ติดอยู่ในห้วง ‘เพ-ลา’
เพ-ลา ร้านสารพัดของใช้และเครื่องหอมคู่สยาม ที่ขายประสบการณ์และความเรียบง่ายไม่ตะโกน
ในโลกธุรกิจที่สารพัดแบรนด์ต่างงัดข้อดีของตนเองโฆษณาผ่านกลยุทธ์การตลาดมากมาย มีแบรนด์เล็กๆ แบรนด์หนึ่งกลับเลือกดำเนินธุรกิจด้วยวิธีตรงกันข้าม อย่างการทำให้เงียบ เรียบง่าย ที่สุด เพื่อหวังอยู่ข้างๆ ผู้คนในชีวิตประจำวัน
แบรนด์ที่ว่าคือ เพ-ลา ที่หากใครเคยเป็นเด็กแถวสยามอาจรู้จักดี
เพ-ลาก่อตั้งขึ้นในปี 2012 เป็นธุรกิจครอบครัว ที่มีแกนนำหลักคือ ยู้–ภิญญาพัชร์ ศุภิศราอธิวงศ์ ผู้หญิงที่เชื่อในพลังของความธรรมดา เธอและครอบครัวเริ่มต้นจากการต้มสบู่และทำถุงหอมขายที่ตลาดจตุจักร ด้วยความตั้งใจเพียงข้อเดียวว่าอยากให้ลูกค้าได้ใช้ของดี ในราคาที่ไม่ต้องลังเลจะควักเงินจ่าย
สิบกว่าปีผ่านไป ร้านเล็กๆ ในจตุจักรกลายเป็นแบรนด์ของใช้ประจำวันที่อยู่กลางใจเมืองใหญ่อย่างสยาม สินค้าของเพ-ลายังขยายจากเครื่องหอมไปสู่ของใช้ในบ้าน เครื่องเขียน และของแฟชั่น ของจุกจิกต่างๆ ทุกอย่างยังคงสะท้อนแนวคิดเดิมคือของต้องดี ใช้งานได้จริง เข้าใจง่าย และใช้ได้ทุกวันอย่างมีความสุข
ท่ามกลางสยามอันแสนวุ่นวาย เราขอพาทุกคนไปพักกายและใจ ฟังเรื่องราวธุรกิจ และเรื่องเล่าของเพ-ลา ไปพร้อมๆ กัน

เพ-ลาแห่งการเริ่มต้น
อย่างที่เกริ่นไปแล้ว เพ-ลา เริ่มจากสบู่ที่ต้มกันเองและถุงหอมที่ทำกันเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีเงินทุนมหาศาล มีเพียงความตั้งใจอยากให้คนได้ใช้ของคุณภาพดี ในราคาที่ไม่ต้องคิดมาก เมื่อคนใช้แล้วรู้สึกว่าดี พวกเขาก็บอกต่อเอง แบบปากต่อปาก
จนแทบจะเรียกได้ว่าเพ-ลาเป็นแบรนด์ที่มาก่อนกาล ก่อนที่ใครๆ จะหันมาลงเล่นตลาดเครื่องหอมเช่นปัจจุบัน
“พอคนใช้แล้วรู้สึกว่ามันดี เขากลับมาถามว่ามีอย่างอื่นไหม เราก็เลยค่อยๆ พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตามที่ลูกค้าอยากได้ มันก็เริ่มจากคำถามว่าในชีวิตประจำวันของคนคนหนึ่ง เขาใช้ของอะไรบ้าง”
จากสบู่และถุงหอมในวันนั้น กลายเป็นสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ในวันนี้ ยิ่งเมื่อย้ายไปสาขาสยาม กลุ่มลูกค้าที่เป็นนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง สินค้าในหมวดของใช้ในบ้าน เครื่องเขียน และของแฟชั่นอย่างหมวกหรือกระเป๋าก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่แม้สินค้าจะหลากหลายขึ้น ยู้ก็บอกว่าสินค้าเหล่านี้มีจุดร่วมเดียวกัน
หนึ่ง–สินค้าทุกชิ้นต้องมีประโยชน์และใช้งานได้จริง
สอง–ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องตีความ
สาม–เป็นของที่ทุกคนเข้าถึงได้ในราคาสมเหตุสมผล



