รัก-สะอาด
Bunny Brown แบรนด์ผงซักผ้าขาวของ ‘นิ้งและเอิร์ธ’ ที่เริ่มจาก pain point แต่ลงมือทำด้วยรัก
ช่วงขวบปีที่ผ่านมาหลายคนน่าจะได้ก้าวออกจากเซฟโซนเพื่อลงมือทำอะไรใหม่ๆ เหมือนที่ นิ้ง–อริสา ลิขิตประเสริฐ (Ning Arisa) และเอิร์ธ–รัชชานนท์ ยามาโมโต (Earth Yamamoto) คู่รักอินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์ ที่ตัดสินใจจับมือทำธุรกิจเป็นของตัวเองครั้งแรกในชีวิต
เหตุผลที่นิ้งและเอิร์ธเลือกที่จะทำแบรนด์ผงซักผ้าขาวนั้นไม่สลับซับซ้อน เพราะมาจากการหยิบ pain point ในชีวิตประจำวันอย่างการซักผ้าที่ผิวเผินดูเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนทำงานบ้านย่อมรู้ดีว่านี่เป็นงานโหดหินไม่ต่างจากการเข็นครกขึ้นภูเขา โดยเฉพาะผ้าขาวที่เปรอะไปด้วยคราบสกปรก ทั้งคู่จึงอยากสร้างโปรดักต์ที่สามารถแก้ไขปัญหาชวนปวดหัวที่ว่า
“ผมกับนิ้งคุยกันมาตลอดว่าเราอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่เราจะทำอะไรกันดีล่ะ จนเรามองเข้ามาในชีวิตคู่ถึงนึกออกว่ามันควรจะเป็นของที่ใช้ในบ้าน ซึ่งตอนนั้นเรากำลังเจอปัญหาเรื่องการซักผ้าขาวพอดี ก็เลยตัดสินใจกันว่าจะลองทำแบรนด์ซักผ้าขาวเป็นของตัวเอง” เอิร์ธย้อนความถึงจุดกำเนิดของแบรนด์ Bunny Brown ให้เราฟัง
ด้วยเหตุนี้ ‘Bunny Brown’ จึงถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งทั้งนิ้งและเอิร์ธนิยามแบรนด์แบรนด์นี้ว่าไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตด้วยความรัก
จากออร์เดอร์หลักสิบเพิ่มเป็นหลักร้อย จากหลักร้อยเพิ่มเป็นหลักพัน ด้วยกระแสที่มาแรงนี้ คอลัมน์ 5P เลยขอชวนนิ้งและเอิร์ธมาเผยถึงเบื้องหลังการสร้างแบรนด์ Bunny Brown ที่เต็มไปด้วยความสนุก และความท้าทายอย่างการบริหารชีวิตคู่ รวมไปถึงอธิบายว่าแบรนด์ผงซักผ้าขาวของพวกเขามีความพิเศษยังไง

PRODUCT
ผงซักผ้าขาวที่อ่อนโยนต่อผิวและดีต่อใจพ่อบ้านแม่บ้าน
ใครที่ติดตามนิ้งและเอิร์ธน่าจะรู้ดีว่า ทั้งสองเป็นอินฟลูฯ สายคอนเทนต์ที่นำเสนอความน่ารักผ่านไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน แต่อย่างที่รู้กันดีว่าโลกของคอนเทนต์จะรุ่งหรือร่วงนั้นวัดกันที่ยอดเอนเกจเมนต์ วันนี้อาจมียอดวิวหลักล้าน แต่อีกวันอาจเหลือแค่หลักร้อย ดังนั้นเพื่อเป็นอีกหลักประกันในชีวิต ทั้งคู่จึงคิดทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันนานแล้ว
“เราคุยกับพี่เอิร์ธว่าถ้าคุณมองเค้า คุณคิดว่าเค้าควรขายอะไรดี มันมีไอเดียฟุ้งเต็มไปหมด อย่างเราเลี้ยงหมา เราก็อินกับเรื่องน้องหมามาก บวกกับเราชอบทำคลิป ก็เลยนึกอยากทำโปรดักต์ที่เป็นประโยชน์ต่อน้องหมาและต่อยอดทำเป็นคอนเทนต์ได้ ที่เราคิดไว้มีทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของหมา ไวน์หมา เบียร์หมา เป็นเหมือนอาหารเลียนแบบมนุษย์ที่มีประโยชน์ต่อหมา แต่ในความเป็นจริงมันมีเรื่องของข้อจำกัดจากทางโรงงานผลิต มีเรื่องต้นทุนเข้ามาเกี่ยว ไอเดียเลยถูกตีตก

