Made in Thailand

CMC แบรนด์กลอง ‘ไทยทำ’ จากคนตีกลองไม่เป็นกับคุณภาพระดับ ‘เมดอินไทยแลนด์’ ที่ทั่วโลกยอมรับ

“เมดอินไทยแลนด์ แดนไทยทำเอง, จะร้องรำทำเพลงก็ล้ำลึกลีลา”

ขณะกำลังเรียบเรียงบทสัมภาษณ์นี้ผมนึกถึงท่อนฮุคสุดคลาสสิคจากเพลง เมด อิน ไทยแลนด์ ของคาราบาว วงเพื่อชีวิตระดับตำนาน ซึ่งเนื้อหาปรารภประชดประชันถึงสินค้าฝีมือไทยทำที่ถูกประเมินค่าต่ำไป จนพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกฯ ณ ห้วงเวลานั้นต้องออกนโยบายชวนคนไทยกลับมาซื้อสินค้าของไทย

เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องของอดีต…

ปัจจุบันสินค้าของไทยได้รับการยกย่องไม่ใช่แค่ในแง่ของ OEM (original equipment manufacturer) แต่เป็นในนาม ‘แบรนด์’ โดยแท้จริง 

ผมกำลังกล่าวถึง ‘CMC’ หรือ ‘Chan Musical’ (ชาญมิวสิคเคิ้ล) ผู้ผลิตกลองและเครื่องดนตรีเคาะประกอบจังหวะ ที่นักดนตรีระดับโลกอย่างวง Santana จนถึงร็อกแอนด์โรลหัวขบถอย่าง Oasis เลือกใช้ ยิ่งในประเทศไม่ต้องพูดถึง คุณสามารถพบเห็นมือกลองในวงดนตรีกลางคืนจนถึงนักดนตรีระดับมืออาชีพ อาทิ ค่าย Smallroom หวดกลองของแบรนด์แบรนด์นี้ได้ไม่เคอะเขิน

CMC มีคติประจำแบรนด์คือ ‘กลองไทยทำด้วยใจ’ ที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาจนเติบโตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ใช่เพราะเป็นแบรนด์ของคนไทยหรือผลิตโดยแรงงานไทยทุกขั้นตอน แต่มาจากมาตรฐานที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น 

ความเชื่อที่ว่านี้คงไม่มีใครเล่าได้ดีไปกว่า ชัย–กฤษกร ชาญดนตรีกิจ ทายาทรุ่นที่ 3 และ Chief Designer Officer & Chief Marketing Officer แห่ง CMC ที่จะมาถ่ายทอดความเชื่อของแบรนด์ผ่านบทสัมภาษณ์นี้

ร้านซ่อมเครื่องดนตรีก๋ง มาถึงร้านขายเครื่องดนตรีของป๊า และจากนั้นคือ CMC

“ธุรกิจของ CMC น่าจะเหมือนหลายๆ ครอบครัวชาวจีนที่เริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบ” 

กฤษกรเปรยถึงการก่อตั้ง CMC ให้ฟังขณะกำลังนำสำรวจโรงงานผลิตกลองชุดและเครื่องดนตรีเคาะประกอบจังหวะของเขาซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

แต่ก่อนที่จะเห็นเป็นโรงงานใหญ่โต มีแบ่งสัดส่วนแผนกการทำงานชัดเจนดังตรงหน้า ย้อนกลับไปเมื่อ 67 ปีที่แล้วบริษัทแห่งนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งพนักงานสักคน ทว่าเริ่มต้นขึ้นจากชายชาวจีนโพ้นทะเลที่ชื่อ ‘งิ่งจุ้ย แซ่เซียว’ อากงของกฤษกร ซึ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่บนผืนแผ่นดินไทยด้วยการเป็นลูกจ้างขายแผ่นเสียงในเวิ้งนครเกษม ก่อนจะจับพลัดจับผลูยกระดับตัวเองเป็นช่างซ่อมเครื่องดนตรีด้วยทักษะช่างไม้ที่นำติดตัวมาจากบ้านเกิด

