนเจ๊เองปวดหัว เจ๊ก็ลงมาหาหมอ แล้ววันนั้นมันเป็นวันอาทิตย์ อันนี้จำแม่นเลย พอเจ๊ลงมาหาหมอ เจ๊เห็นแล้วเจ๊ก็ตกใจ โห คนไข้เยอะมากแบบไม่มีที่นั่งเลย แวบนึงมันก็คิดถึงลูกค้า โห ลูกค้ากูไม่ตายหมดเหรอวะ ถ้ากินแต่หมูทอดอย่างเดียว เจ๊ก็เลยคิดว่าต้องมีผักให้เขากินแล้ว คือคิดเองเออเองหมดทุกอย่าง แต่ไม่ได้รู้นะว่ามันจริงหรือไม่จริง พอวันจันทร์ปุ๊บ อันดับแรกเลยที่เราเอามาวางคือแตงกวา แล้วก็มีกะหล่ำปลี

ตั้งแต่เปิดร้านมาเคยมีเหตุการณ์ไหนที่เจ๊จงประทับใจมากๆ ไหม

เจ๊ว่าความน่ารักมันอยู่ตรงที่แม่ค้าที่ตลาด เขาน่ารักมาก พอเขารู้ว่าเราเอามาให้ลูกค้ากินฟรี มันก็เกิดใจ เขาก็ขายผักให้เราในราคาที่ถูกลงไปอีก บางคนตัดรากผักชีไปแล้วเอาผักชีมาให้เราด้วยซ้ำ แบบ เออ เจ๊จะได้เอาไปให้เขากิน หรืออย่างกล้วย ตอนนั้นเจ๊เดินตลาดเพชร เจ๊ก็เห็นเขาเอากล้วยเป็นเครือมาวางขาย คือเยอะมาก เห็นแล้วสงสารเลยช่วยซื้อ ซื้อมาแล้วทำยังไง กินไม่หมด ก็แบ่งลูกค้าเลย ช่วยกันกินหน่อย นับตั้งแต่นั้นมามันเลยเหมือนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ว่า ถ้ามาร้านเธอต้องมีกล้วยให้ฉันกิน

แล้วก็จะมีลูกค้าบางคนที่เขาปลูกกล้วย พอกล้วยเขาโตปุ๊บ เขาก็จะเอามาให้เจ๊ ให้เป็นเครือๆ เลย เพื่อที่จะให้เจ๊เอามาให้ลูกค้ากิน มันก็มีความน่ารักอยู่ 

แต่มันก็มีความน่าเกลียดนะ อย่างบางคนเอาเปรียบคน อย่างกล้วยเอาวางไว้บนโต๊ะ จะกี่หวีก็แล้วแต่ เขาเก็บใส่ถุงกลับบ้านหมดเลย คือแบบทำครั้งสองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว จนเจ๊ดุ บอกเขาว่า พี่ทำแบบนี้ไม่ได้ การที่พี่ทำอย่างนี้พี่ไม่ได้แค่เอาเปรียบเจ๊ แต่พี่กำลังเอาเปรียบลูกค้าเจ๊ คือถ้าเธอแค่กินให้อิ่มเจ๊ไม่ว่าอะไรเลย

เวลาให้คนกินผักกินกล้วยฟรี มันไม่เป็นการเพิ่มต้นทุนเหรอ

มันก็คือต้นทุนค่ะ ใช่

แล้วเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ๊เหรอ

เจ๊จะพูดให้ฟังนะ พูดจริงๆ เลยนะ ตั้งแต่ขายของมา ใครๆ ก็พูดว่า โอ๊ย เจ๊จงร้อยล้าน โถ ล้านนึงอยู่ตรงไหนกูยังไม่เคยเห็นเลย แต่อย่างที่เจ๊มีบ้านมีอะไรมันก็เริ่มจากการที่เจ๊ผ่อน ขายของได้ก็ผ่อนหลังนู้นหลังนี้ไป แล้วพอมีคนมาบอกว่าร้อยล้านๆ เงินในบัญชีกูล้านนึงยังไม่เคยเห็นเลย 