“จนเราย้ายไปอยู่ที่บ้านใหม่ เราได้เจอกับพี่คนหนึ่งที่อยู่บ้านตรงข้าม เขาได้แชร์เรื่องการทำธุรกิจให้เราฟัง พี่เขาบอกว่าเขาทำมาหลายธุรกิจแต่ธุรกิจที่เริ่มจากความชอบทำแล้วเจ๊งหมด แต่ที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นธุรกิจที่เริ่มจากความไม่ชอบ ความขี้เกียจ มาคิดค้นโปรดักต์ที่สามารถใช้แก้ปัญหานั้นได้ เราเลยกลับมานั่งคุยกับพี่เอิร์ธอีกครั้งว่า แล้วมีอะไรบ้างที่เราไม่ชอบ”
จากคำแนะนำโดยเพื่อนบ้านในตอนนั้น ช่างประจวบเหมาะกับปัญหางานบ้านที่นิ้งและเอิร์ธกำลังประสบอยู่ นั่นคือ ‘การซักเสื้อขาว’ ที่ต่อให้ขยี้หรือแช่ทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็ยังดูหมอง มิหนำซ้ำยังทิ้งคราบสกปรกไว้ โดยเฉพาะคราบเลอะจากครีมกันแดด
ที่น่าหนักใจไม่แพ้กันคือผงซักผ้าขาวส่วนใหญ่มักไม่อ่อนโยนต่อผิวมือ มีอานุภาพรุนแรงถึงขั้นกัดผ้าสีให้สีซีดลงได้ จาก pain point ที่ว่านี้เอง นิ้งและเอิร์ธพร้อมหุ้นส่วนอีก 2 รายจึงตัดสินใจทำแบรนด์ผงซักผ้าขาวในอุดมคติเองเสียเลย
“สูตรแรกของ Bunny Brown คือการปรับผ้าหมองเป็นผ้าขาว ส่วนอีกสรรพคุณของเขาก็คือการจัดการพวกคราบฝังลึก ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้เป็นจุดเด่นของเขา โดยในส่วนผสมมีความอ่อนโยนต่อผิวมือเวลาซักและอ่อนโยนต่อตัวเนื้อผ้า
“ส่วนที่เราทำเป็นรูปแบบ ‘ผง’ แทนที่จะเป็นแบบลิควิดหรือสูตรน้ำที่คนนิยมกัน เพราะเราอยากให้การใช้งาน simple ที่สุด และข้อดีของแบบผงคือแช่แล้วละลายไม่ทิ้งคราบ ถึงจะเข้าเครื่องซักก็ตาม” เอิร์ธอธิบายถึงความพิเศษของผงซักผ้าขาว Bunny Brown ให้เราฟัง

อีกข้อที่ทำให้ Bunny Brown แตกต่างจากแบรนด์ผงซักผ้าขาวที่มีอยู่ในท้องตลาดคือ ‘แพ็กเกจจิ้ง’ ที่พวกเขาตั้งใจให้ดูโดดเด่นบนชั้นวาง มีกลิ่นอายวินเทจแบบ Y2K สามารถนำมาถ่ายรูปทำคอนเทนต์ได้ ซึ่งเอิร์ธบอกกับเราว่า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เรื่องของงานบ้านที่น่าเบื่อจำเจดูสนุกขึ้น โดยไอเดียของดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง และ Brand CI นั้นก็มาจาก ‘กระต่าย’ สัตว์ตัวน้อยขนปุยที่รักความสะอาดซึ่งเป็นมาสคอตของแบรนด์นั่นเอง
“เรื่องของดีไซน์เรามีคีย์เวิร์ดในใจคืออยากให้ดูวินเทจ เลยเริ่มจากตกลงกันว่าอยากให้โปรดักต์เป็นแบบกล่องกระดาษ แล้วมาโหวตว่าควรใช้สีอะไรดี ผลโหวตก็คือสีน้ำเงินกับเหลือง ตอนแรกผมเสนอให้โทนสีออกมาอ่อน แต่นิ้งกับหุ้นส่วนอีก 2 คนเขาอยากได้แบบสีสดๆ เพราะมองว่าโปรดักต์สีสดๆ ถ้าไปวางอยู่ในห้องซักผ้ามันน่าจะดูสวยมากแน่ๆ
“แต่กว่าจะได้แบบที่เห็นเราแก้กันหัวแตกมาก เราเสนอไอเดียมู้ดแอนด์โทนกันไปกันมา จนสุดท้ายมาจบที่คนออกแบบคนที่สองซึ่งตอนนั้นเรามี material ให้ลองเยอะมาก แค่ process ตรงนี้ก็ใช้เวลา 3-4 เดือน จนสุดท้ายออกมาเป็นแบบที่เห็น ที่เรารู้สึกว่า อันนี้แหละ อันนี้สวย ชอบเลย”
“อันนี้คือความตั้งใจของเรา เพราะเรารู้สึกว่าอยากให้การซักผ้าเป็นคอนเทนต์ได้ ทำให้คนเห็นแล้วอยากหยิบโปรดักต์ขึ้นมาถ่าย อยากหยิบขึ้นมาใช้ มารีวิว เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เรารีวิวโปรดักต์สักแบรนด์” นิ้งอธิบายเสริม


