จี๊ดจ๊าด
‘จี๊ดจ๊าด’ แบรนด์โปรดเจนวาย ที่ไม่ได้ขายแค่มะขาม และยังคอลแลบครั้งแรกในรอบ 22 ปี
ในบรรดาของอร่อยยามเด็ก เชื่อว่า ‘จี๊ดจ๊าด’ จะต้องติดลิสต์หนึ่งในของทานเล่นของคนเจนฯ วาย เพราะนอกจากจะรสชาติแปลกใหม่ เป็นการนำมะขามที่ทานยากมาทำให้ทานง่าย ไม่เหมือนใคร ก็ยังเป็นตัวช่วยให้ตื่นยามเรียนหรือทำงาน
เช่นเดียวกับเด็กเจนฯ วาย ที่ปัจจุบันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กว่า 20 ปีที่ผ่านมา จี๊ดจ๊าดก็ผ่านร้อนผ่านหนาว และได้เรียนรู้สารพัดบทเรียนมากมาย วันนี้จี๊ดจ๊าดไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์มะขามอบบ๊วย แต่ยังใช้ความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปผลไม้ไปต่อยอดแบรนด์
มากกว่ามะขาม ยังมีผลไม้อื่นๆ ที่ถูกจับแต่งตัวและนำเสนอให้จี๊ดอีกหลายรูปแบบ และล่าสุดยังพามะขามอบบ๊วยที่หลายคนคุ้นเคยไปคอลแล็บกับแบรนด์ไอศครีมสุดคราฟต์อย่าง Guss Damn Good เพื่อพาจี๊ดจ๊าดข้ามไปยังจักรวาลใหม่ๆ สร้างความตื่นเต้นให้แฟนคลับ และขยายฐานแฟนไปยังมิติอื่นๆ

เบื้องหลังความจี๊ดเหล่านี้ เริ่มต้นโดยเจ้าของธุรกิจรุ่นบุกเบิกอย่าง นิธิโรจน์ ศิริมังคโลดม และ ภูวเดช เลาหะมณฑลกุล ก่อนที่จะส่งต่อมายังรุ่นที่สองอย่าง กัส–ไธพัตย์ ศิริมังคโลดม Managing Director ที่ดูแลโรงงานและการผลิตสินค้า, บะหมี่–ภาสกร เลาหะมณฑลกุล Managing Director ที่ดูแลด้านการขายและการตลาด โดยมี มิ้นท์–ปณิชา เลาหะมณฑลกุล ดูแลด้าน Business Development และการส่งออก ส่วนน้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นมาสคอตของแบรนด์อย่าง มอมิ้ว–ปาริชา เลาหะมณฑลกุล เข้ามารับหน้าที่ด้าน Digital Marketing
“พ่อจะบอกเสมอว่าในการจะทําสินค้า เราต้องมองผู้บริโภคเป็นหลักว่าเขาต้องการอะไร เขาอยากได้อะไร แล้วค่อยพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของเขา ซึ่งเมื่อถึงรุ่นผมเอง ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”
โจทย์ใหญ่ในวันนี้คือการทำให้จี๊ดจ๊าดยังเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ให้ได้ ทำให้จี๊ดจ๊าดกลายเป็นเพื่อนของคนรุ่นใหม่ๆ เหมือนกับที่เคยเป็นเพื่อนกับเด็กๆ เจนฯ วาย
ในวาระที่จี๊ดจ๊าดกระจายความจี๊ดของตัวเองด้วยท่าไม้ตายใหม่ๆ นี้เอง เราจึงขอพาไปสนทนากับบะหมี่ มิ้นท์ และมอมิ้วถึงกลยุทธ์ความจี๊ดที่พวกเขาใช้ต่อยอดสินค้าและนำพาแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความจี๊ดระดับ 1
เมื่อเป็นเจ้าแรก ก็ต้อง ‘สร้างตลาด’
แบรนด์จี๊ดจ๊าดถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 22 ปีก่อน จากการที่คุณลุงชอบทานมะขามอย่างมากจึงเห็นช่องว่างทางการตลาดว่าถ้ามะขามทานได้ไม่ยาก ไม่ต้องแกะเปลือกหรือคายเม็ดน่าจะดีไม่น้อย
จากไอเดียนั้นเอง นำมาสู่ ‘มะขามอบบ๊วย’ สินค้าแรกของแบรนด์ที่ถือเป็นเจ้าแรกในตลาด ซึ่งแต่เดิม เป็นการทำให้คนในครอบครัวทาน ก่อนจะขยายเป็นสินค้าขายจริง ถือเป็นสินค้าแปลกใหม่เพราะ ณ ตอนนั้น คนส่วนใหญ่ทานมะขามจากฝักสดๆ หากแปรรูปก็มีเพียงมะขามแก้วเท่านั้น
“ตอนแรกต้องบอกว่าแค่จะวางขายยังยากเลย” บะหมี่ย้อนเล่าจากความทรงจำในวัย 10 ขวบ
“สินค้ามันใหม่มาก มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ คนดูไม่ออกว่ามันคืออะไร ร้านค้าก็ไม่เข้าใจ เราก็ต้องใช้วิธีให้เขาลองชิมดูก่อน พอร้านค้าเริ่มเปิดใจ ความยากต่อมาคือลูกค้า”

