OpenAI Forum

‘คนไทยใช้ ChatGPT แปลภาษาและดูดวง’ คุยอนาคต AI กับ Jason Kwan แห่ง OpenAI และกระทิง พูลผล

“ความมองโลกในแง่ดีและความสามารถในการปรับตัวของคนไทยคือแต้มต่อเชิงการแข่งขัน”

นี่คือความเห็นของ Jason Kwon ผู้เป็น Chief Strategy Officer แห่ง OpenAI ที่ได้กล่าวในเวทีเสวนาสุดเอกซ์คลูซีฟ ‘AI LEAP: Turning Today’s Disruption into Tomorrow’s Advantage’ จัดโดย House of Wisdom และ Woody World

เวทีเสวนาที่ว่าไม่ได้มีเพียง Jason Kwon เท่านั้น แต่ ‘เรืองโรจน์ พูนผล’ หรือที่หลายคนรู้จักในนาม ‘กระทิง พูนผล’ Group Chairman ของ KBTG ผู้นำด้านเทคโนโลยีและ startup ecosystem ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาร่วมสนทนาเรื่อง AI ไปพร้อมๆ กัน 

เรื่องของ AI ครั้งนี้ไม่เหมือนในเวทีไหนๆ เพราะนี่คืออินไซต์ที่เราได้จากหนึ่งในผู้พัฒนา ChatGPT อย่าง Jason Kwon โดยตรง และ Recap ตอนนี้จะสรุปให้ทุกคนได้อ่านกัน

1. ChatGPT กับวิถีการใช้ของคนไทย

เจสันเล่าว่า ChatGPT ถูกนำไปใช้ต่างกันในแต่ละภูมิภาค และสำหรับเอเชีย โดยเฉพาะไทย มีการใช้งานที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI แปลภาษา ที่ติดอันดับต้นๆ คนไทยยังใช้ AI เขียนเรื่องส่วนตัวและช่วยเรื่องการเรียนการศึกษา อย่างการขอให้ช่วยตรวจงานหรือสรุปเนื้อหา อีกสิ่งที่น่าสนใจคือคนไทยใช้ AI ให้ช่วยเรื่องการดูแลตนเอง หรือ self-care เช่น ขอคำแนะนำด้านการแต่งตัว แต่งหน้า หรือแม้แต่ถามว่า ‘วันนี้ฉันดูดีไหม’

ส่วนอีกการใช้งานที่โดดเด่นคือการใช้ AI ดูดวง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะของเอเชีย คนไทยจำนวนมากใช้ ChatGPT ในการขอคำทำนายดวง หรือแนะนำสีเสื้อผ้าประจำวัน ซึ่งตัวเจสันเองมองว่าการดูดวงนี้สะท้อนถึงความต้องการหาที่พึ่งและความมั่นใจในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

2. ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนรู้เรื่อง AI ได้เร็ว

หากคนไทยเรามองกันเอง เราอาจคิดว่าหลายประเทศน่าจะนำโด่งเรื่องการใช้งาน AI ไปแล้ว แต่กระทิงกลับเห็นต่างและมองว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นยุคเฟซบุ๊ก, mobile banking หรือ AI

วันนี้ เขาเชื่อว่าคนไทยใช้ AI ได้หลากหลาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะการไม่ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเรื่องเกษตรกรรม ที่ใช้ AI ช่วยเพิ่มผลผลิตได้, ภาคการท่องเที่ยวที่ใช้ AI มาช่วยจัดการงานเบื้องหลัง เพื่อให้คนทำงานบริการได้เต็มที่, ภาคสาธารณสุข ที่คืนเวลาให้แพทย์และพยาบาลไปทำงานหลัก โดยใช้ AI มาเป็นเหมือนผู้ช่วยแพทย์ หรือผู้ช่วยพยาบาลอีกทีหนึ่ง 