PRICE
ราคาที่ต่างจากในตลาดเพราะเลือกความมั่นคงในคุณภาพ
Bunny Brown 1 กล่อง ขนาด 400 กรัม สนนราคา 299 บาท
แน่นอนล่ะ ว่าการจะลงมือทำธุรกิจจำย่อมต้องนึกถึงเรื่องผลกำไร หรือเรื่องช่องว่างของโปรดักต์ที่ยังขาดในตลาด แต่สำหรับนิ้งและเอิร์ธที่เลือกลงทุนลงแรงเพื่อสร้างแบรนด์ผงซักผ้าขาว ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้เล่นอยู่มากได้มองไว้แล้วว่า ราคาสินค้าที่ตั้งไว้นั้นสมเหตุสมผล และสามารถทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงราคานี้ได้ โดยมีข้อแม้คือต้องยึดมั่นในคุณภาพและสื่อสารถึงความสมเหตุสมผลนี้ไปถึงผู้บริโภคให้ได้
“มองผิวเผินอาจจะดูว่าราคาแพง แต่เราก็เหมือนผู้ประกอบการทั่วไปที่ตั้งราคาโปรดักต์จากต้นทุน ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ต้นทุนของเราก็สูง และอาจถูกเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาด เราเลยพยายามหาจุดขายมาสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นว่า เราไม่ได้ตั้งราคาขึ้นมามั่วๆ เราไม่ใช่แค่ผงซักฟอก แต่เราเป็นสินค้าแก้ปัญหา สินค้าของเราปลอดภัยต่อคนที่แพ้ผงซักผ้าขาวเอามากๆ ซึ่งเราเคยเอาให้เพื่อนที่แพ้ทดลองใช้ ปรากฏว่าเขาใช้แล้วมือไม่ลอกไม่แสบ
“กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่เราตั้งใจซัพพอร์ตคือกลุ่มคนที่เลี้ยงหมาและแมว อย่างเราที่เลี้ยงหมาเองก็อยากให้เขาปลอดภัยสุขภาพดี เราเลยพัฒนาให้ Bunny Brown อ่อนโยนต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง สามารถทำความสะอาดของเล่น หมอน หรือที่นอนของเขาได้”
นิ้งอธิบายต่อว่า Bunny Brown 1 กล่องนั้นมีปริมาณการใช้ซักได้ถึง 27 ครั้ง โดยการใช้งาน 1 ช้อน สามารถใช้งานกับผ้าได้ถึง 10-20 ตัว หารเฉลี่ยแล้ว 1 กล่องสามารถใช้งานได้นานถึง 2 เดือน ทำให้ Bunny Brown ตอนนี้ก้าวเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มแม่บ้านมือฉมัง

