วิเคราะห์กลยุทธ์ Avatar

เบื้องหลังที่ทำให้ Avatar เป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล

สิ้นสุดการรอคอยกับภาคต่อของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่ขึ้นแท่นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลกับ ‘Avatar 3 Fire and Ash อวตาร: อัคนี และธุลีดิน’ ที่เพิ่งเข้าโรงสดๆ ร้อนๆ ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ ถือว่าแฟนๆ ชาวนาวีใช้เวลารอถึง 16 ปีเต็มกว่าจะเดินทางมาถึงภาค 3 นับจาก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อปี 2009 และใช้เวลาถึง 13 ปี กว่าจะมีภาคต่อออกมาในชื่อ Avatar: The Way of Water เมื่อปี 2022

แกนเรื่องหลักของจักรวาลนี้ คือการปะทะกันระหว่างมนุษย์ผู้โลภมาก กับชาวนาวีชนเผ่าพื้นเมืองตัวสีฟ้าที่อาศัยอยู่ในดาวแพนดอร่าและมีจิตใจผูกพันกับธรรมชาติ โดยมีเจค ซัลลี่ อดีตนาวิกโยธินที่เข้าไปในร่าง ‘อวตาร’ (ร่างลูกผสมระหว่างมนุษย์และชาวนาวี) เพื่อช่วงชิงทรัพยากรล้ำค่า แต่กลับหลงรักวัฒนธรรมและดินแดนแพนดอร่า จนต้องเลือกข้างปกป้องชาวนาวีจากความโหดร้ายของมนุษย์

สำหรับภาคต่อก็เน้นไปที่การต่อสู้ เพื่อปกป้องครอบครัวและเผ่าพันธุ์จากภัยคุกคามที่กลับมา โดยต้องอพยพไปอยู่ชายฝั่งทะเลของดาวแพนโดร่า และปรับตัวกับเผ่าพันธุ์นาวีสายน้ำ และภาคล่าสุดเป็นการเผชิญหน้ากับเผ่านาวีใหม่ที่ก้าวร้าวขึ้นอย่างเผ่าธุลี (Ash People)

นอกจากเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามแล้ว เราจะพามาวิเคราะห์ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำให้แฟรนไชส์นี้กวาดรายได้มหาศาล ตั้งแต่การเล่นประเด็นใกล้ตัวอย่างเรื่องธรรมชาติ มีงานภาพที่สวยงามและสมจริงจากการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี มาสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการหนัง ไปจนถึงการถึงกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ที่ทำให้อวตารไม่ได้เป็นแค่หนัง แต่คือการสร้างประสบการณ์ร่วมให้แก่ผู้คน

ภาพยนตร์ไซไฟที่เข้าถึงผู้คนด้วยธีมธรรมชาติและความสมจริง

ด้วยวิสัยทัศน์ของเจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ผู้กำกับฝีมือฉมังที่เคยสร้างผลงานขึ้นชื่อ อย่างไททานิค, ฅนเหล็ก 2029, Aliens ฝูงมฤตยูนอกโลก เขาได้หยิบความชอบของตัวเองที่เป็นคนรักธรรมชาติ มาผสมผสานกับเรื่องวัฒนธรรม และการปกปักรักษาทรัพยากรบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด

แม้แต่ความความแฟนตาซีของดาวแพนดอร่ายังเลือกใช้ต้นแบบเป็นดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ Alpha Centauri A ซึ่งเป็นดาวฤกษ์จริงที่อยู่ใกล้ระบบสุริยะของเรา ทำให้มีความสมจริงทางดาราศาสตร์ ส่วนชาวนาวีและสัตว์ต่างๆ ถึงจะดูเหนือความเป็นจริง แต่ก็มีการออกแบบโดยอิงหลักชีววิทยา มีการใช้แหล่งธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตหายากในโลกของเรามาเป็นต้นแบบ

ถึงขั้นลงทุนสร้างภาษาเฉพาะของเผ่านาวีขึ้นมาเองชื่อว่า ‘ภาษานาวี (Na’vi language)’ คิดค้นโดย ดร. พอล ฟรอมเมอร์ (Dr. Paul Frommer) นักภาษาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาษา โดยมีการคิดคำศัพท์และไวยากรณ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทำให้แฟนๆ นำหลักการนี้ไปช่วยคิดคลังคำศัพท์เพิ่มขึ้น เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่แม้จะมีภาพเหนือจินตนาการ แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายเรื่องความสมจริง จนทำให้ผู้ชมอินไปตามๆ กัน

โดดเด่นด้วยงานภาพจากเทคโนโลยีล้ำสมัย

สิ่งที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดเกี่ยวกับอวตาร คงหนีไม่พ้นงานภาพสุดตระการตา ที่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ 3 มิติแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในโรงภาพยนตร์ โดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีทั้ง 3D และ Motion Capture คือการให้นักแสดงจริงมาถ่ายทำด้วยกล้องล้ำสมัยที่มีระบบ Virtual Camera System ผสมผสานกับการทำ CGI ทำให้เห็นตั้งแต่ตอนถ่ายทำว่าหน้าตาของชาวนาวีและองค์ประกอบต่างๆ จะออกมาเป็นแบบไหน

