เมืองใต้ดินโตเกียว เมืองฟองน้ำอู่ฮั่น โปรเจกต์รับมืออุทกภัยเมืองเศรษฐกิจ ยุควิกฤตสภาพอากาศ 

แม้สถานการณ์มหาอุทกภัยทางใต้ตอนนี้จะเริ่มคลี่คลายลงบางพื้นที่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เหลือไว้หลังน้ำลด คือความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชน และที่น่ากังวลกว่านั้นคือวิกฤตนี้ส่งผลกระทบไปถึงภาคการท่องเที่ยว ยกตัวอย่างอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปไม่น้อย 

แม้จะเป็นมหาอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปีของภาคใต้ที่ต้นตอเกิดจากสภาพภูมิอากาศแปรปวน และอาจจะพอมองในแง่ดีได้บ้างที่วิกฤตนี้ไม่ยืดยาวไปถึง 1 เดือน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน GDP ราว 0.13% ตามการประเมินโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมหลายพื้นที่เศรษฐกิจทางภาคใต้ถึงเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนมือรัฐบาลกี่มือต่อกี่มือก็ตาม 

ในขณะที่หลายคนกำลังสงสัยต่อมาตรการการจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลไทย เราอยากชวนสังเกตว่าในต่างประเทศมีวิธีการจัดการออกแบบระบบสาธารณูปโภคทางน้ำยังไงให้พื้นที่เศรษฐกิจรอดพ้นจากปัญหาน้ำท่วม ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบพร้อมกันด้านล่างนี้

[G-Cans: มหาวิหารป้องกันน้ำท่วมแห่งกรุงโตเกียว]

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยเป็นลำดับต้นๆ โดยเฉพาะ ‘กรุงโตเกียว’ (Tokyo) เมืองหลวงที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศราว 14.09 ล้านคน และเป็นเขตเศรษฐกิจมหานครใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก สาเหตุมาจากพื้นที่กายภาพลักษณะราบลุ่มคล้าย ‘แอ่ง’ กอปรกับการเป็นประเทศที่เผชิญฝนตกสูงเป็นดับต้นๆ ของโลกทั้งจากฝนตามฤดูกาลและพายุไต้ฝุ่น บ่อยครั้งเมืองหลวงแห่งแดนอาทิตย์อุทัยจึงจมอยู่ใต้น้ำ 

นับตั้งแต่เกิดอุทกภัยกรุงโตเกียวครั้งใหญ่ในปี 1959 ที่คร่าชีวิตผู้คนถึง 4,000 ชีวิต รัฐบาลญี่ปุ่นได้หาวิธีป้องกันอุทกภัยที่อาจเกิดซ้ำ หนึ่งในนั้นคือการสร้าง ‘Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel’ หรือ ‘G-Cans’ อุโมงค์ใต้ดินขนาดยักษ์ที่กักเก็บน้ำได้มหาศาลถึง 670,000 ลูกบาศก์เมตร และด้วยขนาดความสูงวัดจากพื้นดิน 18 เมตร กับขนาดความยาวของระยะทาง 6.3-6.4 เมตร โดยมีเสาหลายต้นคอยค้ำยันทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่า ‘มหาวิหาร’ ใต้กรุงโตเกียว 

โปรเจกต์ G-Cans ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1992 ก่อนจะถูกเปิดใช้งานจริงในปี 2006 วิศวกรรมการระบายน้ำของมันขับเคลื่อนในฐานะ ‘buffer’ เบี่ยงน้ำล้นจากลำคลองสายย่อยสู่อุโมงค์ไม่ให้ท่วมถนนและเขตชุมชนด้วยเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 78 เครื่อง โดยปลายทางของอุโมงค์จะมีกระบอกขนาดความสูง 65 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 32 เมตรจำนวน 5 กระบอกคอยกักเก็บน้ำ และเมื่อปริมาณน้ำภายนอกลดลงน้ำที่ถูกกักเก็บไว้จะถูกระบายลงสู่แม่น้ำเอโดะและแม่น้ำอารากาวะ

ทั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่าตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ G-Cans ถูกเปิดใช้งานสามารถเซฟมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงของการถูกชัตดาวน์ระบบคมนาคมได้มากถึง 148.4 พันล้านเยน (ราว 4 หมื่นล้านบาทไทย) ผลงานที่เด่นชัดที่สุดคือในปี 2019 ที่สามารถลดความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนจากพายุไต้ฝุ่นฮากิบิส (Typhoon Hagibis) ถึง 90% เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต 

ที่น่าสนใจคือในยามสภาวะปกติ G-Cans ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสถาปัตยกรรม โดยมีไกด์นำเที่ยวให้ความรู้ เรียกว่าเป็นการลงทุนลงแรงในครั้งเดียวแต่ได้ผลระยะยาว อีกทั้งทำให้การช่วยเหลือยามเกิดอุทกภัยง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น

[Sponge City: เมืองฟองน้ำที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส]

มหาอำนาจอย่างจีนเองก็ครุ่นคิดถึงปัญหาอุทกภัยที่เป็นตัวการฉุดรั้งความเจริญทางเศรษฐกิจ นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาจีนประสบปัญหาน้ำท่วมเขตเมืองบ่อยครั้ง เหตุนี้ในปี 2013 รัฐบาลจีนจึงคิดค้นโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Sponge City’ หรือ ‘เมืองแห่งฟองน้ำ’ เพื่อให้คน ‘อยู่’ และ ‘ใช้ประโยชน์’ จากน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