“เราไม่ได้อยากตะโกน เราอยากอยู่เงียบๆ ข้างๆ ชีวิตลูกค้า ไม่ว่าจะวันที่เขามีความสุขหรือวันที่เขาเหนื่อยล้า”
แนวคิดนี้ชัดเจนตั้งแต่การออกแบบแพ็กเกจที่ลดสิ่งฟุ่มเฟือยลงเหลือเพียงสิ่งจำเป็นที่สุด
“เราคุยกันในทีมว่า คนแบบเพ-ลาสามารถกินอาหารข้างทางก็ได้ หรือจะกินอาหารในโรงแรมหรูๆ ก็ได้ เราไม่ต้องเลือกข้าง เราอยู่ได้ทุกแบบ และเราก็อยากให้แบรนด์เราเป็นแบบนั้น อยู่ตรงไหนก็กลมกลืน อยู่ได้ในทุกชีวิต
สิ่งนี้มันเลยสะท้อนกลับมาที่แนวทางการทำสินค้าของเรา เราอยากผลิตของที่เป็นเหมือนเราคือไม่ต้องหรู ไม่ต้องซับซ้อน แต่ดีในเนื้อแท้ ข้างนอกอาจดูเรียบๆ แต่ข้างในต้องมีคุณภาพจริงๆ เราเลยไม่เน้นแพ็กเกจหรู ไม่ใช้มาร์เก็ตติ้งอลังการ ทุกอย่างถูกลดทอนให้เรียบง่ายที่สุด เพื่อเอาทุนทั้งหมดไปใส่ในไส้ในของสินค้า”
และเบื้องหลังแนวคิดนี้มาจากประสบการณ์ตรงของเธอเอง
“เราไม่ได้เกิดจากครอบครัวที่มั่งมี เลยรู้ว่าคนอีกจำนวนมากอยากใช้ของดี แต่ไม่อยากจ่ายแพง เราเลยพยายามอยู่ตรงกลาง ของคุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้”

เพ-ลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
ก่อนจะกลายเป็นร้านในสยามอย่างทุกวันนี้ เพ-ลาเคยเริ่มจากร้านเล็กๆ ในจตุจักร
“ที่จตุจักรเปิดได้แค่เสาร์-อาทิตย์ เราเลยอยากหาที่ที่เปิดได้ทุกวัน ก็เลยเลือกสยาม”
การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกของการตั้งไข่ธุรกิจ คือการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ตั้งที่เปลี่ยนไป อันหมายถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยมากขึ้น เช่น ลูกค้าต่างชาติชอบกลิ่นสดชื่น แต่ลูกค้าคนไทยแถวสยามอาจชอบกลิ่นฟรุตตี้
ส่วนอีกหนึ่งการปรับตัวที่ยู้และทีมเองยังคงหาวิธีแก้โจทย์กันอยู่ คือการปรับตัวให้อยู่คู่สยามได้แม้ในวันที่มีผู้เล่นในตลาดเพิ่มมากขึ้น และความสนใจของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป แม้เพ-ลาจะอยู่ในสยามมากว่าทศวรรษ แต่ยู้ก็ยอมรับว่า “ทุกวันนี้ยากกว่าสมัยก่อน”
“ลูกค้าสมัยนี้เปลี่ยนแบรนด์ง่ายขึ้น เราต้องรักษาลูกค้าเก่าไว้ พร้อมดึงลูกค้าใหม่เข้ามาในเวลาเดียวกัน”
ลูกค้ารุ่นเก่าที่เคยเดินร้านตอนเรียนมหาวิทยาลัย วันนี้หลายคนกลายเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือกลายเป็นคุณแม่ ทีมเพ-ลาจึงต้องระดมสมองว่าจะทำยังไงให้ร้านยังอยู่ในชีวิตพวกเขาได้
ขณะเดียวกัน เธอก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจลูกค้าเจนฯ ใหม่ๆ มากขึ้น

“วัยรุ่นตอนนี้เขาอยากได้ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องแบรนด์เนม ขอแค่ตรงกับชีวิตของเขา เขาก็เลือกจะเปิดใจ”
สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอกลับมาทบทวนเสมอว่า เพ-ลาไม่ใช่ร้านขายของใช้ทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นร้านที่ สะท้อนชีวิตคนเมืองในแบบเรียบง่ายและจริงใจ เพ-ลาไม่ใช่แค่ร้านขายของแต่มอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ บรรยากาศในร้านจึงเต็มไปด้วยกลิ่น เสียง และแสงที่อบอุ่นเหมือนบ้าน
“เราอยากให้รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา สนุกสนาน เมื่อได้มาเดินในร้านของเรา ขณะเดียวกันก็ต้องเรียบง่ายและเป็นกันเอง”
ไม่ว่าคุณจะใส่รองเท้าแตะ เสื้อผ้าแบบเจนฯ ไหน หรือมากับใคร ทุกคนจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ในสถานที่แห่งนี้ เสมือนว่าเมื่อก้าวเท้าเข้ามายังอาณาเขตของเพ-ลา พลันเวลาก็หยุดเดิน จนเราสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา เลือกหยิบของอะไรมาใช้ก็ได้โดยไม่ต้องอิงกับเทรนด์ใดๆ


