GROW TOGETHER
สูตรการเพาะพันธุ์ธุรกิจแบบ AGA AGRO แบรนด์ที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้กับคนรักดอกไม้ทั่วโลก
2555 คือปีที่เอกะ อะโกร ก่อตั้งขึ้น โดยสามเพื่อนรัก โศรยา จรัณยานนท์, ธีรพล บุญมา และบดินทร์ ธาระเขต ที่ใฝ่ฝันว่าอยากทำธุรกิจด้วยกัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ทั้งสามคนอยู่ในแวดวงการทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้มากว่า 30 ปี
ตามประสาคนรักดอกไม้ หากเราพบกลีบช่อที่แบ่งบานที่ไหนก็เป็นต้องหยุดดูเสมอ ในวันธรรมดา ดอกไม้เป็นเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมความสดใส ในวันที่ชีวิตหนักหนา ดอกไม้ก็ช่วยชุบชูใจให้รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้แย่เกินไป คล้ายคำปลอบโยนว่าทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน
คอลัมน์ Brand Belief วันนี้เราจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้พูดคุยกับคนทำธุรกิจขายดอกไม้ แถมยังเป็นแบรนด์จากเชียงใหม่บ้านเกิด
AGA AGRO อาจเป็นชื่อที่เกษตรกรที่ทำฟาร์มดอกไม้อาจคุ้นหูอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ขอแนะนำคร่าวๆ ว่าพวกเขาคือบริษัทนำเข้า ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าให้กับคนทำธุรกิจ เกษตรกรเจ้าของฟาร์ม ไปจนถึงคนรักดอกไม้ที่อยากปลูกสักดอกไว้หลังบ้าน
ความเจ๋งก็คือพวกเขาจัดจำหน่ายให้กับคนทั่วโลก แถมยังเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกๆ ที่กล้าลงทุนลงแรง บุกเบิกการทำไม้ตัดดอกที่เกษตรกรไทยไม่เคยทำ ด้วยเป้าหมายว่าอยากยกระดับวงการดอกไม้ไปด้วยกัน
ชมรมคนรักดอกไม้
2555 คือปีที่เอกะ อะโกร ก่อตั้งขึ้น โดยสามเพื่อนรัก โศรยา จรัณยานนท์ ธีรพล บุญมี และบดินทร์ ธาระเขต ที่ใฝ่ฝันว่าอยากทำธุรกิจด้วยกัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ทั้งสามคนอยู่ในแวดวงการทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้มากว่า 30 ปี
“ธุรกิจดอกไม้ในสมัยก่อนยังไม่เฟื่องฟู ประเทศไทยยังใช้น้อยมาก ส่วนมากคนที่ใช้ดอกไม้คือกลุ่มราชการ หรือถ้าในเชียงใหม่จะเห็นมีรีสอร์ตใช้ดอกไม้ประดับอยู่ไม่กี่แห่ง ดอกไม้ยังเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่” บดินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายในประเทศเล่าเท้าความ
เมื่อได้มารวมตัวกัน เอกะ อะโกร จึงอยากเป็นธุรกิจขายเมล็ดพันธ์ุดอกไม้ให้ลูกค้า B2B และ B2C ที่มีจุดมุ่งหมายคืออยากยกระดับธุรกิจดอกไม้ไทยให้เจริญรุ่งเรืองในระดับสากล
ดอกไม้ไทยจากต่างแดน
ทีมเอกะ อะโกรเล่าให้เราฟังว่า สมัยก่อนการขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ในไทยนั้นมีราคาขายส่งแค่ 5-7 บาทต่อชุด กำไรน้อย แถมพันธุ์ดอกไม้ที่ขายก็เป็นพันธุ์ทั่วไป พวกเขาอยากเพิ่มมูลค่าจึงนำเข้าเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ใหม่ๆ จากต่างประเทศ เช่น ดอกเทียน ดอกบีโกเนีย มาปลูกในกระถาง จากที่เคยขาย 5 บาท พวกเขาก็ขายได้ราวกระถางละ 70 บาท
