นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

China Trends

การตลาดที่ทำให้โตแบบก้าวกระโดดฉบับแบรนด์อาหารจีนในไทย

เทรนด์หมาล่ามาแรงที่ไปไหนก็เจอ หรือชาชีส ชาผลไม้ที่สดชื่นถูกใจใครหลายคนจนคิวยาวเหยียด แล้วไหนจะไอศรีมรสนมราคาแสนถูกที่กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพมหานครอีก ไม่ต้องเป็นคนช่างสังเกตก็ย่อมสัมผัสได้ว่าเราได้ถูกแบรนด์อาหารจากจีนล้อมไว้หมดแล้ว

ย้อนกลับไปในปี 2019 ปีที่ร้านหม้อไฟหมาล่าจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีนอย่าง ‘ไหตี่เลา’ (Haidilao) หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกกว่าไฮตี้เหลา เปิดสาขาแรก ณ เซนทรัลเวิร์ลด์ ถ้าหากใครจำกันได้ตอนนั้นแบรนด์หม้อไฟแบรนด์นี้ได้สร้างปรากฏการณ์การต่อคิวเข้าร้านแบบน็อนสตอป นับตั้งแต่เวลาห้างเปิดไปจนถึงเวลาร้านปิดหรือตี 3 ในช่วงแรก และสิ่งที่น่าสนใจคือระหว่างการรอคอยหลายชั่วโมงนั้น ทางร้านมีบริการสุดพิเศษต่างๆ ที่พวกเราเหล่าคนไทยไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบริการทำเล็บ บริการเครื่องดื่ม ขนมฟรี ทั้งยังมีบอร์ดเกมให้เล่น จนทำให้การรอคอยยาวนานไม่เลวร้ายนัก ยังไม่นับรวมกับการเซอร์วิสสุดพิเศษ หรือโค้ดลับน่าตื่นเต้น ชวนให้เราได้ลองจำไปพูดแลกกับของที่ระลึกฟรีหลังจากที่ได้เข้าไปใช้บริการภายในร้านอีกด้วย 

ถึงวันนี้แม้ระยะเวลาจะผ่านมาแล้วกว่า 5 ปี กระแสนิยมของแบรนด์เชนจากประเทศจีนก็ไม่มีทีท่าจะลดลง ตรงกันข้ามกลับขยับขยายยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหตี่เลาที่ในปัจจุบันก็ยังขยายสาขาไปทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงสาขาในจังหวัดชลบุรี ภูเก็ต และเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีแบรนด์เชนจีนแบรนด์ใหม่ๆ ชวนให้เราได้ออกไปตระเวนลิ้มลองอย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นแบรนด์เครื่องดื่มชาผลไม้ ชานมพรีเมียม ตลอดจนแบรนด์ชาชีสที่โด่งดังในประเทศจีนนั้นก้าวเข้ามาเปิดสาขากันในประเทศไทยอยู่เสมอๆ อีกด้วย

คำถามที่น่าสนใจคือนอกจากเรื่องทุนที่ทำให้แบรนด์อาหารจากจีนขยับขยายไปทั่ว อะไรทำให้การเติบโตนั้นได้รับการต้อนรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี

เพราะประสบการณ์หรือบรรยากาศภายในร้านที่หาจากแบรนด์อาหารในไทยไม่ได้ เพราะรสชาติที่ถูกปาก ปริมาณ ราคาที่คุ้มค่า เพราะการขยายสาขาที่ทำให้เข้าถึงได้ง่าย เพราะความเป็นต้นตำรับและความเชี่ยวชาญในหมวดหมู่อาหารนั้นๆ เพราะโปรโมชั่น กิจกรรมที่ทำให้เราได้ร่วมสนุกกันอยู่บ่อยๆ หรือเพราะการตลาดที่ยิงเข้าตรงใจคนไทย

วันนี้ Capital จะพาทุกคนไปเยือนร้านอาหารและเครื่องดื่มจากจีนทีละร้าน เพื่อทำความรู้จักและส่องกลยุทธ์การทำมาร์เก็ตติ้งของทั้ง 5 แบรนด์ในประเทศไทย ที่ถึงแม้คุณจะไม่ใช่แฟนหมาล่าหรือชาจีนก็น่าจะคุ้นหูคุ้นตาชื่อแบรนด์เหล่านี้

MIXUE
ปีที่ก่อตั้ง : 1997
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 200 สาขา

