ทำธุรกิจกับหุ้นส่วนยังไง ให้ธุรกิจไม่เจ๊ง ความสัมพันธ์ไม่จบ

หลายต่อหลายครั้งที่ต้องเห็นร้านโปรดที่เราชอบ แบรนด์โปรดที่เรารักต้องปิดตัวลง ด้วยหนึ่งเหตุผลสุดคลาสสิก อย่างการมีปัญหากับหุ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทะเลาะเบาะแว้ง หรือผลประโยชน์ที่ไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะการร่วมหุ้นกับคนสนิท ที่มักจะมีคำเตือนไว้บนตำราของคนทำธุรกิจว่า ‘ถ้าไม่อยากให้ทั้งธุรกิจและความสัมพันธ์มีปัญหา อย่าทำธุรกิจกับเพื่อนหรือแฟน’

ถึงขนาดมีการศึกษาจาก Harvard Business School พบว่าบริษัทที่ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อน เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงน้อยที่สุด และมีผู้ก่อตั้งตัดสินใจลาออกจากบริษัทตัวเองเพราะผิดใจกับหุ้นส่วนเกือบ 30% แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการสำรวจพบว่าธุรกิจที่มีหุ้นส่วนกว่า 40% มักเริ่มจากการเป็นเพื่อนหรือแฟนกันมาก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน

แม้ผลสำรวจจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ฟันธงว่าการที่คุณเป็น 60% ที่ทำธุรกิจหุ้นกับคนไม่รู้จักจะทำให้ธุรกิจไปได้สวยเสมอไปเพราะเมื่อลงเรือลำเดียวกัน แล้วพายไปในน่านน้ำที่เรียกว่าการทำธุรกิจ ย่อมเจอกับคลื่นปัญหาซัดผ่านเข้ามาเสมอ ทั้งในเรื่องการแบ่งบทบาทหน้าที่ ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ไปจนกระทั่งเรื่องเงิน ที่อาจทำให้พายเรือไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง จนดับฝันคนทำธุรกิจไปเลยก็ว่าได้

แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าธุรกิจแบบมีหุ้นส่วนจะเกิดปัญหาเสมอไป ในอีกมุมหนึ่งหุ้นส่วนก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป ดังนั้นหากตั้งลำเรือในการเลือกหุ้นส่วนที่ใช่ตั้งแต่ต้น ทำข้อตกลง แบ่งผลประโยชน์กันชัดเจน ไปจนถึงเตรียมพร้อมหากวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผิดใจกันในเรื่องฉ้อโกงหรือผลประโยชน์ไม่ลงตัว เทคนิคเหล่านี้ย่อมช่วยลดโอกาสที่ทำให้ธุรกิจเจ๊ง ความสัมพันธ์จบได้อีกทางหนึ่ง

#คำถามสำคัญก่อนเริ่มทำธุรกิจร่วมกัน

1. หุ้นส่วนมองเป้าหมายเดียวกันกับคุณหรือไม่

ย่อมเป็นธรรมดาที่คนทำธุรกิจร่วมกันจะมีความเห็นต่าง แต่ต้องไม่ใช่กับการมองเป้าหมายที่ต่างกัน เพราะเป้าหมายถือเป็นเข็มทิศสำคัญเพื่อกำหนดว่าธุรกิจควรเติบโตไปในทิศทางไหน โดยธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกทุกองค์กรมักแนะนำให้มองหาหุ้นส่วนที่เป็นแบบ vision driven หรือมีวิสัยทัศน์ในการกำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้ามากกว่าคนที่เป็นแบบ money driven หรือมองเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง สามารถจับสังเกตได้ผ่านการพูดคุยว่าเขาเน้นพูดเรื่องเป้าหมายและเสนอไอเดีย มากกว่าเรื่องผลตอบแทนที่เขาจะได้รับหรือไม่

2. หุ้นส่วนมีทักษะที่ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันหรือไม่