สมัยนั้น แพ็กเกจจิ้งของสินค้ากลุ่มผลไม้แปรรูปแบบอบแห้งเป็นลักษณะใส ที่มองเห็นผลิตภัณฑ์ข้างในได้ชัดเจน แต่มะขามอบบ๊วยของจี๊ดจ๊าดกลับบรรจุในกระปุก ลูกค้าก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าไอ้เจ้ามะขามอบบ๊วยนี้รสชาติเป็นยังไง กลยุทธ์เรียบง่ายในตอนนั้นจึงคือการให้ชิมก่อนซื้อ เช่นเดียวกับที่ใช้กับร้านค้า
“ที่ทําให้คนรู้จักเยอะๆ น่าจะเป็นช่วงที่เข้าเซเว่นฯ เราเริ่มขายครั้งแรกตอนปี 2546 และเข้าเซเว่นฯ ในปี 2549 เราออกมาเป็นซองเล็ก ข้อดีคือทําให้ลูกค้าซื้อไปทดลองได้ง่ายๆ เพราะถ้าจะให้ซื้อแบบกระปุก กระปุกละ 20 บาท ใน 20 ปีที่แล้วมันก็อาจจะดูเป็นราคาที่สูง แต่พอทำซองละ 5 บาท ลูกค้าก็ซื้อได้ง่าย
“แต่มันก็เจอปัญหาเดิมว่าพอไปวางในเซเว่นฯ ลูกค้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะสมัยนั้นเชลฟ์สินค้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้มีเป็นแผนกชัดเจนเหมือนสมัยนี้ เราเลยต้องทําโปรโมชั่นกับเซเว่นฯ ค่อนข้างเยอะ เช่น โปรโมชั่น 1 แถม 1 หรือลงสื่อบ้าง เพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสทดลอง”
ถ้าย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นจริงๆ ทั้งสามคนเล่าว่ากลุ่มลูกค้าหลักกลับเป็นเจนฯ เอกซ์และเบบี้บูมเมอร์มากกว่า เพราะในเวลานั้นคนรุ่นนี้น่าจะคุ้นเคยกับมะขามอยู่แล้ว รู้จักรสชาติและชอบทาน แต่อีกหนึ่งจุดที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น มาจากกลยุทธ์การเจาะตลาดในโรงเรียน เด็กนักเรียนจึงได้ทดลองกินกันตั้งแต่วัยเรียน ซึ่งต่อมาก็คือกลุ่มเจนฯ วายในปัจจุบัน หลายคนยังจำได้ว่าเคยกินมาตั้งแต่สมัยเรียน
ทว่ายุคสมัยนี้คือยุคของเจนฯ ซี และเจนฯ ใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น โจทย์ท้าทายที่รุ่นที่สองแห่งบ้านจี๊ดจ๊าดต้องไขให้ได้คือจะทำยังไงให้จี๊ดจ๊าดเป็นเหมือนเพื่อนที่โตไปกับทุกคนได้ เช่นเดียวกับที่เคยเติบโตมาพร้อมกับเจนฯ วาย
ความจี๊ดระดับ 2
‘แบรนด์ดิ้ง’ ความจี๊ดที่ต้องเข้าถึงคนทุกยุค
“รสชาติแต่ละแบรนด์ไม่เหมือนกันเป๊ะอยู่แล้ว จี๊ดจ๊าดเราเน้นว่ารสชาติต้องชัด หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยว ไม่เอากลางๆ จางๆ แต่รสชาติเป็นเรื่องปัจเจก ผมเลยคิดว่าถ้าถามว่าเมื่อผู้เล่นในตลาดเยอะขึ้น อะไรบ้างที่จะทำให้ลูกค้ายังเลือกเรา คำตอบมันคือแบรนดิ้ง”
จี๊ดจ๊าดใส่ใจกับแพ็กเกจจิ้ง ทุกตัวออกแบบมาให้เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นจี๊ดจ๊าด โลโก้ต้องใหญ่ อยู่กลางซอง และมีมาสคอต เด็กผู้หญิงเด่นๆ ให้เห็นได้ชัดแม้จะมองจากที่ไกลๆ ซึ่งมาสคอตหนูจี๊ดนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากมอมิ้วในวัยสามขวบที่เป็นน้องเล็กในบ้านจนคนเรียกว่า ‘จี๊ด’ ซึ่งสอดคล้องกับความหมายคำว่า ‘จี๊ดจ๊าด’ ที่คนไทยใช้กันในความหมายว่าจัดจ้าน เท่ แซ่บ