MIXUE (มี่เสวี่ย) เป็นแบรนด์ไอศครีมและชานมที่มีมาสคอตเป็นตุ๊กตาหิมะ (Snow King) ลุคใจดี แบรนด์จากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ก่อตั้งโดย จาง หง เฉา (Zhang Hong Chao) นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ได้เปิดแผงลอยขายน้ำแข็งไสและเครื่องดื่มข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งในปี 1997 หลังจากธุรกิจแผงลอยนั้นไปได้ไม่สวยเท่าไหร่ จาง หง เฉา ตัดสินใจลองอีกครั้ง เปิดธุรกิจน้ำแข็งไสเช่นเดิมเป็นครั้งที่สอง ด้วยชื่อเรียกของร้านเต็มๆ ว่า ‘Mixue Bingcheng’ (มี่เสวี่ยปิงเฉิง) และธุรกิจน้ำแข็งไสในรอบนี้ก็ดูท่าจะไปได้ด้วยดี จนทำให้ในปี 2006 นั้น จาง หง เฉา ตัดสินใจที่จะลองขายโปรดักต์ใหม่ๆ อย่างไอศครีมโคนที่กำลังเป็นกระแสในประเทศจีนอยู่ในช่วงนั้น ตามมาด้วยเมนูเครื่องดื่มอย่างชานมไข่มุก ชามะนาว และกาแฟที่ทั้งมอบรสชาติที่ดีในราคาที่ถูกแสนถูก ถูกกว่าบรรดาร้านอื่นๆ ที่ขายสินค้าเดียวกัน โดยจาง หง เฉาเชื่อว่าการทำราคาได้ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ คือจุดแข็งสำคัญอย่างหนึ่งของ MIXUE ที่ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วและมีลูกค้าประจำได้อย่างง่ายดาย

แต่การจะทำให้บรรดาเมนูไอศครีมและเครื่องดื่มนั้นขายในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมได้ จาง หง เฉา ต้องปรับเปลี่ยนสูตรในการทำเมนูต่างๆ เพื่อจะให้ราคาของแต่ละเมนูลดลงได้กว่า 20% ของราคาเดิม ด้วยราคาอันแสนย่อมเยา เป็นมิตร จึงทำให้แบรนด์ MIXUE เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคในจีนจนสามารถขายเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว

โดยภายใน 15 ปีนับตั้งแต่ปี 2007 MIXUE สามารถขยายสาขาไปได้ราวๆ 22,000 สาขาทั่วประเทศจีน จาง หง เฉา ลงทุนเพิ่มเติมไปกับการสร้างโรงงานซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการผลิตวัตถุดิบหลักของแต่ละเมนูให้ได้จำนวนมากๆ ในคราวเดียวกัน ตลอดจนลงทุนในระบบโลจิสติก เพื่อให้วัตถุดิบต่างๆ ได้ถูกส่งไปยังเหล่าแฟรนไชส์ทั่วประเทศได้อย่างทันท่วงที 

นอกจากสาขาแฟรนไชส์ภายในประเทศแล้ว ในปี 2008 MIXUE ก็ได้เริ่มทำการขยับขยายสาขาแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศได้สำเร็จ โดยในปัจจุบัน MIXUE มีสาขาแฟรนไชส์ทั้งหมด 14 ประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศไทยของเราที่ทางแบรนด์ MIXUE ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกในเดือนกันยายน ปี 2022 โดยตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือสาขารามคำแหง 53 นี่เอง

ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี MIXUE สามารถเปิดสาขาในประเทศไทยไปได้แล้วกว่า 200 สาขา และยังมีแพลนที่จะเปิดเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,000 สาขาภายใน 3 ปี โดยนอกจากการขยายสาขาอย่างรวดเร็วแล้ว ความน่าสนใจของแบรนด์ MIXUE คือการที่แบรนด์ยังสามารถรักษาจุดแข็งอย่างการทำราคาเมนูไอศครีมให้เริ่มต้นที่เพียง 15 บาท และเมนูเครื่องดื่มที่เริ่มต้นด้วยราคา 20 บาทได้ แม้ว่าสาขาที่ว่านั้นจะคือสาขาสยามแสควร์ที่ใครๆ ก็เดาได้ว่าค่าที่น่าจะสูงกว่าสาขาอื่นๆ