ไม่เพียงแต่หุ้นส่วนจะมาร่วมลงทุนในเรื่องของเงินเท่านั้น แต่เป็นการนำความสามารถและความเชี่ยวชาญของแต่ละคนมาเติมเต็มในส่วนที่บริษัทยังขาดหายไป เช่น บางคนเก่งเรื่องบัญชีและตัวเลข บางคนเก่งเรื่องการตลาด บางคนเก่งเรื่องงานดีไซน์ ก็สามารถดึงจุดเด่นของแต่ละคนมาส่งเสริมธุรกิจร่วมกันได้

3. หุ้นส่วนสามารถแยกแยะและแบ่งบทบาทได้ชัดเจนหรือไม่

ถ้าเป็นหุ้นส่วนที่เป็นเพื่อนหรือแฟน ยิ่งต้องไม่เอาเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน และขีดเส้นให้ชัดเจนในเวลางานว่าเป็น ‘หุ้นส่วนทางธุรกิจ’ เพื่อขจัดความไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เปลี่ยนเป็นพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ภายใต้ความคิดเดียวกันว่าอยากให้ธุรกิจเดินต่อไปข้างหน้า

และในเมื่อหาหุ้นส่วนที่ทักษะเฉพาะทางที่แตกต่างกันแล้ว ก็ควรทำสัญญาตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงบทบาทหน้าที่ของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครบริหารงานส่วนไหน ต้องทำอะไรบ้าง และต้องให้อำนาจสิทธิขาดตามหน้าที่ที่แบ่งหน้ากันไว้ ไม่เข้าไปก้าวก่ายซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็น แต่หากเกิดปัญหาที่ยากจะแก้ไขด้วยตัวคนเดียว ก็ให้หันหน้าคุยกันด้วยเหตุผล สลับกันเป็นผู้พูด และผู้ฟัง เพื่อฝ่าฟันปัญหาไปได้อย่างราบรื่นและธุรกิจดำเนินไปได้อย่างลงตัว

4. หุ้นส่วนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือไม่

ในการทำธุรกิจร่วมกันจะขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือ empathy ไม่ได้เลย เพราะหากเกิดปัญหาแล้วเอาแต่สาดโคลนใส่กัน ขาดความเห็นใจและไม่พยายามช่วยกันแก้ไขปัญหา ย่อมไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้

แม้แต่ สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) CEO ของ Microsoft ยังมองหาหุ้นส่วนและพัฒนาองค์กรให้เต็มไปด้วย Empathy Skills และแอนดรูว์ วอลล์บริดจ์ (Andrew Wallbridge) หัวหน้าฝ่ายทักษะความเป็นผู้นำและการจัดการของ TSW ยังแนะนำว่านอกจากจะมีกลุ่มผู้นำในองค์กรที่ตัดสินใจเฉียบคม มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมแล้ว การมีความเห็นอกเห็นใจย่อมทำให้การบริหารองค์กรและทีมงานเต็มไปด้วยความราบรื่นอีกด้วย

5. หุ้นส่วนจะไม่ดึงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องมาแทรกแซงธุรกิจใช่หรือไม่

ไม่เพียงแต่หุ้นส่วนที่ทะเลาะกันจนทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงเท่านั้น บางทีก็มีบุคคลที่สาม ที่สี่ หรือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเข้ามาแทรกแซง ก็เป็นมือมืดที่ทำให้ธุรกิจไปต่อได้ยาก โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับคนสนิท ที่อาจมีแฟนของเพื่อน พ่อแม่ของแฟนเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจจากการที่หุ้นส่วนหันไปปรึกษาคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องตกลงกันตั้งแต่ต้นว่าต่อให้เราสนิทกับหุ้นส่วนและครอบครัวของเขาแค่ไหน ก็จะไม่ดึงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจโดยเด็ดขาด