“ในฐานะคนบนโลโก้และชื่อที่นำมาเป็นชื่อแบรนด์ ยอมรับว่าตอนเด็กๆ เขิน ไม่ค่อยบอกใครว่าบ้านทำจี๊ดจ๊าด เพราะรู้สึกว่าภาพลักษณ์แบรนด์กับตัวเราไม่ตรงกัน พอได้ลงมือทำแบรนด์ ทำแคมเปญต่างๆ เราถึงได้รักมัน รู้สึกว่าจี๊ดจ๊าดเป็นลูกที่เราอยากเห็นเขาเติบโต”
“นอกจากแบรนดิ้ง เราต้องทำสินค้าให้หลากหลายขึ้น และสื่อสารให้ตรงกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น ความยากคือลูกค้ามีความสนใจที่หลากหลาย ในเจนฯ เดียวกันยังชอบไม่เหมือนกันเลย สินค้าตัวเดียวจะถูกใจทุกคนยาก เราเลยต้องมีหลายแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่อบแห้งธรรมดา สำหรับเจนฯ เอกซ์ เจนฯ เบบี้บูมเมอร์ หรือกระทั่งเจนฯ วาย และแบบใหม่ๆ ตื่นตาตื่นใจสำหรับเจนฯ ซี”
มอมิ้วยังเสริมบะหมี่ในเรื่องการสื่อสารว่าเธอและทีมพยายามปั้นช่องทางโซเชียลมีเดียของจี๊ดจ๊าดให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะวัยมัธยมปลาย–มหา’ลัย แม้ในช่วงแรกจะรู้สึกยากและไม่เข้าใจความต้องการของลูกค้า แต่การได้ลงไปคุยกับกลุ่มลูกค้าจริงๆ ทำให้จี๊ดจ๊าดเข้าใจกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ช่องทางหลักในการสื่อสารเน้นที่โซเชียลมีเดียต่างๆ มากกว่าสื่อสมัยเก่า ซึ่งบะหมี่ตั้งเป้ากับน้องสาวคนเล็กไว้ว่า
“ภาพที่อยากให้เกิดคือเด็กๆ หยิบซองแล้วไม่เขิน ดังนั้นหน้าตาซองต้องชวนหยิบและคอนเทนต์ต้องเป็นในแบบที่คนรุ่นใหม่เสพจริงๆ เราต้องไม่ยึดติดกับช่องทางใดช่องทางหนึ่ง”