ด้วยสาขาที่ถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายๆ ประเทศ ส่งผลให้บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ผู้ซึ่งเป็นคนขายแฟรนไชส์ทั้งหมดได้รับกำไรกันไปแบบเต็มๆ โดยในปี 2019 บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea ได้กำไรสุทธิไปกว่า 2,170 ล้านบาท, ในปี 2020 บริษัทยังได้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2019 ประมาณ 927 ล้านบาท หรือที่รวมเป็นจำนวน 3,097 ล้านบาท และในปี 2021 เอง บริษัท MIXUE Ice Cream & Tea มีกำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 9,376 ล้านบาท 

ปัจจุบัน MIXUE มีสาขาทั้งหมดรวม 36,153 สาขาทั่วโลก นับเป็นแบรนด์ที่มีสาขาแฟรนไชส์มากสุดอันดับ 5 ของโลก ถือว่าเป็นรองจากแบรนด์ฟู้ดเชนอย่าง Mcdonald’s, Subway, Starbucks และ KFC เท่านั้น

Naixue 
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

Nixue (ไน่เสวี่ย) หรือที่คนไทยมักออกเสียงชื่อแบรนด์กันว่า ‘ไนซือ’ เป็นแบรนด์ชารูปแบบใหม่ที่จะมาปฏิวัติวงการน้ำชาแบบดั้งเดิมของจีนให้มีสีสันมากขึ้น ผ่านเมนูเครื่องดื่มสมัยใหม่ที่ยังคงรสชาติของชาตะวันออกได้อย่างดี เช่น เมนูชานม ชานมดอกไม้ ชาผลไม้ และชาชีส เป็นต้น นอกจากนั้น Naixue เองยังตั้งใจเน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีเกรดพรีเมียมอย่าง ใบชาต้นตำรับ นมสด และเนื้อผลไม้สดมาเป็นจุดเด่นของแบรนด์ เชิญชวนให้เหล่าผู้บริโภคสามารถวางใจในคุณภาพเครื่องดื่มที่ตนเองกำลังจะเลือกซื้อเลือกดื่มกันอีกด้วย 

โดยนอกจากที่คนไทยเราจะดัดแปลงชื่อแบรนด์ให้ง่ายขึ้นด้วยการเรียก ‘ไนซือ’ แทน ‘ไน่เสวี่ย’ Naixue เอง ก็ยังได้รับสมญานามจากชาวเน็ตไทยให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ ‘ชาชีสผลไม้ที่จริงใจ’ ไปแล้วด้วย 

ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มประเภทชาเท่านั้นที่ ​Naixue ตั้งใจยกระดับสินค้า แต่ยังมีเมนูขนมปังสไตล์ยุโรปและขนมเบเกอรีที่ถูกพัฒนาสูตรมาเพื่อช่วยเสริมประสบการณ์การดื่มชาให้ได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ตัวแบรนด์สามารถใช้เมนูขนมเหล่านี้ปรับตัวไปได้กับวิถีการดื่มชาของผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลก 

แล้ว Naixue กลายมาเป็นแบรนด์ชาสุดฮิตได้ยังไง?

ย้อนกลับไปในปี 2015 ที่เมืองเซินเจิ้น แบรนด์ Naixue แต่เดิมมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า Nayuki’s Tea (แปลว่า ชาของนายูกิ) เขียนด้วยอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นอย่าง ‘奈雪の茶’ ก่อนในภายหลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นอักษรจีนโดยทั้งหมดหรือ  ‘奈雪的茶’

โดย Nayuki’s Tea เป็นแบรนด์ชาของสองสามีภรรยาที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความทรงจำสุดพิเศษในวัยเด็กของ เผิง ซิน (Peng Xin) ผู้ซึ่งเป็นภรรยา หรือก็คือกลิ่นหอมของขนมปังอบที่แม่ของเธอมักจะเสิร์ฟคู่ไปกับชาร้อนๆ บนโต๊ะอาหารให้กับเหล่าสมาชิกในครอบครัวได้ดื่มกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ช่วงเวลาของการสนทนาที่เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