“เท่าที่เห็นลูกค้านะ กลุ่มแรกคือคนที่รู้จักเราจากเครื่องหอมโดยตรงเลย เพราะเขาชอบคุณภาพของเรา กลิ่นของเราเป็นเอกลักษณ์ หาซื้อจากที่อื่นไม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่าราคาไม่แพงจนเกินไป ใช้แล้วคุ้มค่า อันนี้จะเป็นกลุ่มที่ซื้อเพราะชอบสินค้าจริงๆ
“ส่วนอีกกลุ่มคือคนที่เดินเข้ามาแล้วรู้สึกว่าร้านเรามีของให้เลือกเยอะ มีของกระจุกกระจิกน่ารัก เหมือนมาเดินเล่น มาช้อปปิ้งแบบเพลินๆ ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อเครื่องหอมอย่างเดียว แต่ได้อารมณ์เหมือนมาใช้เวลาผ่อนคลาย
“มันเลยกลายเป็นว่าเพ-ลามีเสน่ห์สองแบบในร้านเดียว ทั้งความเป็นเอกลักษณ์ของ ‘กลิ่น’ และ ‘ประสบการณ์’ ที่ลูกค้าได้รับตอนอยู่ในร้าน บางคนบอกว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนได้ครบทุกอย่าง ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง เป็นร้านที่ไม่ได้ขายแค่ของ แต่ขายความรู้สึกดีๆ”
แต่การจะทำให้ร้านมีชีวิตชีวาและบรรยากาศแบบนั้นได้ ทุกอย่างต้องเริ่มจาก ‘คน’ ยู้จึงให้ความสำคัญกับทีมงานมาก โดยเฉพาะพนักงานหน้าร้านที่เป็นด่านแรกในการสื่อสารความรู้สึกของแบรนด์
“พนักงานคือสิ่งแรกที่ลูกค้าสัมผัสได้ ดังนั้นการคัดเลือกคนสำคัญมาก ถ้ารับคนผิด เราจะเสียทั้งเวลาและพลังในการปรับให้เข้าใจความเป็นเพ-ลา”
เธอใช้วิธีดูแลทีมเหมือนคนในครอบครัว “เราคุยกันบ่อย เป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนมีสิทธิ์เสนอไอเดียได้”

เพ-ลาในวันพรุ่งนี้
ถึงวันนี้ เพ-ลาเดินทางมาไกลกว่า 20 ปี สำหรับยู้แล้ว อนาคตของเพ-ลาไม่ได้อยู่ที่จำนวนสาขา แต่คือการได้อยู่ในทุกชุมชนเมืองในฐานะเพื่อนที่ไว้ใจได้ในชีวิตประจำวัน
“เราอยากเป็นร้านไลฟ์สไตล์ในทุกชุมชนเมืองสำหรับลูกค้า” ไม่ว่าจะขายเครื่องหอม ของแฟชั่น หรือของใช้ในบ้าน เธออยากให้ทุกสิ่งจากร้านนี้ “อยู่ในช่วงเวลาชีวิตของลูกค้าได้ อยากให้วันธรรมดาของเขากลายเป็นวันที่พิเศษขึ้นมานิดหน่อย”
เป้าหมายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เธอและทีมกำลังหาทางไปให้ถึงในแบบฉบับเรียบง่ายและไม่ตะโกนเช่นที่เป็นมา เพราะที่จริงแล้วในทุกช่วงเวลาของการทำธุรกิจ เธอบอกว่าสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้มากที่สุดคือ “ไม่มีวันไหนที่ไม่ต้องเรียนรู้ เราเรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องสินค้า การตลาด การเงิน ไปจนถึงคน มันมีเรื่องให้เรียนรู้ทุกวัน”
สำหรับเธอ การเป็นเจ้าของกิจการยังไม่ใช่การเข้าใจเรื่องของเงินอย่างเดียว แต่คือการฝึกใจให้เข้าใจตัวเองและคนอื่น
“คนที่รู้ตัวเองเร็วจะดีมาก ต้องรู้ตัวเอง รู้ลูกค้า และรู้จังหวะ สำหรับเพ-ลาเราเห็นว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลอง เรายังสนุกกับมันอยู่”
ก่อนจบบทสนทนา ยู้หัวเราะเบาๆ เมื่อถูกถามว่าถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองตอนเริ่มธุรกิจ จะบอกอะไร
“อยากให้ตัวเองเตรียมใจและออกกำลังกายให้มากกว่านี้ เพราะการทำธุรกิจมันคือการวิ่งมาราธอนจริงๆ”