PROMOTION & PLACE
ใช้ ‘คอนเทนต์’ เป็นกลยุทธ์การขายช่องทางออนไลน์จนปัง
ณ เวลานี้ สินค้าของ Bunny Brown มีวางจำหน่ายแบบออฟไลน์ที่ Matchbox 3 สาขา ได้แก่ สยาม เมกะบางนา และเซ็นทรัลเวสต์เกต โดยวางอยู่ในหมวดเดียวกับสินค้าประเภทเสื้อผ้าเพื่อให้ผู้ที่มาแวะซื้อได้หยิบจับ ตัดสินใจซื้อกลับไปลองใช้ ซึ่งทั้งคู่บอกกับเราว่า สาเหตุที่เลือกวางจำหน่ายที่มัลติแบรนด์สโตร์แห่งนี้เนื่องจากคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ใกล้เคียงกัน
“ถ้าอนาคต Bunny Brown ไปสู่จุดที่เป็น volume trade ได้ก็ดีนะ แต่เราคุยกับคนในทีมทุกคนแหละว่า Bunny Brown อาจจะยังไม่เหมาะที่จะไปยืนอยู่ในจุดนั้น พูดกันตรงๆ ก็เพราะว่าด้วยเรื่องราคา คืออยู่ดีๆ จะไปวางขายในเซเว่นฯ เราจะเอากำไรจากไหน สินค้าเราเลยยังเป็นเรื่องของลูกค้าเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตถ้าหลังบ้านแข็งแกร่งมันก็อาจจะขยายไปตรงนั้นได้”
อย่างที่เอิร์ธว่าไว้ข้างต้น ดังนั้นเวลานี้ Bunny Brown จึงทุ่มเทการทำงานไปยังช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok Shop และ Shopee Thailand ซึ่งมีกลยุทธ์สำคัญในการกระตุ้นยอดขายถล่มทลาย นั่นคือการสร้างคอนเทนต์ที่พวกเขาถนัด

“นิ้งอยากจะบอกว่า ทั้งนิ้งและพี่เอิร์ธเอาประสบการณ์ เอาทุกศาสตร์ ทุกเครื่องมือ ตลอด 4 ปีที่ทำคอนเทนต์มาใช้ Bunny Brown กับแทบจะทั้งหมด อย่างตอนช่วงแรกที่เราไลฟ์ขายคนยังไม่เข้าใจว่าเราขายอะไร ใช้แล้วคราบแบบไหนถึงออก พี่เอิร์ธเลยแบบ โอเค งั้นเราทดลองให้เขาดูกันเลย เอาตู้ปลามาตั้ง ใส่น้ำ ใส่ผงซักแล้วแช่ให้เขาดู
“หรือช่วงหนึ่งที่กระแสตุ๊กตาลาบูบู้มาแรง วันฮาโลวีนเราก็เอาลาบูบู้มาสาดคราบให้ดูน่ากลัว แล้วค่อยเอาน้องไปจุ่มซักทำความสะอาด ตอนนั้นจำได้ว่าคนเข้ามาดูไลฟ์เยอะมาก มันเป็นสิ่งใหม่ที่เราทำแล้วก็สนุกไปด้วย”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่นิ้งและเอิร์ธยึดถือและย้ำเสมอเมื่อทำการไลฟ์ คือการไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และต้องแนะนำลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาชมหรือเข้ามาซื้อได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

“คราบบนโลกนี้มันมีหลายพันคราบ ผ้าบนโลกนี้ก็มีหลายชนิด เราเลยบอกคนที่เข้ามาดูอยู่เสมอว่า อย่าหวังว่าใช้แล้วคราบมันจะออกหมดทันที เราไม่ใช่ผงวิเศษ เราแค่ทำให้มันดีขึ้น จางขึ้น ไม่ใช่ไปเคลมจนเว่อร์เกิน หรือผ้าสกรีน ผ้ามัดย้อม ก็ห้ามเอาไปแช่ เอาไปซักนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นของ Bunny Brown หรอก เพราะของยี่ห้อไหนก็ลอกถ้าเอาไปซักกับผงซักผ้าขาว
“ในทางหนึ่งการพูดจำกัดการซื้อแบบนั้นมันก็เหมือนการฆ่าตัวตายทางอ้อม แต่เราเป็นห่วงคนที่ซื้อไปใช้มากกว่า อย่างเมื่อไม่นานมานี้เราทำการทดลองเอาเครื่องสำอางสาดใส่เสื้อ ผมก็จะบอกผู้ชมว่าเรากำลังทำคอนเทนต์อยู่นะ ถ้าคราบแบบเนี้ยมันหนักเกิน เราควรหา remover ที่มันตรงกับเครื่องสำอางมาลบก่อนแล้วค่อยนำไปซัก
“คือหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นอินฟลูฯ ต้องขายดีแน่ๆ แต่นั่นมันก็แป๊บเดียว ยังไงสุดท้ายผู้บริโภคก็เลือกวัดที่คุณภาพสินค้า ถ้าคุณภาพดีเขาก็กลับมาซื้อต่อ มาบอกต่อคนรอบตัว” เอิร์ธเน้นย้ำถึงจุดยืนของ Bunny Brown ด้วยสีหน้าจริงจัง