จากจุดเริ่มต้น เราอาจจะเห็นได้ว่าแบรนด์ Naixue นั้น มาจากความหลงใหลในขนมปังและชาของเผิง ซินเพียงเท่านั้น แต่ด้วยแพสชั่นที่มีต่อสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้เธอมีความยืนหยัดที่อยากจะส่งมอบชาคุณภาพสูงให้กับผู้คนในวงการชาได้บริโภคชาดีๆ มีสุขภาพที่ดี รู้สึกสดชื่น และเอนจอยไปกับโมเมนต์ ณ ตอนดื่ม และสิ่งที่ทำให้ Naixue โดดเด่นและประสบความสำเร็จได้เหนือแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด นั่นก็คือการมอบทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วยการตัดสินใจเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการโปรโมตวิถีการดื่มชาคู่ไปกับเมนูขนมปัง-เบเกอรีดั่งภาพความทรงจำของเธอ

4 ปีให้หลังจากการก่อตั้งแบรนด์ Naixue สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 51 เมืองในประเทศจีนหรือราวๆ 350 สาขา แต่แม้สาขาจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เผิง ซิน กับ เจา หลิน (Zhao Lin) สามีของเธอนั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะหยุดพัฒนาแบรนด์ของพวกเขาเลยสักวัน มิหนำซ้ำยังตั้งคำถามสำคัญทางธุรกิจกับตัวพวกเขาเองด้วยอย่าง ‘ถ้าเราเป็นลูกค้า เราจะต้องการอะไรในแบรนด์นี้อีกบ้าง?’ ตลอดจนเสาะหาวิธีการที่จะทำให้แบรนด์นั้นเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วผ่านการใช้ชาพรีเมียมและคราฟต์ขึ้นมาอีกหน่อย แพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม-ฟังก์ชั่น บรรยากาศของสาขาที่ต้องให้ความรู้สึกอบอุ่น พร้อมเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามานั่งได้เสมอ รวมไปถึงการจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญด้านขนมเบเกอรีจากประเทศญี่ปุ่นมาปรับปรุงสูตรขนมปังอบสไตล์ยุโรปของ Naixue ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ปัจจุบัน Naixue ถือเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชาแบรนด์เดียวที่ได้รับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก อีกทั้ง Naixue เองยังถูกยกย่องให้เป็นแบรนด์ชาระดับไฮเอนด์ที่มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ กว่า 1,400 สาขาใน 100 ประเทศทั่วโลก และจากรายงานในเดือนธันวาคม ปี 2022 ก็ได้ระบุเอาไว้ว่า Naixue มีกำไรสุทธิอยู่ที่ราวๆ 2.3 พันล้านบาท ทั้งยังมีจำนวนผู้สมัครสมาชิกของทางร้านไปมากกว่า 56.6 ล้านรายในปี 2022 และ 75 ล้านรายในปี 2023 อีกด้วย

ก่อนในเดือนธันวาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา Naixue สาขาแรกของประเทศไทยก็ได้ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับศูนย์การค้าใหม่ใจกลางสุขุมวิทอย่าง Emsphere ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาต่อแถวรอคิวกันไปอีกสักพัก 

CHAGEE
ปีที่ก่อตั้ง : 2017
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2022
จำนวนสาขาในไทย : 2 สาขา

CHAGEE (ชาจี) แบรนด์ชานมสไตล์ต้นตำรับจากมณฑลยูนนาน หรือที่คนไทยอาจรู้จักกันในนามของ ‘ร้านชานมไร้ไข่มุก’ แบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมชาจีนแบบพรีเมียมให้ออกมาในรูปแบบเมนูสุดร่วมสมัย โดยจุดขายอย่างหนึ่งของชาจีคือการเลือกใช้ใบชาสดๆ จากไร่ชาออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในโลกของชาจี (Chagee Organic Tea Farm) มารังสรรค์ในทุกๆ หมวดหมู่เมนูของทางร้าน ไม่เว้นแม้แต่เมนูซิกเนเจอร์อย่างชานม ที่ในปัจจุบัน แบรนด์ชานมหลายๆ แบรนด์ทั่วโลกนิยมหันมาใช้ชาผง หรือชาแบบทรีอินวันกันซะมากกว่า