3. Agentic AI ที่คิดและลงมือทำแทน

Jason มองว่าปัจจุบัน AI ที่เราใช้ๆ กันคือ Agentic AI ที่จะไม่เพียงตอบคำถาม แต่สามารถเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ สามารถคิดและวางแผนต่างๆ ได้ เช่น ฟีเจอร์ Deep Research ใน ChatGPT ที่ค้นหาข้อมูลบนเว็บเมื่อมีคำถามเชิงลึกได้ เขามองว่านี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ Agentic AI เพราะมันออกไปค้นหาข้อมูล คิดหาคำตอบ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นกลับมาให้ผู้ใช้งาน เขายังมองว่าในอนาคตอาจมีเวอร์ชั่นที่พัฒนากว่านี้  

เขายังมองว่าในอนาคต AI จะเบลนด์ไปกับชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ขาด เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต “ในอนาคต ความฉลาดของ AI จะถูกย่อส่วน และฝังอยู่ในทุกสิ่งรอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นทีวี รถยนต์ นาฬิกา อุปกรณ์พกพา กระเป๋าเป้ หรือแม้แต่เสื้อผ้า ทุกอย่างจะมี AI ในตัว”

4. จะใช้ AI ให้ปัง ต้องคิดกระบวนการทำงานใหม่ เพื่อ AI โดยเฉพาะ

แม้ AI จะมีพลังมหาศาล แต่การนำไปใช้ก็ไม่ง่าย เจสันมองว่าองค์กรที่อยากให้การใช้ AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรแค่นำ AI เข้าไปในกระบวนการทำงานเดิม แต่ต้องออกแบบ workflow ใหม่ทั้งหมด เช่น เมื่อมีคนโทรเข้ามา ควรจะเจอขั้นตอนแบบไหนถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริงๆ มาตอบ แล้วถ้าไม่พอใจคำตอบของ AI จะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ยังไง

ด้านกระทิงมองว่าการจะใช้ AI ช่วยทำงานได้สำเร็จประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งการเลือก use case ที่ถูกต้อง เพื่อลงมือแก้โจทย์จริง, การเลือกใช้เครื่องมือ AI ที่เหมาะสม, ต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพ และระบบจัดการข้อมูลในองค์กรที่แข็งแรง, ต้องปรับกระบวนการทำงานให้กลายเป็น AI-first process อย่างแท้จริงซึ่งตรงกับที่เจสันพูดไว้ และสุดท้าย การเปลี่ยนผ่านด้วย AI ต้องเริ่มจากผู้บริหารระดับสูงที่เป็นตัวจุดประกายและขับเคลื่อน ก่อนส่งต่อไปสู่ผู้จัดการระดับกลาง และทำให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม

5. แต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบ AI ของตัวเอง เพราะ AI ที่มีประสิทธิภาพต้องเกิดจากความร่วมมือ

เจสันยังมองว่าท้ายที่สุด แต่ละประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบ AI เป็นของตัวเอง เพราะ AI คงเหมือนเทคโนโลยีหรือนโยบายการค้าต่างๆ ที่ไม่มีประเทศไหนสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เขายกตัวอย่างว่าแม้แต่สหรัฐอเมริกาเอง หากจะพัฒนา AI ขั้นสูง ก็ยังต้องนำเข้าชิป HBM จากเกาหลีใต้ และชิป logic จาก TSMC จากไต้หวันอยู่ดี

“ดังนั้น สำหรับประเทศไทย สิ่งสำคัญกว่าคือการมองว่าตอนนี้มี use case หรือผู้ประกอบการรายไหนบ้างที่กำลังสร้างสิ่งที่ทรงพลังจริงๆ และนั่นคือพื้นที่ที่ควรลงทุน มากกว่าจะพยายามสร้างระบบ AI ทั้งหมดขึ้นในไทยเอง เพราะนั่นจะทำให้ประเทศต้องหันไปในหลายทิศทางที่ ไม่สอดคล้องกับจุดแข็งของไทย”

บทสนทนาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยี แต่คือตัวขยายศักยภาพของมนุษย์ และโอกาสของไทยไม่ใช่แค่การเป็นผู้ใช้งานที่เรียนรู้ได้เร็ว แต่ยังอาจก้าวสู่การเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจใหม่หากสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของ AI ได้อย่างเต็มที่ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน

Writer

พิลาทิสและแมว

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like