PARTNER
ทำธุรกิจกับ ‘คนรัก’ ต้องรู้จักการ ‘บาลานซ์ชีวิต’
“P ที่ 5 ของพวกคุณคืออะไร” ผมถามนิ้งและเอิร์ธ ก่อนที่ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่หลายนาทีเพื่อหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้นั่นคือคำว่า partner ที่ไม่ได้มีแค่เพียงมุมมองการทำธุรกิจร่วมกัน แต่ยังหมายถึงการใช้ชีวิตคู่ด้วย
“ไหนตอบดิ รักกันไหมเนี่ย” เอิร์ธพูดหยิกแกมหยอกพลางมองไปที่นิ้ง
“ถ้าพูดถึงการทำคอนเทนต์ออนไลน์เราเคยทำรวมกันกับพี่เอิร์ธมาก่อน แต่สุดท้ายเราตกลงว่าแยกช่องทำกันเถอะ คือเหมือนไลฟ์สไตล์เราแตกต่างกันชัดเจน เราต่างมีความเป็นไดเรกเตอร์สูง แต่พอมาเป็นเรื่องของการทำธุรกิจร่วมกันเราต้องปรับตัวกันใหม่หมด เหมือนเราต้องแบ่งฝั่งหน้าที่ไม่ก้าวก่ายกัน รวมไปถึงการทำงานกับฝั่งพาร์ตเนอร์ของเราอีกสองคนที่ซัพพอร์ตอยู่หลังบ้านด้วย” นิ้งตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ก่อนหน้านั้นเราทำอินฟลูฯ เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เราหาคอนเทนต์ทุกอย่างที่มันสนุกอะ มันเลยทำให้ชีวิตเราสนุกมาก แต่พอเป็นเรื่องธุรกิจมันมีเรื่องความเครียดเข้ามา มีปัญหาให้แก้ในทุกๆ วัน กลายเป็นว่าชีวิตคู่เราโฟกัสกันแต่งาน จนบางที 3 เดือนนี้มันเป็นช่วงที่เราแทบจะคุยกันภาษาธุรกิจอย่างเดียวเลย เพื่อที่จะต่อยอดพัฒนาตัวเอง เคยคุยกับนิ้งเหมือนกันว่า นี่เรากำลังพยายามขนาดนี้กันไปเพื่ออะไร แล้วถ้าสมมติว่าพยายามขนาดนี้แล้วความสัมพันธ์เรามันแย่ลง มันคุ้มกันจริงเหรอ”

แม้จะเผชิญกับเรื่องน่าหนักใจ แต่สุดท้ายแล้วทั้งนิ้งและเอิร์ธก็สามารถหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้ นั่นคือการรู้จักที่จะบาลานซ์ชีวิต
“เรากับพี่เอิร์ธสร้างโกลไว้ร่วมกัน คือทุกเดือนเราจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ไม่ก็ต้องหาเวลาออกจากบ้านไปกินข้าว ไปรีแลกซ์ เพราะบ้านของเราที่ใช้ถ่ายคอนเทนต์มันก็ถือเป็นออฟฟิศที่ใช้คุยงานด้วย เวลาออกไปเราจะพยายามไม่คุยเรื่องงาน ถึงจะมีแอบแวะบ้าง คือเราต้องบาลานซ์ความสัมพันธ์ตรงนี้ให้ดี ไม่ปล่อยให้เคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่จนความสัมพันธ์มันพัง”
“ใช่ ถึงตรงนั้นทำแล้วได้เงินเยอะก็จริง แต่ถ้าชีวิตคู่พัง แล้วเป้าหมายของการทำธุรกิจเราจะทำไปทำไม แล้วเราจะรวยไปเพื่ออะไร” เอิร์ธพูดเสริม
ถึงตรงนี้ Bunny Brown อาจจะยังเป็นแบรนด์ผงซักผ้าขาวที่กำลังเติบโตและต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพื่อแข่งขันในตลาดเดียวกัน แต่เชื่อเหลือเกินว่าด้วยความรักที่ทั้งนิ้งและเอิร์ธมีต่อธุรกิจของพวกเขา จะทำให้ Bunny Brown เติบโตอย่างมั่นคงตามที่ตั้งใจไว้ ว่าอยากจะดูแลแบรนด์แบรนด์นี้ให้เหมือนลูกของตัวเอง