BaWang ChaJi หรือ CHAGEE ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ก่อนจะเปิดสาขาแรกในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันบนถนน 51 ในเมืองคุนหมิง ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับการทำแบรนด์ชาที่ตั้งใจนำเสนอชาจีนแบบดั้งเดิมเอามากๆ เพราะคนจีนโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะทั้งวัยรุ่นเองก็ดีหรือในวัยทำงานเอง แทบไม่มีใครหันกลับมาสนใจการดื่มชาจีนแบบพิถีพิถันกันสักเท่าไหร่นัก สวนกันกับความนิยมของชานมที่มาแรงแซงทางโค้ง จากรสชาติที่เข้าถึงง่าย รอไม่นาน พกพาสะดวก พร้อมดื่มในคราเดียวกันขนาดนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ให้ CHAGEE ตัดสินใจพลิกโอกาสนำเอาใบชาสดๆ คุณภาพดีเหล่านั้นมาชงเป็นชานมที่โดดเด่นเรื่องกลิ่นหอม รสชาติที่สดชื่นไม่เหมือนใคร ทั้งยังลงทุนเพิ่มในแง่ของวัตถุดิบหลักอย่างการเลือกใช้นมสดพาสเจอร์ไรส์จากฟาร์มในประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนจะตัดสินใจเพิ่มหมวดหมู่เมนูชานมผลไม้ที่ใช้ผลไม้แบบสดๆ จากซัพพลายเออร์ท้องถิ่น เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคสมัยใหม่ได้ลิ้มลองกันอีกด้วย

ด้วยคอนเซปต์ของ Chagee อย่างแบรนด์ชานมที่มีความตั้งใจที่จะทำให้ผู้คนหันกลับมาให้ความสำคัญกับชาจีนสไตล์ต้นตำรับแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่จะมัดใจผู้บริโภคได้นั้นก็คือ ‘คุณภาพ’ เพราะหากมองในมุมผู้บริโภคที่เลือกดื่มชานมแล้วล่ะก็ มันคงดีกว่าจริงๆ ถ้าได้ดื่มชานมที่อร่อยและดีต่อสุขภาพเช่นกัน 

ภายในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ CHAGEE ได้ตัดสินใจเปิดสาขาแรก ณ เมืองคุนหมิง CHAGEE ก็สามารถสามารถขยายสาขาแฟรนไชส์ออกไปได้ 10 กว่าเมืองทั่วประเทศจีน ก่อนจะทยอยเปิดสาขาในต่างประเทศในปีถัดๆ มารวมแล้ว 2,900 กว่าสาขาทั่วโลกที่การันตีด้วยยอดขายเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง ‘ชานมมะลิ’ (Boya Juexian) 20 ล้านแก้วต่อปีในปี 2021 และเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านแก้วในปี 2022 

ปัจจุบัน CHAGEE มีสาขาในประเทศไทยทั้งหมด 2 สาขาและทั้ง 2 สาขาตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างเซ็นทรัลเวิลด์และสยามสแควร์ซอย 1 โดยความน่าสนใจของ CHAGEE ที่นอกเหนือจากใบชานำเข้าและแพ็กเกจจิ้งจากประเทศจีนแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ อย่างนมสดและผลไม้ก็จะถูกคัดสรรมาจากฟาร์มและสวนของเกษตรกรท้องถิ่นในประเทศไทยเอง เช่น ส้ม แตงโม มะนาว เป็นต้น 

ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของวัตถุดิบ แต่ CHAGEE ยังมีกลยุทธฺ์ในการทำตลาดที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มลูกค้าและคนรักชาในประเทศไทยอยู่เสมอๆ ยกตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมาหรือ ‘CHAGEE Lucky Cup’ ที่ปรับเปลี่ยนแก้วเมนูชานมไวต์พีชไซส์ L แบบออริจินัล ให้กลายมาเป็นชานมแก้วแดงซ่อนของขวัญที่คนเฝ้ารอคอย โดยของรางวัลที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยปรุของแก้วนั้นมีให้ลุ้นตั้งแต่เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ อาร์ตทอย คูปองส่วนลดเครื่องดื่ม ไปจนถึงของใช้กุ๊กกิ๊ก ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการทำมาร์เก็ตติ้งที่ชาญฉลาดและคืนกำไรให้แก่ลูกค้า ทั้งยังไวรัลบนแพลตฟอร์ม TikTok ประเทศไทยอีกด้วย

SHU DAXIA
ปีที่ก่อตั้ง : 2015
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2023
จำนวนสาขาในไทย : 1 สาขา

SHU DAXIA (สู่ต้าเสีย) คือแบรนด์หม้อไฟหมาล่าต้นตำรับจากนครเฉิงตู มณฑลเสฉวนของประเทศจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 