ความจี๊ดระดับ 3
ขยายตลาดและสร้างความ ‘ยั่งยืน’
นอกจากตลาดในไทยแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจไม่รู้คือจี๊ดจ๊าดได้โบยบินไปกระจายความจี๊ดในประเทศอื่นๆ เช่นกัน
อังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศที่จี๊ดจ๊าดทำ OEM มานาน แม้ตัวเลขอาจไม่เยอะมากแต่มิ้นท์ ในฐานะคนดูแลเรื่องการส่งออกมองว่ายั่งยืน อินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ยาก แต่เพราะเจอพาร์ตเนอร์ที่ใช่ จึงร่วมด้วยช่วยกันมานาน 15 ปี ขณะที่แอฟริกาใต้นั้นก็ทำธุรกิจมานานเทียบเท่ากับอินโดนีเซีย แต่ความน่าสนใจคือเป็นการทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์ ที่แทบไม่เคยได้เจอกับพาร์ตเนอร์เลย
“เราต้องเจอ ‘เนื้อคู่’ หรือ distributor ที่พร้อมโต พร้อมสร้างแบรนด์ด้วยกันในระยะยาว เพราะการจะเอาของที่คนในประเทศนั้นไม่รู้จักไปขาย มันต้องไปทำการตลาดเยอะ หรือต้องหาวิธีทางอื่นๆ อย่างบางตลาด เราไม่พร้อมลงทุนสร้างแบรนด์ในประเทศนั้น เราก็ต้องเริ่มจากสินค้าที่เข้าใจง่ายก่อน”
เธอยกตัวอย่างการพัฒนาลูกอมผลไม้เม็ดเคลือบ และเยลลี่ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของจี๊ดจ๊าด เพื่อนำไปขายที่ญี่ปุ่น เพราะมองว่าการเปิดตลาดด้วยมะขามอาจยากเกินไป สินค้าที่สอดคล้องกับความชอบของคนในแต่ละที่น่าจะเป็นประตูที่ทำให้คนเปิดใจง่ายกว่า

“เมื่อก่อนเราอยากได้ปริมาณเยอะๆ แต่ทำไปทำมา เราปรับมายด์เซตเรื่องการส่งออกว่าในเฟสแรกๆ นั้น เรื่อง awareness หรือการทำให้คนจดจำแบรนด์ได้สำคัญกว่า แต่ละประเทศที่ไปเรายังต้องปรับตัวตามตลาด แล้วเรื่องตัวเลข เรื่องยอดขายมันถึงจะมาเอง”
สำหรับในไทย บะหมี่มองไว้ว่าเป้าหมายในตอนนี้คือการสร้างคอมมิวนิตี้แฟนแบรนด์ รวมถึงขยายฐานลูกค้าผ่านสินค้าใหม่ๆ และคอลแล็บฃบกับแบรนด์อื่นให้คนกลุ่มใหม่กล้าลอง
“ส่วนตัวผมไม่ใช่คนทานผลไม้” บะหมี่หัวเราะ “แต่ผมโตมากับแบรนด์นี้ ผมเลยอินและผูกพันกับแบรนด์ ผมอยากให้มันเติบโตแบบยั่งยืน ให้คนที่ชอบสินค้านี้รู้สึกผูกพันเหมือนกัน และอยู่คู่ประเทศนี้ไปได้ยาวๆ”
“จุดเริ่มต้นของจี๊ดจ๊าดมาจากความรักของครอบครัว พอรุ่นลูกลงมาทำ ก็ยังเป็นความรักอันเดิมนี่แหละที่อยากเลี้ยงดูน้องคนนี้ ให้โต เราอยากส่งต่อความรักนี้ไปถึงลูกค้า ให้เขาสัมผัสได้ แล้วกลายเป็นความรักของลูกค้าที่ย้อนกลับมาหาแบรนด์อีกที” มิ้นท์เสริม
และต่อไปนี้คือเรื่องราวจากบะหมี่ ถึง ‘น้องเล็ก’ สุด ‘จี๊ดจ๊าด’ ที่รุ่นสองทั้งสี่คนฟูมฟัก เฝ้าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ต่อยอดให้จี๊ดจ๊าดเป็นมากกว่ามะขาม แต่เป็นแบรนด์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการแปรรูปผลไม้จนเข้าถึงใจลูกค้าได้ทุกเจนฯ


ความจี๊ดที่ไม่สิ้นสุด
มะขามอบบ๊วยจัมโบ้
“จริงๆ มะขามอบบ๊วยเราไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย อาจจะมีเพิ่มรสบ้าง แล้วก็ทำสินค้าอื่นๆ ออกมาเสริม แต่ถ้าที่เห็นชัดจริงๆ คือการที่เราทำไซส์จัมโบ้
“ไอเดียมันเริ่มจากที่ลูกค้าหลายคนบ่นว่าเม็ดมันเล็ก กินทีหนึ่งต้องเทออกมาเยอะๆ ผมก็มองว่าจริงนะ แต่ถ้าแค่เพิ่มปริมาณในซองมันก็ดูธรรมดาไป เราเลยทำเป็น ไซส์จัมโบ้ ที่เม็ดใหญ่ขึ้น ซองใหญ่ขึ้น ราคาก็สูงขึ้นด้วย

“ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าลูกค้าจะโอเคไหม แต่พอดูตลาด เราก็พบว่าสินค้าอื่นๆ ก็ขึ้นราคาตามสภาพเศรษฐกิจเหมือนกัน เราเลยลองทำออกมาวางขาย ปรากฏว่าผลตอบรับดีกว่าที่คิด ลูกค้าหลายคนที่เคยซื้อซองเล็กก็เปลี่ยนมาซื้อไซส์จัมโบ้บางคนถึงขั้นซื้อมาทีเดียวก็กินหมดซองเลย
“ข้อดีอีกอย่างคือพอซองมันใหญ่ มันก็ช่วยเรื่องวิชวล ลูกค้าเดินผ่านก็เห็นชัดเลยว่าอันนี้อะไรทำให้ดึงดูดได้มากกว่าซองเล็ก”

มะขาม 5 รส
“หลังจากที่ออกมะขามอบบ๊วยมาได้ 7-8 ปี เราก็ออกตัวมะขาม 5 รส ที่หลายคนน่าจะเคยกินกันมา แต่สิ่งที่พิเศษของเราคือวิธีการเคลือบ เราใช้วิธีเคลือบที่ทำให้เม็ดมันกลม เนียน สวย เรียบ คล้ายลูกอมทั่วไป แล้วเนื้อก็มีความหนึบ เคี้ยวสนุก รสชาติจี๊ดจ๊าดเป็นเอกลักษณ์ของเราเลย
“ตอนแรกมันก็ขายได้นะ แต่ไม่ได้โตเท่าไหร่ จนกระทั่งช่วงโควิด-19 เราออกซองเล็ก 5 บาท ให้ลองซื้อไปชิม เหมือนกับมะขามอบบ๊วย ปรากฏว่าพอรุ่นซองเล็กออกมา ยอดขายแบบกระปุกก็ดีดขึ้นตามไปด้วย ทำให้ตอนนี้ยอดขายของมะขาม 5 รส แทบจะใกล้เคียงกับมะขามอบบ๊วยแล้ว กลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่โปรดักต์ของเราเลย
“ที่จริงตัวมะขาม 5 รส ผมมองว่ามันเข้าถึงง่ายกว่าด้วย เพราะลักษณะมันคล้ายลูกอม คนทั่วไป โดยเฉพาะเจนฯ Y หรือเจนฯ Z ที่อาจจะไม่ได้อยากกินผลไม้เต็มๆ ก็เริ่มจากตัวนี้ได้ เหมือนกินลูกอมเลย แล้วรสชาติมันก็ต่างจากแบบอบบ๊วย
“มะขามอบบ๊วยเราทำจากมะขามหวาน รสจะออกหวานนำ มีเปรี้ยวนิดหน่อย แต่ตัวมะขาม 5 รสเราทำจากมะขามเปรี้ยว รสเปรี้ยวก็เลยเด่นชัด แล้วเพิ่มรสเผ็ด รสเค็มเข้าไปด้วย เวลากินมันจะรู้สึกตื่น สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมือนปลุกให้ตาสว่างขึ้นมา
“ผมว่ามันก็สะท้อนสิ่งที่เราเชี่ยวชาญจริงๆ คือการเอาผลไม้มาทำให้มันอยู่ในรูปแบบที่กินง่าย เคี้ยวหนึบ อร่อย แบบที่ลูกค้ารู้สึกว่าเข้าถึงง่าย แล้วก็สนุกกับการกิน”