คือเจ๊คิดว่าไอ้การที่เราขายของเนี่ย เอาแค่อย่างน้อยให้เราได้มีกินมีใช้ทุกวัน ถึงเราจะไม่ได้รวยถึงขนาดที่ว่า เฮ้ย ฉันมีถึงร้อยแล้วนะ คือเจ๊คิดแค่ว่า พอตื่นขึ้นมาให้มีลูกค้ามารอที่จะมาซื้อเรา ไม่ใช่ว่าเราทำกับข้าวเสร็จแล้วต้องมานั่งรอลูกค้า

เจ๊บอกลูกเลยว่า พวกเราโคตรโชคดีเลย คือเราทำมาแล้ว เราก็ขายๆๆ ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนึงเราตื่นขึ้นมา แล้วเราต้องมานั่งรอลูกค้าเราจะทำยังไง เจ๊เคยมีอยู่จังหวะนึงนะช่วงโควิด แล้วเจ๊หยุดไปประมาณเกือบเดือน แล้วพอกักตัวครบแล้ววันรุ่งขึ้นเจ๊เปิดร้านขายเลย โดยที่ไม่ได้ประกาศออกไปว่าวันนี้จะเปิดร้านแล้วนะ แล้ววันนั้นเราต้องนั่งรอลูกค้าว่ะ รู้เลยว่าแม่งรู้สึกยังไง ลูกน้องนี่เศร้าเลย คือลูกค้าหายไป 70-80% แต่เราก็รู้ว่าเราผิดเอง ที่เราไม่ได้แจ้งลูกค้าก่อน เราก็มาเริ่มไลฟ์อะไรก็ว่าไป

ทุกวันนี้มีหลายสาขา เจ๊ดูแลสาขาต่างๆ ยังไง

อันดับแรกคือหมูจะมาจากที่เดียวกันหมด ทีนี้คุณภาพมันก็จะไปอยู่ที่คนทอดแล้ว เจ๊เคยเจอปัญหาคือ เอาหมูเก่ามาขาย ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันคือหมูใหม่ แต่ลูกน้องนี่เก่งมาก ทำจากหมูใหม่ให้กลายเป็นหมูเก่า ก็คือเขาไม่ทำ ไม่ทอดตามที่เราสอน เราสอนว่าจะเอาลงทอดน้ำมันต้องร้อน แต่นี่น้ำมันยังไม่ร้อนเลยก็เอาลง พอลูกค้าแจ้งมา เราก็ต้องรีบไปดู คือจริงๆ เวลาลูกค้าแจ้งมาเราก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเจ๊บอกแล้วว่าของเหลือเก็บนี่เราไม่เอามาขายนะ ยิ่งกับข้าวนี่คือทิ้งเลย จะไม่มีการเอามาขาย

คือเราต้องแบบแอบไปดูเรื่อยๆ โดยที่ไม่ให้เด็กรู้ อย่างที่อยู่ด้วยกัน บางทีพอหันหลังปุ๊บมันยังกลายเป็นอีกอย่างนึงเลย เจ๊อยากได้อะไรที่มันดีกว่านี้ ทุกวันนี้ยังต้องคอยอบรมอยู่เลย คือเจ๊อยากให้เด็กมีดีเอ็นเอเหมือนเจ๊ แต่อย่างว่าเนอะมันก็ยาก อย่างลูกเราเอง ดีเอ็นเอของเรายังไปไม่ถึงลูกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย

ในชีวิตการทำร้าน อะไรคือสิ่งที่เจ๊ให้ความสำคัญที่สุดในการขายของ

จริงๆ แล้วทุกอย่างเลย เจ๊จะบอกลูกว่า ถึงเราจะขายถูก แต่เราก็ต้องเน้นคุณภาพ อย่างเมื่อก่อนตอนเริ่มต้น เราก็จะเอาหมูจากตลาดใช่ไหม พอหลังจากนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากได้หมูที่มันมีที่มาที่ไป เราก็เห็นว่าเราอยากใช้ของบริษัทนี้ ตอนแรกที่คุยกันสู้ราคาไม่ไหวจริงๆ ทำยังไงดีวะ ก็พยายามติดต่อๆ จนผู้ใหญ่เห็นก็มีคนจัดให้ได้รู้จักกันกับเจ้าของ เจ๊ก็บอกกับเจ้าของเขาว่า เจ๊อยากได้ของยี่ห้อนี้ เพราะเจ๊มั่นใจในคุณภาพ เราก็คุยกับเขา เขาก็เห็นความอยากได้จริงๆ ของเรา เขาก็ทำราคาให้เจ๊ ให้เจ๊รับมาขายได้ คือผู้ใหญ่ก็น่ารัก และมันก็เป็นความโชคดีของลูกค้าเจ๊ที่จะได้กินของที่มีคุณภาพ

หรืออย่างน้ำปลา เจ๊ก็พยายามหาที่มียี่ห้อ นอกเสียจากว่ายี่ห้อที่ใช้อยู่มาส่งไม่ทัน ก็จะต้องใช้ของตลาดนะ หรืออย่างบางช่วงของขึ้นราคาแพงๆ อย่างน้ำมัน เราก็ต้องยอมทำใจที่จะขาดทุนกำไร คือเรารู้แหละว่าถ้าเราเปลี่ยนไปใช้น้ำมันอีกยี่ห้อนึงต้นทุนมันจะถูกกว่า แต่คุณภาพมันไม่ได้

ตอนที่ข้าวของราคาสูงขึ้น ต้นทุนเจ๊ก็ขึ้นด้วย เจ๊ทำยังไง

เราก็มานั่งคุยกัน แล้วก็บอกลูกน้องว่า ตอนนี้มันแพงมากเลยนะ มึงช่วยกันดูนะ น้ำนี่อย่าปล่อยให้มันไหลทิ้งนะ ถ้ากูเดินมาอีกแล้วเห็นว่ามึงปล่อยให้มันไหลทิ้งกูจะปรับมึงนะ คือขู่เขาไง หรือแม้กระทั่งพัดลม ถ้ามึงไม่ได้นั่งตรงนี้แล้วมึงก็ปิดไป คือไปประหยัดเอากับสิ่งของพวกนี้ แต่เราจะไม่ไปประหยัดกับคุณภาพของที่เราใช้ทำกับข้าว เพราะอย่างเราเองก็เดินตลาด เรารู้อยู่แล้วว่าของบางอย่างเราเองยังไม่กินเลย แล้วเราจะทำขายเหรอ คือเจ๊ห่วงมากกับการที่เราจะต้องเสียชื่อ เพราะกว่าที่เราจะสร้างชื่อเราขึ้นมาได้มันไม่ง่าย

ทุกวันนี้ลูกค้าร้านเจ๊จงคือคนกลุ่มไหน

เจ๊ว่าเจ๊มีไปทั่วเลยนะ มีแบบตั้งแต่ล่างไปยันบน เพราะเวลาเจ๊เจอคนที่เขาดังๆ เขาก็บอกว่าเขาก็กินของเจ๊อยู่ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้มาต่อแถวเองแต่ให้คนอื่นมาต่อให้ หรือแม้แต่คนล่างๆ ไปเลย หรือคนจรจัดอย่างงี้ วันวัน นึงเจ๊ให้คนพวกนี้เยอะนะ อย่างตีสามครึ่งเขาก็มารอกันแล้ว มีทั้งลูกค้าที่จะมารอซื้อและคนที่จะมารอเอา เจ๊ว่าเจ๊ก็เป็นคนเหี้ยนะ เจ๊ก็แกล้งเขาเว่ย บอกเขาว่า โหย เจ๊ยังไม่ได้ขายเลย มาแต่เช้าเลยนะ รอก่อนๆ เออ เขาก็นั่งรอนะ สุดท้ายอดไม่ได้หรอก ก็ต้องให้เขาไป

