เปิดจักรวาล ‘แม่ตุ๊ก’ ในวันที่ไม่ใช่แค่ ‘แม่ตุ๊ก Little Monster’แต่เป็นเจ้าของธุรกิจสกินแคร์ มัทฉะ ฯลฯ

ถ้าพูดถึง ‘แม่ตุ๊ก–นิรัตน์ชญา การุณวงศ์วัฒน์’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘แม่ตุ๊ก Little Monster’ ครีเอเตอร์สายแม่และเด็กยุคบุกเบิก หลายคนน่าจะเชื่อมโยงความเป็นแม่ตุ๊กกับการเป็นแม่ของเด็กหญิง ‘จิน’ และ ‘เรนนี่’ ที่คอยแชร์วิธีเลี้ยงลูก การสอนลูกให้พูดภาษาอังกฤษ ไปจนถึงชีวิตครอบครัวที่หลายคนยกย่องเป็นแบบอย่าง

แต่ปัจจุบัน หากใครยังติดตามแม่ตุ๊กและช่อง Little Monster เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในหลายแง่มุม ทั้งด้านคอนเทนต์ บทบาทของแม่ตุ๊ก รวมไปถึงสินค้าต่างๆ ที่แม่ตุ๊กสร้างสรรค์ออกมา ก็ขยายไลน์สินค้าไปมากกว่าการเป็นสินค้าแม่และเด็ก แต่เป็นสินค้าเพื่อพัฒนาตัวเองและสินค้าที่เหมาะกับวัยรุ่นซึ่งกำลังซุ่มพัฒนากับลูกสาวที่เข้าสู่วัยใหม่อย่างจิน

Recap ตอนนี้จึงอยากพาไปสำรวจจักรวาล ‘แม่ตุ๊ก’ ในวันที่เปลี่ยนผ่านสู่บทบาทใหม่ๆ ไปจนถึงธุรกิจภายใต้ระบบนิเวศที่เกิดขึ้นจาก ‘ตัวตน’ ที่เปลี่ยนไป เป็น Creator-led Brand Ecosystem ที่พัฒนาไปตามช่วงชีวิตของทั้งแม่และลูก

1. Personal Brand Evolution การเติบโตของ ‘แม่ตุ๊ก’ จาก ‘แม่ตัวอย่าง’ เป็น ‘บุคคลตัวอย่าง’

แม่ตุ๊กเคยเล่าว่าเธอฝันอยากมีธุรกิจของตนเองตั้งแต่เด็กๆ เริ่มตั้งแต่ประถมที่หยิบจับของในบ้านไปขายเป็นของมือสอง เมื่อเข้าสู่ช่วงทำงานประจำเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ก็รับงานนอกจนทำเป็นแบรนด์แยกของตนเอง ก่อนเลิกไปและเริ่มทำขนมขาย จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต นั่นคือธุรกิจที่ชื่อว่า Little Monster

จุดเริ่มต้นของ Little Monster คือแม่ตุ๊กในบทบาท ‘คุณแม่’ ที่เล่าความพยายามเลี้ยงลูกแบบอบอุ่นและจริงใจ การเรียนรู้เรื่องความรักตัวเอง และการกลับมาดูแลชีวิตตัวเองหลังช่วงยากๆ

คอนเทนต์เหล่านั้นมีความเชื่อมโยงกับลูกสาวอย่างน้องจินและน้องเรนนี่ ตั้งแต่คลิปจินที่สนทนาในรถกับพ่อเหว่งอย่างสนุกสนาน คอนเทนต์สอนเรนนี่พูดภาษาอังกฤษ คอนเทนต์ที่ชวนเรนนี่และจินมาสะท้อนมุมมองความคิดที่ผู้ใหญ่หลายคนต่างก็ชื่นชม

เมื่อเวลาผ่านไป จินและเรนนี่ย่อมเติบโตขึ้น จากเรนนี่สายกิน ก็เป็นเรนนี่ที่รักการทำอาหาร จากจินที่ชอบวาดรูป ก็ได้ไปแคมป์ด้านศิลปะที่ต่างประเทศ และแน่นอนว่าเด็กๆ ย่อมต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น นั่นเองเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คอนเทนต์ในช่องเริ่มสะท้อนตัวตนของแม่ตุ๊กชัดเจนขึ้น พร้อมๆ กับการมาถึงของโลก TikTok ที่ครีเอเตอร์แต่ละคนในช่องต่างๆ ต่างก็มีแอ็กเคานต์ย่อยๆ เป็นของตัวเอง

แม่ตุ๊กเริ่มทำคอนเทนต์ที่แชร์ให้เห็นถึงความชอบส่วนตัว การดูแลใจ การบาลานซ์บทบาทแม่ ผู้หญิง และมนุษย์ ทำให้เธอเริ่มเปลี่ยนผ่านบทบาทจาก role model คุณแม่ เป็น role model ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่น่านำเป็นตัวอย่าง โดยไม่ต้องพึ่งพาความน่ารักของเด็กๆ อย่างเดียวเหมือนในยุคแรก นี่คือการเติบโตของตัวบุคคลที่ตั้งต้นให้ทั้งเพจและแบรนด์สินค้าเติบโตตาม

2. Creator-led Brand Ecosystem เมื่อคอนเทนต์ กลายเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ

เมื่อฐานผู้ติดตามโตขึ้น ความเชื่อใจของแฟนๆ ก็สะสมเป็นรากฐานของการทำธุรกิจ สมัยเด็กๆ ยังเล็ก Little Monster ทำสินค้าแม่และเด็กออกมาวางขาย อย่างแฟลชการ์ด หนังสือภาพ บอดี้สูทเบบี๋ 