2 in 1
“ไอเดียไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลยครับ มันคือการเอาสินค้า 2 อย่างมาอยู่ในซองเดียวกัน ซึ่งเราเห็นจากสินค้ากลุ่มอื่นๆ มาแล้ว อย่างขนมขบเคี้ยวบางยี่ห้อที่มี 2 รสในถุงเดียว หรือพวกลูกอมที่มี 2-3 รสในแพ็กเดียวกัน ผมก็เลยคิดว่าแล้วในกลุ่มผลไม้แปรรูปของเราทำได้ไหม เพราะถ้าไปดูในเชลฟ์ที่ขายผลไม้อบแห้ง มันยังไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เลย
“เราก็เลยลองทำ โดยเลือกสินค้าที่ลักษณะใกล้เคียงกัน อย่าง มะขามหยีกับมะม่วงหยี หรือมะขามหวานกับมะขามเปรี้ยวแซ่บ มาไว้ในซองเดียว ตัวมะขามคลุกพริกเกลือกับมะม่วงหยี ลูกค้ารู้จักกันอยู่แล้วทั้งสองอย่าง ไม่ต้องอธิบายเยอะ พอจับมารวมกันก็กลายเป็นความหลากหลายในซองเดียว ลูกค้าซื้อไปก็ได้กินสองแบบที่เขาชอบอยู่แล้ว
“ราคาก็ไม่ได้สูงคือประมาณ 20 บาท ทำให้เข้าถึงง่าย จุดประสงค์จริงๆ ตอนแรกแค่อยากเพิ่มสีสันให้สินค้าดูหลากหลายขึ้น แต่พอออกมาขายจริง ตัวเลขกลับดีกว่าที่คิดไว้ ลูกค้าหลายคนก็ชอบเพราะมันดูแปลกใหม่ ซองเดียวกินได้หลายรส เหมือนมีทางเลือกเพิ่มขึ้น”

จักรวาลผลไม้
“ตอนแรกเราทำแต่มะขามอย่างเดียวมาตลอด แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่าถ้าอยากขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เราต้องมีอะไรเพิ่ม เพราะคนเจนฯ Z หลายคนไม่ค่อยทานมะขาม บางคนไม่เคยกินเลยด้วยซ้ำ รวมถึงตลาดส่งออกหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่ค่อยรู้จักมะขาม ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง รู้จักก็แค่มะขามเปียก เราเลยคิดว่าถ้าอยากไปไกลกว่านี้ ต้องเพิ่มผลไม้อื่นเข้ามา
“พอย้อนกลับมาดูความเป็นจี๊ดจ๊าด เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะขาม สิ่งที่เราถนัดจริงๆ คือการเอาผลไม้มาทำให้กินง่าย แปรรูปให้น่าสนใจมากกว่า เราเลยมองว่ามันสามารถขยายไปยังผลไม้อื่นได้


“ปัจจุบันก็มีบ๊วย สตรอว์เบอร์รี และมะม่วง ตัวบ๊วยเรามองว่ารสชาติใกล้เคียงกับมะขาม มีความเปรี้ยวเค็ม คนที่กินมะขามก็กินบ๊วยได้ ไม่ต่างกันมาก ส่วนมะม่วงเป็นผลไม้ดังของไทยที่คนส่วนใหญ่รู้จักและกินอยู่แล้ว และสตรอว์เบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่แมสที่สุดและคนทั่วโลกรู้จัก
“แต่ถามว่าในเมื่อคนอื่นเขาอาจจะเคยทำสิ่งนี้มาก่อนเรา แล้วเราจะทำยังไงให้มีความเป็นจี๊ดจ๊าดและแตกต่าง เราแบ่งออกเป็น 2 แบบคือแบบดั้งเดิมที่เอามาอบแห้ง คลุกพริก คลุกเกลือ คลุกบ๊วยตามสูตรเฉพาะของเราให้รสชาติต่างจากที่มีทั่วไป อีกแบบคือแบบแปรรูปหน้าตาคล้ายมะขามอบบ๊วยหรือมะขาม 5 รส ซึ่งถ้าเป็นลูกค้าของเราอยู่แล้ว พอเห็นก็มักอยากลอง เพราะไม่เคยเจอที่ไหน
“แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีปัญหาเหมือนกัน ลูกค้าบางคนก็งงว่าขายแต่มะขามมาตลอด ทำไมมีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา ก็เลยต้องสื่อสารค่อนข้างเยอะ เพื่อบอกลูกค้าว่าปัจจุบันจี๊ดจ๊าดมีอย่างอื่นแล้วนะ ไม่ได้มีแต่มะขามอย่างเดียว เราสื่อสารแต่มะขามมา 20 ปีแล้ว จะเปลี่ยนมาสื่อสารว่ามีผลไม้อื่นด้วย มันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน”
Guss Damn Good
“ยุคนี้คือยุคแห่งการคอลแล็บ เพราะผู้บริโภคแตกออกเป็นหลายกลุ่มและมีความสนใจหลากหลาย การยิงปืนนัดเดียวให้มันแมสถึงทุกคนแทบเป็นไปไม่ได้ การคอลแล็บจะช่วยขยายฐานและแลกลูกค้ากัน ผมมองว่าสินค้าในตลาดนี้ ยังไม่ค่อยมีใครคอลแล็บอาจเพราะมะขามหรือพวกผลไม้แปรรูปอาจจะดูไม่ค่อยเข้ากันกับอย่างอื่น พอครบรอบ 22 ปี ในปี 2568 เลยอยากลองทำอะไรใหม่ๆ




