Rare Earths

สรุปศึกชิง ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ เมื่อไทยเซ็น MOU กับสหรัฐฯ ทั้งที่ยังไม่เคยมีเหมืองพาณิชย์

หนึ่งในประเด็นร้อนแรงช่วงนี้คือการที่ไทยลงนาม MOU เรื่องแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา และเกิดกระแสมากมายจากหลายกลุ่ม บ้างก็ว่าไทยยังไม่พร้อมด้านกฎหมาย บ้างก็ว่านี่จะทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมหาศาล

แม้แร่แรร์เอิร์ธในไทยจะพบได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ของไทย แต่การเซ็น MOU นี้และการเคลื่อนไหวของไทยส่งผลกระทบในหลายแง่มุม เราจึงขอพาทุกคนไป Recap เหตุการณ์ศึกชิงแร่แรร์เอิร์ธพร้อมๆ กัน 

แร่แรร์เอิร์ธคืออะไร แรร์จริงไหม แล้วทำไมสำคัญ?

– แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REEs) คือกลุ่มของโลหะหายาก 17 ชนิดที่พบในเปลือกโลก ประกอบด้วยธาตุในกลุ่มแลนทาไนด์ 15 ธาตุ รวมกับสแกนเดียม (Sc) และอิตเทรียม (Y) 

– จริงๆ แร่เหล่านี้ไม่ได้หายาก แต่มักจะกระจายตัวในชั้นเปลือกโลกมากกว่าจะพบเป็นกลุ่มใหญ่ การจะขุดทำเหมืองจึงอาจไม่คุ้มค่าพอ การสกัดและแปรรูปยังต้องอาศัยกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน ซึ่งมักก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 

– REEs เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กังหันลม เครื่องเอกซเรย์ ไปจนถึงระบบอาวุธสมัยใหม่ คุณสมบัติด้านแม่เหล็ก แสง และไฟฟ้าเคมีของแร่แทบไม่มีธาตุอื่นทดแทนได้

แร่แรร์เอิร์ธหาได้ที่ไหน?

– ตามรายงานของ USGS จีนมีแหล่งสำรองแร่แรร์เอิร์ธที่ 44 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมาคือบราซิล อินเดีย ออสเตรเลีย รัสเซีย และสหรัฐฯ

– ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามมีแหล่งสำรองราว 3.5 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 300 เมตริกตันในปี 2024 ส่วนไทย แม้จะมีแหล่งสำรองเพียงราว 4,500 เมตริกตัน แต่ผลิตได้ถึง 13,000 เมตริกตันในปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่า 261% จากปี 2023

– ในไทยนั้นพบตั้งแต่เหนือจรดใต้ เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ อุทัยธานี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี ฯลฯ

ศึกชิงแร่แรร์เอิร์ธเกิดขึ้นได้ยังไง?

– จีนครองสัดส่วนการผลิตกว่า 70% และการแปรรูปมากกว่า 90% ของทั้งโลก การถลุงและแปรรูปต้องใช้เงินทุนสูงและสร้างมลพิษ ทำให้หลายประเทศเลือกพึ่งจีนเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม

– ในปี 2567 ราว 70% ของแร่แรร์เอิร์ธที่สหรัฐฯ นำเข้า มาจากจีน แต่ภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าแร่หายากจากจีน 25% ในวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) จึงตอบโต้ด้วยการออกประกาศ หมายเลข 61 ปี 2025 

ใจความสำคัญคือ

1. หากใครจะส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับแร่ ต้องขออนุญาตรัฐบาลจีนทุกครั้ง

2. เพิ่มธาตุอีก 5 ชนิด (holmium, erbium, thulium, europium, ytterbium) เข้าสู่บัญชีควบคุม พูดง่ายๆ คือแร่พวกนี้ต่อไปจะขายออกนอกประเทศได้ยากขึ้น เพราะต้องผ่านขั้นตอนขออนุญาต