แม่ตุ๊กยังเคยทำแบรนด์ Happy Munchy ขนมและอาหารสำหรับเด็กจากการที่จินทานยาก โดยตั้งต้นกับหุ้นส่วนอีก 2 คนก่อนที่แม่ตุ๊กจะถอนตัวเองออกจากแบรนด์ นอกจากนั้นยังมี บราวนี่จินเอง, pop bread และคุกกี้ที่ขายในร้าน Family Garden ของแม่หรือคุณยายของเด็กๆ

เมื่อเด็กๆ เริ่มโต และแม่ตุ๊กเริ่มทำช่องของตัวเองพร้อมแชร์คอนเทนต์ในแบบที่เป็นตัวเอง จึงเกิดเป็นธุรกิจใหม่อย่าง SEEN แบรนด์ที่เน้นให้ผู้คนกลับมามองเห็นคุณค่าของตัวเองและได้ดูแลตัวเองทั้งกายและใจอีกครั้ง มีทั้งอาหารเสริมที่ช่วยดูแลใจและร่างกายที่พัฒนามาจาก pain point ของแม่ตุ๊กเอง สมุดบันทึก มาส์กหน้า ไปจนถึงมอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งแต่ละหมวดดูจะเป็นสินค้าคนละกลุ่ม ทว่าสินค้าเหล่านี้กลับเชื่อมโยงกันอย่างไร้ที่ติ คือเป็นสินค้าที่ทำให้ผู้คนได้ ‘seen’ หรือกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

ไม่นานมานี้ยังมี Hi Matcha Girlies ที่เกิดจากความหลงใหลในมัทฉะของแม่ตุ๊กซึ่งแม้จะยังไม่ได้วางขาย แต่ก็ได้ร่วมมือกับทาง After You คิดค้นเมนูมัทฉะวางขาย 

การแตกแบรนด์ภายใต้ความเป็นแม่ตุ๊กยังพัฒนาได้อีก เมื่อจิน ลูกสาวคนโตที่ทำให้เกิดช่อง Little Monster ก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ก่อกำเนิดแบรนด์ SAYSO สกินแคร์และเครื่องสำอางสำหรับวัยรุ่น ที่แม้ตอนนี้จะยังไม่ launch แต่ก็เริ่มสร้างพื้นที่ทดลองคอนเทนต์แล้ว ได้เปรียบทั้งในเชิงการรีเสิร์ชและพัฒนาสินค้า เพราะเปิดให้จินและเพื่อนๆ รวมถึงคนทางบ้านได้ร่วมแสดงความเห็นและสิ่งที่ต้องการ ขณะเดียวกันก็ได้สร้าง brand awareness ให้คนติดตามซื้อสินค้า เอาใจช่วยในการพัฒนาไปในตัว

ไม่ว่าจะ Little Monster, SEEN, Hi Matcha Girlies หรือ SAYSO ต่างก็อยู่ภายใต้ร่มเดียวกัน คือการพัฒนาสินค้าจากประสบการณ์จริงของครอบครัว ระบบนิเวศที่แม่ตุ๊กสร้างจึงไม่ใช่แค่การขายของ แต่เป็นการเชื่อมคาแร็กเตอร์ คอนเทนต์ คอมมิวนิตี้ และสินค้าเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง

3. Community-driven Branding คอมมิวนิตี้ที่ทำให้แบรนด์เติบโตไปพร้อมชีวิตจริง

สิ่งที่ Little Monster และแม่ตุ๊กทำได้ดีมากคือการสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้แม่ๆ และผู้ติดตามรู้สึกว่าเข้าใจกัน แม้จะไม่เคยพบหน้า ความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้ผู้ติดตามยอมรับการเติบโตของเพจไปพร้อมกับครอบครัว นั่นคือเข้าใจแบบไม่ตัดสิน, เลี้ยงลูกแบบกล้าลอง, สอนเรื่องการเคารพตัวเอง และแชร์ชีวิตจริงมากกว่าชีวิตที่แสนเพอร์เฟกต์ คอมมิวนิตี้แบบนี้คือพลังสำคัญที่ทำให้สินค้าใหม่ๆ ยังมีพื้นที่เติบโตเสมอ

สำหรับบทบาทเจ้าของธุรกิจนี้ แม่ตุ๊กยังเคยแชร์บทเรียนสำคัญไว้ว่า “เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ และความยากที่สุดของคนเป็นเจ้าของก็คือต้องเรียนรู้ที่จะพักให้เป็น”

Little Monster จึงเป็นตัวอย่างของครีเอเตอร์ที่ใช้ความเรียลและความไม่ยึดติดมาสร้างแบรนด์ได้อย่างลึกซึ่งและยืนยาว ตั้งแต่การสื่อสาร การเติบโตของตัวตนคนเป็นแม่ การเติบโตของลูกๆ การเคารพพื้นที่ในครอบครัว ไปจนถึงการสร้างสินค้าและธุรกิจที่ลิงก์จากเรื่องจริงทั้งหมด

Little Monster จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เพจครอบครัวอีกต่อไป แต่เป็น ‘แบรนด์’ ที่มี ‘ชีวิต’ ที่คนดูรู้สึกผูกพัน และเติบโตไปพร้อมกันในทุกช่วงวัย

You Might Also Like