“ผมเป็นแฟนไอศครีมอยู่แล้ว และชอบแบรนด์ Guss Damn Good ก็เลยไปคุยกับเขาว่าอยากทำ ไอศครีมมะขามอบบ๊วย เขาเองก็กินสินค้าของเราอยู่พอดี สุดท้ายเลยเกิดโปรเจกต์นี้ขึ้น จุดประสงค์คือให้ลูกค้าที่คุ้นเคยกับมะขามอบบ๊วย ได้ลองในรูปแบบที่คาดไม่ถึง และดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามา
“เท่าที่ดูกระแสตอนเปิดตัว กลุ่มใหญ่ๆ ที่เข้ามาซื้อก็ยังคงเป็นเจนฯ Y ที่ทานมะขามอบบ๊วยอยู่แล้ว พอเห็นของใหม่ก็อยากลอง ส่วนเจนฯ Z ก็เริ่มเข้ามา หลายคนไม่เคยทานมาก่อน แต่พอเห็นคนอื่นทานก็อยากลองตาม ทำให้ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
“โปรเจกต์นี้ถือเป็นตัวเปิดให้เรา เพราะหลังจากนี้ จี๊ดจ๊าดจะมีโปรเจกต์คอลแล็บต่อเนื่อง ซึ่งเกณฑ์เลือกพาร์ตเนอร์ในการคอลแล็บ คือเรามองว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาต้องกินได้จริง อร่อย น่าสนใจ ไม่ใช่ทำเอากระแสอย่างเดียว อีกสิ่งคือฐานลูกค้าต้องใกล้กันพอสมควร แม้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน แต่ต้องดึงคนได้จริงๆ เพราะผมว่าถ้าห่างกันเกินไป ต่อให้คอลแล็บก็ดึงคนมาไม่ได้”

What I’ve Learned
1. บะหมี่ : หลายครั้งคิดว่าสินค้านี้ต้องปังแน่ๆ แต่ดันไม่ดี แต่บางอย่างที่เราทำเล่นๆ กลับไปได้สวย ผมจึงมองว่าสิ่งสำคัญคือต้องเตรียมแผนรับมือหลายสถานการณ์ ถ้ามันดีกว่าที่คิด เราจะขยายยังไง ซัพพลายพอหรือเปล่า ถ้ามันไม่ดี เราจะปรับสูตร ปรับแพ็กเกจจิ้ง หรือหาทางลงให้มันอย่างสวยงามยังไง2. มิ้น : ตอนแรกๆ ที่เข้ามาทำเรื่องส่งออก เรายอมรับว่าโฟกัสที่ยอดขายมากๆ พอเวลาผ่านไป เห็นวงจรสินค้าในหลายตลาด เราเรียนรู้ว่าเอนเกจเมนต์และ ความรักในแบรนด์ของลูกค้าสำคัญกว่า ถ้ารักษาแฟนไม่ได้ ต่อให้สินค้ากลุ่มเดียวกัน ลูกค้าก็เปลี่ยนใจได้ตลอด เราเลยเน้นสร้างความใกล้ชิด สร้างชุมชนเล็กๆ เพื่อให้อยู่ได้ยาวๆ แล้วเราเชื่อว่าเดี๋ยวยอดมันจะตามมาเอง
3. มิ้ว : มิ้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดฐานะคนทำแคมเปญและเป็นเจ้าของแบรนด์คือเราจะสามารถยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองแล้วนำไปปรับปรุงต่อได้ไหม