แม้จะเป็นระยะเวลาเพียง 9 ปี แต่ SHU DAXIA ถือเป็นอีกแบรนด์เชนร้านหม้อไฟหมาล่าที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยจุดเด่นในการตกแต่งร้านที่แสนจะอลังการและไม่จำเจผ่านการจำลองบรรยากาศสถานที่ที่ล้อไปกับความหมายของชื่อแบรนด์อย่าง ‘จอมยุทธ์’ ชวนให้ผู้คนที่ได้แวะเวียนเข้ามาต่างประทับใจในประสบการณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้ลืม จน SHU DAXIA ถูกยกย่องว่าเป็น 1 ใน 10 อันดับร้านหม้อไฟหมาล่าที่ดีที่สุดในประเทศจีนอีกด้วย

ด้วยจุดแข็งที่โดดเด่นของ SHU DAXIA ทำให้ตัวแบรนด์สามารถเปิดหน้าร้านไปได้ถึง 650 สาขาในประเทศจีน ทั้งยังสามารถขยายสาขาออกนอกประเทศได้ทั้งในโซนเอเชีย อเมริกา และในประเทศไทยด้วย 

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหน้าร้านในแต่ละประเทศหรือแม้กระทั่งในแต่ละสาขาของ SHU DAXIA นั้นถูกออกแบบและตกแต่งมาให้ไม่เหมือนกัน ในปี 2023 ที่ผ่านมา SHU DAXIA สาขาแรกในประเทศไทยหรือสาขา Crystal Design Center (CDC) ได้ถูกเปิดตัวมาด้วยคอนเซปต์โรงเตี๊ยมจักรพรรดิ์ ที่จัดเต็มด้วยสถาปัตยกรรมจีนทั้งร้านหรือไซส์ขนาดอาคาร 3 ชั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นมังกรสีทองล่องลอยอยู่บนเพดานของร้านที่คอยรับ-ส่งผู้เข้ามาใช้บริการทุกคน, เซตโต๊ะ-ที่นั่งฉบับจีนดั้งเดิม ตกแต่งแตกต่างกันออกไปตามโซนและห้อง VIP, หม้อไฟหมาล่าหัวมังกรที่มีน้ำซุปกว่า 7 รสชาติให้เลือก ตลอดจนการจำลองบรรยากาศของสระบัวด้วยเอฟเฟกต์ควันที่จะชวนให้เรารู้สึกถึงความเย็นสบาย แม้จะกินหม้อไฟรสเผ็ดชาก็ตาม ถ้าจะให้อธิบายถึงความอลังการทั้งหมด ก็คงไม่เท่ากับการได้ไปสัมผัสประสบการณ์กันด้วยตัวเองจริงๆ

ไม่ใช่แค่การตกแต่งภายในร้านที่ SHU DAXIA มีความจริงจังที่จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์ หรือความตั้งใจในการสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าเท่านั้น แต่แน่นอนว่าคุณภาพของวัตถุดิบ อาหาร และน้ำซุปก็ต้องอร่อย เพียงพอที่จะทำให้ตัวแบรนด์นั้นสามารถขายตัวมันเอง จนผู้คนถึงได้ติดใจและแวะเวียนกลับมาซ้ำ

แม้ SHU DAXIA อาจจะไม่ได้ทำการตลาดที่หวือหวามากนัก แค่เพียงบรรยากาศและคุณภาพวัตถุดิบก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นร้านหม้อไฟหม่าล่าครองใจลูกค้าบางกลุ่ม แต่ก็แน่นอนล่ะว่า ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้ SHU DAXIA ประเทศไทย ได้ลองจัดกิจกรรมเพื่อลูกค้าคนไทยดูบ้าง นั่นก็คือการเปิดตัวแบรนด์แคมเปญคนแรกด้วยการดึง Mark Tuan (มาร์ค ต้วน) นักร้อง แรปเปอร์ นักแต่งเพลงสัญชาติอเมริกัน-ไต้หวัน และหนึ่งในสมาชิกวงเค-ป๊อปอย่าง GOT7 มาร่วมกิจกรรมดินเนอร์สุดเอกซ์คลูซีฟกันในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2024 นี้ด้วย

Haidilao
ปีที่ก่อตั้ง : 1994
ปีที่เปิดสาขาแรกในไทย : 2019
จำนวนสาขาในไทย : 9 สาขา