3. แม้โรงงานจะอยู่นอกประเทศจีน ถ้าใช้วัตถุดิบหรือเทคโนโลยีที่มาจากจีน เช่น ซื้อแร่แรร์เอิร์ธจากจีน ใช้เครื่องจักรที่ผลิตโดยบริษัทจีน ก็ยังต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อนจะส่งต่อไปประเทศอื่น

– มาตรการนี้ทำให้สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป ฯลฯ ที่พึ่งพาแร่จากจีนเผชิญความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องหาทางหาแร่แรร์เอิร์ธจากแหล่งอื่น ไม่พึ่งพาเพียงผู้ผลิตรายเดียว 

ไทยในห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิร์ธ

– ไทยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ใหม่ของภูมิภาค หลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 9,400 ตันในปี 2024 แม้จะยังไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออกหลัก แต่ไทยเป็นผู้นำเข้าหลักของจีนในด้านแร่หายาก เพื่อนำมาผลิตต่อยอดในอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น แม่เหล็กและอิเล็กทรอนิกส์

– จากข้อมูลของ Money&Banking Magazine พบว่าโรงงานสำคัญที่ใช้แร่ดังกล่าวคือโรงงาน Neo Magnequench ที่นครราชสีมาบริษัทย่อยใน Neo Performance Materials ของแคนาดาที่ผลิตวัสดุแม่เหล็กหายากสำหรับอุตสาหกรรม EV และ อิเล็กทรอนิกส์ จีนยังมาเปิดโรงงานผลิต BYD ที่ระยอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแม่เหล็กและแร่หายาก  

ไทยกับข้อตกลงสหรัฐฯ

– วันที่ 26 ตุลาคม 2025 สหรัฐฯ ไทยและมาเลเซียได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals Supply Chain Cooperation) โดยสหรัฐฯ จะสนับสนุนการลงทุน เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะบุคลากร ขณะที่ไทยยังคงอำนาจควบคุมทรัพยากรของตนเต็มที่

แต่ในอีกด้าน ก็อาจถือเป็นข้อพึงระวัง เช่น

– ถ้าไทยมีแหล่งแร่หรือโครงการที่เปิดขายให้เอกชน บริษัทสหรัฐฯ จะมีสิทธิ์ได้พิจารณาก่อนชาติอื่น

– สหรัฐฯ จะได้เข้าถึงข้อมูลสำรวจแร่ของไทยในระดับที่อาจละเอียดกว่าประเทศอื่น

– ไทยต้องปรับกฎหมายและมาตรการควบคุมให้สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐฯ

– ในอนาคตถ้ามีการลงทุนเกิดขึ้นจริง ไทยต้องแบกรับความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม การกำกับดูแล และความโปร่งใสเอง

ไทยพร้อมแค่ไหน?

– นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยืนยันว่าไทยยังไม่มีเหมืองแรร์เอิร์ธเชิงพาณิชย์ และยังไม่มีเทคโนโลยีสกัดธาตุได้เอง ที่ผ่านมา สิ่งที่ไทยทำคือนำเข้าแร่จากออสเตรเลียและประเทศอื่น มาแต่งแร่ก่อนส่งออกต่อ

– รัฐบาลยังย้ำว่า MOU นี้ “ไม่ใช่สัญญาผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ” แต่เป็นเพียงกรอบความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้และโอกาสลงทุน ซึ่งไทยยังคงอำนาจควบคุมทรัพยากรเต็มที่ และหากมีการสำรวจหรือการลงทุนจริง ต้องผ่านการประเมิน EIA /EHIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยทุกขั้นตอน

– สำหรับไทย MOU ฉบับนี้อาจเป็น ‘ใบเบิกทาง’ สู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยุคใหม่ หากบริหารอย่างรอบคอบ โปร่งใส และยั่งยืนแต่หากเราขาดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ได้อาจไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือฝุ่นพิษและของเสียเคมีที่ยากจะแก้ไข

คำถามคือ เราจะใช้โอกาสนี้พัฒนาอย่างยั่งยืน หรือซ้ำรอยความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมเช่นที่หลายจังหวัดในภาคเหนือได้รับผลจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน

อ้างอิง

You Might Also Like