เจ๊ก็จะสอนลูกน้องว่า คิดแค่ง่ายๆ ว่าเราน่ะโชคดี เหมือนเราได้ทำบุญ อย่างล่าสุดลูกน้องบอกว่า คนนี้วันนี้มาเอาหลายครั้งแล้วนะ 3-4 ครั้งได้ เจ๊ก็ถามลูกน้องว่า แล้ววันนึงมึงกินข้าวกี่ครั้ง มันก็ตอบว่า 3 ครั้ง เจ๊ก็บอกว่า เออ มึงให้เขาไปเถอะ

เคยมีลูกค้าเดินเข้ามาพูดอะไรกับเจ๊ แล้วทำให้เจ๊ประทับใจไหม

บางคนกินเสร็จเดินเข้ามาไหว้เจ๊ บอกว่า ขอบคุณนะคะ ที่ทำของราคาโอเคออกมาให้เขาได้กิน เมื่อก่อนที่เจ๊อยู่หน้าร้านเองเขาจะมาแบบมาขอจับมือ ยกมือไหว้ ขอบคุณ หรืออย่างบางคนมาบอก เจ๊รู้ไหม เจ๊ดังมากเลย อ๋อ ไม่รู้

เรื่องที่ยากที่สุดในการทำร้านอาหารในสายตาเจ๊คืออะไร

คือคุณภาพและมาตรฐานทั้งหมด คือเจ๊อยากให้ทุกอย่างมันเหมือนออกมาจากมือเราเอง อย่างเวลาตอนที่เขาตักอาหารผิดให้ลูกค้า เขาก็จะเอาถุงใหม่ แล้วก็วางถุงเก่าที่ตักผิดกองไว้ แต่ถ้าเป็นเจ๊ เจ๊จะบอกลูกค้าเลยว่า ขอโทษนะคะ เดี๋ยวถุงนี้ขอแถมให้ฟรีเลยได้ไหม แล้วถ้าเขาไม่เอาก็ค่อยมาว่ากัน แต่ถ้าเป็นเด็กก็จะไม่กล้าทำอย่างนี้ หลังๆ มาเจ๊ก็จะบอกเด็กว่าถ้าลูกค้าสั่งนะ ไม่ต้องรีบ ให้ค่อยๆ ฟัง ไม่ใช่ว่าผิดถูกมั่วไปหมด

ทำแบรนด์หมูทอดมาเป็น 10 ปีแล้ว ลูกก็โตแล้ว เคยคิดอยากพักไหม

ไม่คิด ไม่เคยมีความคิดนี้เลย เจ๊คิดแต่ว่าเจ๊จะทำจนกว่าจะไม่ไหว คือถ้าถามว่าถ้าจะให้อยู่เฉยๆ กับทำงานอะ เจ๊ขอทำงานดีกว่า

แล้วเจ๊จงยังมีความฝันอะไรอื่นอีกไหม

ฝันอยากจะทำร้านให้มันดีกว่านี้ คือตอนนี้มันยังไม่ได้ดั่งใจเจ๊ อย่างลูกน้อง เจ๊ก็อยากให้เขาทำให้ได้ดีกว่านี้ พูดจากับใครๆ ให้ดีกว่านี้ ถามว่ายากไหม มันยากนะ แต่เจ๊คิดว่าทุกอย่างมันน่าจะพอเป็นไปได้ ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง คือก็อยากให้ลูกค้าได้รู้ว่า เจ๊อยากให้มันดีจริงๆ อยากให้ลูกน้องเจ๊เป็นเหมือนที่เจ๊ยืนขายเอง อยากให้ลูกค้าได้กินของที่ดีที่มีคุณภาพ ที่คุ้มเงิน

Writer

อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย หญิงสาวผู้หลงรักอาหาร และโฮสต์รายการพอดแคสต์ชื่อ 'Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว'

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like