#แบ่งหุ้นยังไงให้ไม่ผิดใจกัน

อย่างที่รู้กันว่า ‘เรื่องเงิน’ เป็นอาวุธที่คมที่สุดในการตัดความสัมพันธ์และทำให้ธุรกิจพังไม่เป็นท่ามานักต่อนัก จึงควรตกลงแบ่งหุ้นส่วนกันให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น โดยทั่วไปหากเป็นหุ้นส่วนที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจด้วยกันมา มักนิยมแบ่งหุ้นกันคนละครึ่ง เช่น มีหุ้นส่วน 2 คน แบ่งคนละ 50-50 มีหุ้นส่วน 4 คนแบ่งคนละ 25% ในแง่ของผลตอบแทนการแบ่งเท่ากันดูแฟร์กับทุกฝ่าย แต่ในสิทธิการบริหารงาน ไม่สามารถแบ่งคนละครึ่งได้ชัดเจนขนาดนั้น จำเป็นต้องให้อำนาจการตัดสินใจเด็ดขาดที่คนใดคนหนึ่ง ซึ่งควรเป็นคนที่ถือหุ้นมากที่สุด

สามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นได้จากการลงทุนที่แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ

1. คนลงเงิน หมายถึง คนที่ลงทุนด้วยเม็ดเงินอย่างเดียว ไม่ได้เข้ามาบริหารงานมากนัก สามารถคำนวณเปอร์เซ็นต์ได้จากเงินที่นำมาลงทุนได้เลย

2. คนลงแรง นับรวมทั้งลงแรงกายและแรงสมอง สามารถคำนวณได้จากการคิดออกมาเป็นค่าแรงในระยะเวลาหนึ่ง เช่น ค่าแรงต่อเดือน ค่าแรงต่อปี

สมมติธุรกิจหนึ่งมีหุ้นส่วน 2 คน คนแรกลงเงินจำนวน 700,000 บาท สำหรับเป็นต้นทุนดำเนินธุรกิจ 1 ปี คนที่ 2 ลงแรงบริหารงานทุกส่วนคิดเป็นค่าแรง 300,000 บาทต่อปี สัดส่วนการลงทุนจะเป็น 70% และ 30% ตามลำดับ แต่หากในอนาคตมีการลงทุนเพิ่มเติมหรือมีหุ้นส่วนเพิ่มขึ้น ก็สามารถคำนวณปรับลดส่วนแบ่งกันได้ 

#ในวันที่ถูกหุ้นส่วนโกงควรทำยังไง

ฝันร้ายที่ไม่มีคนทำธุรกิจคนไหนอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งสามารถเตรียมพร้อมรับมือเผื่อเกิดเหตุการณ์นี้เข้าสักวัน ดังขั้นตอนตามนี้

1. รวบรวมหลักฐานที่ชัดเจน เช่น บัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ผิดปกติ หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว สัญญาที่มีการปลอมแปลง ข้อความหรือแชตที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับการฉ้อโกง

2. นำหลักฐานไปพูดคุยกับหุ้นส่วน ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจผิดหรือมีเหตุผลที่ทำให้เกิดการกระทำไม่ดี เพื่อไกล่เกลี่ยกันให้ลงตัว สามารถให้หุ้นส่วนที่เป็นฝ่ายผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือออกจากการเป็นหุ้นส่วนได้

3. หากการพูดคุยไม่เป็นผล คงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม โดยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง หรือฟ้องคดีอาญา ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และความเสียหายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามขอเน้นย้ำว่าการทำธุรกิจแบบมีหุ้นส่วนไม่ได้เต็มไปด้วยข้อเสียหรือข้อควรระวังเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการมีหุ้นส่วนที่ดี จากการเลือกหุ้นส่วนที่ใช่ ตกลงการทำงานร่วมกันอย่างลงตัว และแบ่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน จนประคับประคองธุรกิจให้รอดและรุ่งไปตลอดรอดฝั่ง

ที่มา

Writer

นักเขียนที่อยากเปลี่ยนเรื่องธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก และมีแมวกับกาแฟช่วยฮีลใจในทุกวัน

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like