ไม่แปลกใจหากหนังเรื่องนี้จะใช้เงินทุนสร้างสูงถึง 237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถึงอย่างนั้นก็กวาดรายได้กลับมาถึง 2,923 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้จากการเข้าฉายสูงสุดตลอดกาล พร้อมคว้ารางวัลในงานออสการ์ปี 2010 ถึง 3 รางวัล ได้แก่ กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และ Visual Effects ยอดเยี่ยม

ถึงแม้ภาคต่อจะใช้เวลาสร้างนานถึง 13 ปี และเป็นช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่ากระแสภาพยนตร์ 3D เริ่มเบาบางลง แต่เจมส์ คาเมรอน กลับไม่คิดแบบนั้น เขาพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำ โดยใช้กล้องถ่ายใต้น้ำ และเนรมิตน้ำทั้งหมดด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก ทำให้ภาค 2 ใช้ทุนสร้างสูงถึง 460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้จะกวาดรายได้ไปไม่เท่าภาคแรก แต่ก็ทำเงินไปถึง 2,343 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และครองสถิติภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในโลกเป็นอันดับที่ 3

เปิดตัวแบบไม่หวือหวา แต่รีวิวดีจนบอกต่อกันปากต่อปาก

คอหนังอาจคุ้นชินกับข่าวคราวภาพยนตร์เปิดตัวด้วยรายได้มหาศาล แต่อวตารกลับไม่ใช่แบบนั้น สัปดาห์แรกที่ออกฉายทำเงินได้เพียง 77,025 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยกว่าหนังฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่อง แต่หลังเข้าฉายไปสักพักกลับกวาดรายได้มาสูงกว่าหนังเรื่องไหนๆ

นั่นก็เพราะว่าหนังของเจมส์ คาเมรอน ไม่ได้เน้นการโปรโมตที่หวือหวา และไม่จำเป็นต้องรีบดูเพื่อหลบสปอยล์เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ แต่หลังจากผู้ชมกลุ่มแรกๆ ได้ดู ก็จะเริ่มมีรีวิวเชิงบวกเกิดขึ้นมากมาย เกิดการบอกกันปากต่อปาก ทำให้คนอยากไปดูมากกว่าเนื้อเรื่อง แต่คือการสัมผัสงานภาพที่สวยสมจริงและอินไปกับประสบการณ์ที่ได้รับตลอดการเข้าชม

อวตารยังเน้นเปิดตัวและออกฉายในช่วงปลายปีทุกภาค แม้แต่ภาค 3 ที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ในขณะนี้ เพื่อให้ผู้คนใช้เวลาช่วงหยุดยาวตั้งแต่คริสต์มาสจนถึงปีใหม่ไปชมภาพยนตร์ได้ทันที ถึงขนาดมีหลายคนแซวกันในโซเชียลมีเดียว่าถ้าปีไหนอวตารประกาศจะเข้าฉาย หนังหลายเรื่องก็จะเลี่ยงไม่เข้าฉายชนกับอวตารทันที

ต่อยอดสู่การท่องเที่ยวตามรอยหนังและทำสวนสนุก

หุบเขาแพนโดราในเรื่องอวตารได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย’ ประเทศจีน พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO และหลายคนขนานนามว่าเป็นหุบเขาอวตาร ทำให้คนต่างไปเที่ยวตามรอยหนังกันมากมาย คล้ายกับกรณีของการ์ตูนเรื่อง Spirited Away ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Jiufen Old Street ประเทศไต้หวัน จนมีคนไปตามรอยกันไม่ขาดสาย

อวตารยังสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ อย่างการที่วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ รีสอร์ต ในรัฐฟลอริดา ของสหรัฐฯ สร้างสวนสนุก Pandora – The World of Avatar โดยจำลองสภาพแวดล้อมบนดาวแพนโดราจากหนังอวตาร มาให้แฟนๆ ได้ชมผ่านการเล่นเครื่องเล่น Avatar Flight of Passage ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขี่หลังตัวแบนชี สัตว์คู่ใจชาวนาวี เพื่อชมทิวทัศน์บนดาวแพนดอราในรูปแบบ 3 มิติ

แม้อวตารภาค 3 เพิ่งเข้าฉายและต้องมารอดูกันว่าจะทำรายได้ถล่มถลายเหมือน 2 ภาคแรกหรือไม่ แต่ที่เห็นแน่ชัดคือเบื้องหลังการปั้นอวตารให้เป็นมากกว่าหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่คือการทำให้คนรู้สึกรัก ผูกพัน อินกับเนื้อเรื่อง ผ่านงานภาพที่สวยงาม และการต่อยอดสู่ประสบการณ์ท่องเที่ยวในโลกความเป็นจริง

Writer

นักเขียนที่อยากเปลี่ยนเรื่องธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก และมีแมวกับกาแฟช่วยฮีลใจในทุกวัน

You Might Also Like