อู่ฮั่น (Wuhan) คือเมืองแห่งเทคโนโลยีและเมืองท่าที่จีนเลือกเป็นต้นแบบนำร่องในโครงการ Sponge City ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า ‘เมืองพันทะเลสาบ’ จากการมีแหล่งทะเลสาบธรรมชาติรายล้อมพื้นที่นับพัน กระทั่งเกิดการถมทะเลสาบเพื่อสร้างตึกและเขตเมือง ส่งผลให้อู่ฮั่นเกิดน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้งจากน้ำที่หลากมาทางแม่น้ำแยงซีเกียง ซ้ำร้ายน้ำที่ระบายไม่ทันยังขังกลายเป็นน้ำเสีย สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ 

รัฐบาลจีนเริ่มปฏิบัติการโปรเจกต์ Sponge City ด้วยการฟื้นฟูทะเลสาบเดิมที่หลงเหลืออยู่และทะเลสาบที่ถูกถมสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในเมืองอู่ฮั่นให้กลายเป็น ‘พื้นที่สีเขียว’ เช่นการสร้างพื้นที่ ‘สวนฝน’ (rain garden) ที่เน้นปลูกหญ้าแฝกและพรรณไม้ที่มีความสามารถโอบอุ้มน้ำ และมีข้อดีอื่นอีกคือพรรณไม้เหล่านั้นช่วยกรองอากาศให้บริสุทธิ์, ลดอุณหภูมิเมือง และทำให้ทัศนียภาพภายในเมืองร่มรื่นขึ้นในฐานะพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ 

อย่างไรก็ดี Sponge City ไม่ได้พึ่งพาแค่พลังจากธรรมชาติ แต่รัฐบาลจีนดำเนินการปรับปรุงระบบผังระบายน้ำใต้ดิน ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนสิ่งปลูกสร้างให้ซึมซับน้ำได้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่ผนังคอนกรีตบ้านเรือนจนถึงตึกสำนักงาน, พื้นถนนฟองน้ำที่สามารถช่วยซึมซับปริมาณน้ำขัง และรางพื้นซับน้ำ (infiltration trenches) ที่ระบายน้ำจากพื้นลงสู่ใต้ดินในจุดที่กักเก็บน้ำอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลจีนยังทำแพลตฟอร์มสำหรับติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อปรับปรุงข้อผิดพลาดและจัดทำคู่มือสำหรับทำ Sponge City ในเมืองอื่นๆ ทั้งนี้ในปี 2020 มีรายงานว่า Sponge City เมืองอู่ฮั่น สามารถลดปัญหาน้ำท่วมขังได้ราวๆ 20-30%  โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าเฟสต่อไปคือต้องลดปริมาณน้ำให้ได้ 60-85%

[Climate Ready Boston: แผนกำแพงจาก ‘ธรรมชาติ’ พิทักษ์เมืองบอสตัน]

มหานครด้านการเงินและการค้าอย่างบอสตันก็ประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง จากต้องประสบปัญหาน้ำทะเลไหลบ่าจนท่วมขังเป็นทุนเดิมในฐานะเมืองชายฝั่ง เมื่อสภาพอากาศแปรปรวนหนักหน่วงขึ้นทุกวันผลพวงที่ตามมาคือคลื่นลมแรง, พายุไซโคลน ไปจนถึงพายุหิมะและพายุลูกเห็บ

กระทั่งปี 2016 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มโปรเจกต์ ‘Climate Ready Boston’ (CRB) เพื่อรับมือกับปัญหาสาธารณูปโภคทางน้ำที่เกิดจากสภาพอากาศแปรปรวน เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, น้ำท่วมชายฝั่ง, พายุและคลื่นสูง ไปจนถึงการระบายน้ำท่วมขัง 

ความน่าสนใจของโปรเจกต์ CRB คือการสร้างแนวธรรมชาติ (nature-based) เช่นสวนสาธารณะริมชายฝั่ง (waterfront parks) เพื่อใช้ต้นไม้เป็นตัวดูดซับคลื่นและน้ำที่ไหลบ่า ซึ่งในยามปกติจะกลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนและทำกิจกรรมสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยสวนนี้จะทอดยาวไปตลอดแนวชายฝั่งของบอสตันที่มีระยะทาง 75 กิโลเมตร 

ขณะเดียวกันเมืองบอสตันได้ร่วมกับ FloodMapp บริษัทเอกชนสัญชาติออสเตรเลียที่ออกแบบระบบพยากรณ์น้ำท่วมแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างระบบ ‘real-time flood monitoring’ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งก่อนและหลังเกิดน้ำท่วม ไปจนถึงการปรับกฎหมายผังเมืองให้คำนึงถึงความเสี่ยงอุทกภัย เช่นการยกระดับอาคารใหม่ หรือการตั้งแบร์ริเออร์ชั่วคราวตามความจำเป็น

เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการจัดการระบบสาธารณูปโภคเพื่อป้องกันอุทกภัยที่ประสบความสำเร็จ อีกนัยหนึ่งคือตัวอย่างที่กล่าวมาล้วนเป็นวิธีการที่ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน แต่เหนือสิ่งอื่นใดวินาทีนี้ทั่วทั้งโลกจำเป็นต้องหันมาสนใจปัญหา climate change อย่างจริงจังและร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะภัยที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำลายทรัพย์สิน แต่ยังพรากชีวิตของ ‘มนุษย์’ ที่อาจเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคนรักแบบไม่มีวันหวนคืน 

ที่มา :

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

You Might Also Like