“เกณฑ์ของเราคือเป็นดอกที่สามารถปลูกในสภาพแวดล้อมและอากาศของเมืองไทยได้” ปิยพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศพูดถึงมาตรฐานในการคัดเลือก “ส่วนมากการคัดเลือกพันธุ์ของเรามี 2 แบบ คือพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีในประเทศไทยอยู่แล้ว กับอีกแบบคือพันธุ์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ลูกค้ายังไม่กล้าซื้อ เกษตรกรยังไม่กล้าปลูก เราต้องสร้างตลาดให้เขาก่อน”
เพราะฉะนั้น เอกะ อะโกร จึงต้องจัดงานแสดงพันธุ์พืชในช่วงปลายฤดูหนาวของทุกปี เพื่อพาลูกค้ามาทำความรู้สึกกับดอกไม้พันธุ์ใหม่ๆ ว่าสวยงามยังไง นอกจากเมล็ดและดอกไม้ในกระถาง เอกะ อะโกรยังอำนวยความสะดวกขึ้นอีกคือการขายต้นกล้าเล็กๆ ที่เติบโตได้ไม่นาน ให้ลูกค้าเอาไปปลูกต่อได้ง่ายๆ ที่บ้านได้เลย
เรียกได้ว่าอาจเป็นจังหวะเวลาที่ถูกต้อง เพราะราว 6 ปีก่อนเทรนด์ของการทำทุ่งดอกไม้ให้คนเข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายรูปกำลังมาแรงพอดี ประกอบกับช่องทางซื้อขายออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกสบาย ลูกค้าสามารถเอฟเมล็ดดอกไม้หรือต้นกล้าได้ง่ายๆ ที่บ้าน ชื่อของเอกะ อะโกรจึงป๊อปมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่คนรักดอกไม้เมืองไทย
ดอกไม้ไทยไปต่างแดน
สินค้าของเอกะ อะโกรแบ่งออกตามกลุ่มธุรกิจเป็น 2 กลุ่มหลัก คือเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่พวกเขานำเข้าจากต่างประเทศแล้วนำมาจำหน่ายต่อ
กับอีกกลุ่มคือดอกไม้ที่ทีมปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดเอง โดยเน้นไปที่ดอกดาวเรืองซึ่งเป็นที่นิยมสุดๆ ทั้งบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้าน
“ดอกดาวเรืองสัมพันธ์กับชีวิตของคนไทย ไม่ว่าสถานการณ์ไหนเราก็ใช้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อย่างอินเดียหรือเวียดนาม ดอกดาวเรืองก็เป็นดอกไม้ที่ราคาถูกที่สุดและคงทนมากที่สุด ดาวเรืองจึงตอบโจทย์กับการใช้งานทุกวัน ปริมาณการใช้จึงเยอะมาก” ปิยพันธุ์พูดถึงตลาด
ทนร้อน ทนแล้ง ออกดอกเร็ว คือมาตรฐานของการปรับปรุงพันธุ์ที่บริษัทเมล็ดพันธุ์หลายแห่งพยายามทำ แต่ในมุมของเอกะ อะโกร นอกจากปัจจัยเหล่านี้ พวกเขายังต้องคำนึงถึงการทนโรคและทนต่อการขนส่งทางไกล
“การปรับปรุงพันธุ์เป็นเรื่องที่หยุดไม่ได้ เพราะแต่ละปีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิของโลกที่ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของแมลง พันธุ์ที่ทนโรค ทนแมลงได้ในวันนี้อาจจะทนไม่ได้ในอีกสองปีข้างหน้า” ปิยะพันธุ์เล่าความท้าทาย
ถ้าเรานึกถึงดอกไม้ เราอาจนึกถึงเกษตรกรที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ไปเพาะในฟาร์มของตัวเอง ผู้ใช้ทั่วไปที่ซื้อไปปลูกต้นกล้าในห้อง หน่วยราชการหรือออร์แกไนเซอร์ที่ซื้อดอกไม้ต้นสำเร็จไปจัดงาน แต่ช่วงปีที่พ้นผ่านมา ลูกค้าของเอกะ อะโกรนั้นมีความต้องการที่หลากหลาย มีตั้งแต่ลูกค้าที่ขอซื้อดอกไม้กินได้ไปประกอบอาหาร หรือกลุ่มสถานศึกษาที่ขอซื้อไปทำสื่อการเรียนการสอน
จากธุรกิจขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ในไทย เอกะ อะโกรขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยเน้นขายเมล็ดพันธุ์ที่ปรับปรุงพันธุ์เองให้กับประเทศในโซนเอเชีย แอฟริกาใต้ ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
“ในขณะที่บ้านเราซื้อดอกไม้บ้านเขามา เช่น ซื้อดอกทิวลิปมาใส่แจกัน ดูเท่จังเลย ดูเป็นเมืองหนาว ต่างประเทศเองก็เหมือนกัน เขาซื้อดอกไม้ที่ดูเป็นดอกทรอปิคัลจากบ้านเราไปเพื่อให้รู้สึกว่า ฉันอยู่เมืองหนาว แต่ฉันมีดอกทรอปิคัลในบ้านนะ บ้านฉันอบอุ่น มีความสุข” ปิยะพันธุ์เล่าเกร็ดสนุกๆ ให้เราฟัง
ไม้ตัดดอกไทย โดยคนไทย
เอกะ อะโกรยังถือเป็นไม่กี่แบรนด์ที่ผลิตไม้ตัดดอกที่เพาะจากเมล็ดพันธุ์ ซึ่งผลิตโดยคนไทย 100% โดยมีคุณภาพเทียบเคียงกับไม้ตัดดอกนำเข้า หนึ่งในนั้นคือกุหลาบเวียดนามหรือลิเซียนทัสที่มาจากจีน
“เราเห็นโอกาสในฤดูหนาวที่บ้านเขาหิมะตก ผลิตไม่ได้ เราเลยลองผลิตกันดู” บดินทร์ย้อนความ ก่อนที่ปิยะพันธุ์จะเสริมต่อ
“เรารู้กันอยู่แล้วว่าลิเซียนทัสมีตลาดในต่างประเทศกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม หรือยุโรป เพราะฉะนั้นนี่คือตลาดของอนาคต เราจึงอยากทำดอกที่เกษตรกรไทยยังไม่กล้าผลิต ทำให้เขาเห็นก่อนว่าผลิตได้
“เป้าหมายของเราไม่ใช่การเป็นผู้ผลิตลิเซียนทัสรายใหญ่ที่สุดในไทย แต่เราอยากเป็นผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าคู่ค้าไปทำการค้าต่อ และจะทำยังไงให้เกษตรกรสามารถผลิตดอกที่มีคุณภาพที่สุด ในต้นทุนที่ต่ำที่สุด”
เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงมีการทำงานร่วมกับเกษตรกรจากบ้านปงไคร้ในอำเภอแม่ริม เชียงใหม่ โดยผลิตต้นกล้าและออกต้นทุนในการผลิตให้ จากนั้นก็รับซื้อดอกไม้ที่โตเต็มวัยจากเกษตรกรต่อเพื่อขายต่อในตลาดทั่วประเทศ
ล่าสุดเมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 ของการทำไม้ตัดดอกไม้ เอกะ อะโกร และเกษตรกรสามารถผลิตลิเซียมทัสได้มากถึงหนึ่งล้านกิ่ง
มองลูกค้าเป็นเพื่อน
อะไรทำให้ฟาร์มเอกะ อะโกร เป็นฟาร์มดอกไม้ที่ลูกค้าหลายคนรัก
อาจเพราะพวกเขาเป็นฟาร์มที่น่ารักมาก เพราะไม่ได้สักแต่จะขายเมล็ดพันธุ์หรือต้นกล้า แต่ทีมเอกะ อะโกรดูแลลูกค้าแบบ one-stop service แถมยังมีบริการหลังการขายอีกต่างหาก
“ที่ฟาร์มของเราสอนลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะเมล็ด เลี้ยงดูต้นกล้า จนกระทั่งออกดอก นอกจากจะทำกันในฟาร์ม เรายังออกไปจัดกิจกรรมนี้นอกฟาร์มในทุกภาคของไทย เพื่อให้ลูกค้าสามารถปลูกดอกไม้ได้ดีจริงๆ” บดินทร์เล่า
“เรามีสโลแกนว่า ลูกค้าคือเพื่อน เรามองลูกค้าเป็นเพื่อนที่เติบโตไปพร้อมกับบริษัทเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกค้าที่ทำอาชีพเกี่ยวกับดอกไม้หรือปลูกเล่นๆ เป็นงานอดิเรกก็ตาม เราอยากดูแลเขาไม่ต่างกัน เพราะถ้าเพื่อนประสบความสำเร็จในการปลูก เราก็ประสบความสำเร็จด้วย
“นอกจากลูกค้า การดูแลพนักงานในบริษัทก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของเรา เพราะบุคลากรที่จะรู้เรื่องดอกไม้และคุยกับลูกค้าอย่างลึกซึ้งได้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ และเมื่อบุคลากรและลูกค้าของเรามีความสุขแล้ว ยอดขายก็จะตามมา” บดินทร์ปิดประโยคด้วยรอยยิ้ม