Haidilao (ไหตี่เลา) คือแบรนด์หม้อไฟหม่าล่าต้นตำรับจากมณฑลเสฉวน ก่อตั้งในปี 1994 โดยจาง หย่ง (Zhang Yong) ที่เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานในชนบทของประเทศจีน ผู้ที่ไม่เคยได้นั่งกินข้าวในร้านอาหารดีๆ สักครั้งจนอายุ 19 เขายังเคยเป็นช่างเชื่อมในโรงงานแทร็กเตอร์ด้วยค่าจ้าง 470 บาทต่อวัน ก่อนที่ในปี 1994 จะตัดสินใจลาออกจากงาน เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเปิดร้านหม้อไฟหมาล่าขนาด 4 โต๊ะเป็นของตัวเอง ร่วมกับภรรยาและเพื่อนอีกสองคน 

ชื่อของร้าน Haidilao มีความหมายแปลไทยได้ว่า ‘ตักจากก้นทะเล’ แต่ที่มาที่ไปของชื่อแบรนด์นั้น ไม่ได้มาจากก้นทะเลหรอก แต่มาจากการเล่นไพ่นกกระจอกระหว่างจาง หย่งกับภรรยา และเมื่อไพ่ใบสุดท้ายที่คนเสฉวนมักเรียกกันว่า ‘ไหตี่เลา’ มาถึง ทั้งคู่จึงปิ๊งไอเดียการตั้งชื่อแบรนด์ขึ้นมาทันที

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา จาก Haidilao ธุรกิจหม้อไฟหมาล่าแบบเล็กๆ ได้เติบโตกลายมาเป็นธุรกิจในขนาดและสเกลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเปิดสาขาแฟรนไชส์ได้กว่า 900 สาขาทั่วโลก แต่ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน หัวใจของ Haidilao ภายใต้การบริหารของจาง หย่ง ก็ยังคงเน้นหลักการบริการที่ใส่ใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเป็นสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นหลากหลายบริการพิเศษระหว่างรอคิว ตลอดจนบริการภายในร้านที่เหล่าพนักงานจะคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ ยังมีการแสดงเปลี่ยนหน้ากากให้ได้ดูกันเป็นรอบๆ ไหนจะโชว์ดึงเส้นบะหมี่สดแบบประจันหน้า หรือถ้าหากได้มาในวันสำคัญอย่างวันเกิด หรือวันครบรอบ Haidilao ก็ยังมีช่อดอกไม้ ของหวาน รวมไปถึงการ์ดอวยพรให้กับเรา และในวันที่ต้องการความสงบอย่างการแวะมากินคนเดียว เราก็ได้นั่งกับน้องตุ๊กตาผมสีแดง มาสคอตของ Haidilao สุดน่ารักอีกด้วย

แต่ที่ว่ามาก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของ Haidilao เพราะยังมีกิจกรรมสนุกๆ อย่างการบอกโค้ดลับภาษาจีนต่างๆ เพื่อแลกกับของที่ระลึกกันแบบฟรีๆ ให้ได้หิ้วกลับบ้าน รวมไปถึงกิจกรรมอีกมากมายที่ก็มีให้เราได้คอยติดตามไปร่วมสนุกกันอยู่เรื่อยๆ 

เรียกได้ว่า Haidilao เป็นแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟที่มีบริการครอบคลุมให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย ทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในแต่ละประเทศได้ดี เห็นได้ชัดจากการออกโปรโมชั่นและกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป อย่างในสาขาประเทศไทยก็เพิ่งจะมีกิจกรรมเต้นแลกเนื้อ หรือกิจกรรมที่ชวนให้ลูกค้าได้ลุกขึ้นเต้นเหล่าเพลงฮิตใน TikTok เพื่อแลกรับเนื้อวากิวฟรี 1 ถาด หรือถ้าจะให้พูดถึงโปรโมชั่นล่ะก็ Haidilao ก็เคยมีทั้งโปรลับๆ เสิร์ฟเบียร์ฟรีไม่อั้นหลัง 4 ทุ่มสำหรับสาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หรือจะเป็นโปรเนื้อหรือหมูที่สั่ง 1 ถาด แถม 1 ถาดหลัง 4 ทุ่มที่สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 เป็นต้น

ในปัจจุบัน Haidilao สามารถขยายสาขาแบรนด์เชนหมาล่าหม้อไฟต้นตำรับจากเสฉวนไปแล้ว 1,600 กว่าสาขาทั่วโลก 

อ้างอิง

Writer

นักเขียน ผู้ซึ่งมี ‘มัทฉะ’ เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: y.pongtorn@gmail.com

You Might Also Like