จากลูกจ้าง อากงของกฤษกรค่อยๆ พัฒนาฝีมือ เก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ ก่อนจะตัดสินใจเปิดกิจการของตัวเองในนามบริษัท ‘เป้งนำฮวด’ ที่รับซ่อมเครื่องดนตรีและผลิตกล่องใส่เครื่องดนตรีประเภทเป่า และค่อยๆ ขยายกิจการมาขายเครื่องดนตรีประเภทเคาะประกอบจังหวะ โดยเน้นไปที่ ‘กลองพาเหรด’ ส่งออกแก่โรงเรียนต่างๆ โดยมี ‘ชาติชาย ชาญดนตรีกิจ’ ผู้เป็นพ่อของกฤษกรทำหน้าที่เป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง

“คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเริ่มช่วยอากงทำงานตั้งแต่อายุ 14-15  ปี แกบอกว่าสมัยก่อนทำกลองได้อาทิตย์ละ 2 ใบ นอกจากกลอง ยังทำเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ สมัยนั้นเครื่องดนตรีมันเป็น seasonal product มากๆ คุณพ่ออธิบายให้ผมฟังว่าพอปิดเทอมแทบไม่มีคนซื้อเลย เพราะสินค้าส่วนใหญ่ขายได้แค่กับโรงเรียน คือยุคนี้กับยุคสมัยนั้นมันแตกต่างกันมาก สมัยนั้นการเป็นนักร้องนักดนตรีถูกปรามาสว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน ไม่ได้ดังปรอทแตกมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

“จนสักประมาณปี 2530 เริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาในไทยเยอะขึ้น ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีผู้ที่เข้ามาตามหาผู้ผลิตเครื่องดนตรีเคาะจังหวะ ตั้งแต่นั้นเลยมีการจดทะเบียนบริษัทเป็นรูปธรรม เท่าที่ผมจำความได้ในรุ่นคุณพ่อการผลิตยังเป็นกึ่งแฮนด์เมด เรียกว่าแฮนด์เมด 70% เครื่องจักร 30% 

“คือสมัยนั้นเรื่องของเทคโนโลยีเครื่องจักรยังไม่ทันสมัยเท่ายุคนี้ ก่อนที่คุณพ่อจะค่อยๆ พัฒนาหาความรู้ ไปตามงานแฟร์ งานโชว์เครื่องจักรงานไม้ เพื่อนำความรู้มาต่อยอดการผลิต จากรุ่นอากงที่ผลิตได้อาทิตย์ละ 2 ใบ ก็กลายมาเป็นอาทิตย์ละ 4 ใบ” กฤษกรย้อนความถึงจุดเริ่มต้นของ CMC ในมุมของผู้บุกเบิก 2 รุ่นแรก

เขาสารภาพกับผมว่า ความจริงแล้วช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขาแทบไม่ได้คลุกคลีกับกิจการของครอบครัวสักเท่าไหร่ นับตั้งแต่ตัดสินใจปลีกตัวไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษา ล่วงเลยถึงวัยทำงานในฐานะคนโฆษณาที่ประเทศออสเตรเลีย 

เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจเขามาตลอดคือทำไมไม่เคยมีแบรนด์กลองไทยที่ได้เฉิดฉายในเวทีระดับโลกบ้าง ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาประเทศไทยรับช่วงต่อกิจการของพ่อ ปรับกลยุทธ์จากที่เน้นส่งออกในฐานะ OEM มาผลิตกลองจำหน่ายเองในนามแบรนด์ CMC

“สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดคือประเทศไทยมีบริษัทดีๆ มีผู้ผลิตเก่งๆ เหมือนอย่างบริษัทที่ผลิตรถยนต์เต็มไปหมด แต่ทำไมไม่เคยมียี่ห้อรถยนต์เป็นของคนไทยเอง เหมือนกับยี่ห้อกลองที่เรามีคนผลิตเก่งๆ มีมือกลองดีๆ เต็มไปหมด แต่ทำไมไม่มียี่ห้อกลองของคนไทยบ้างล่ะ 

“จากคำถามนั้นทำให้ผมตัดสินใจบอกกับป๊าว่า ผมอยากทำแบรนด์กลองชุดเป็นของตัวเอง ซึ่งนี่ก็เป็นความฝันของป๊าเหมือนกัน ที่มาของชื่อ CMC เลยมาจากนามสกุลของครอบครัวชื่อชาญดนตรีกิจ”

‘กลองไทยทำด้วยใจ’ เจตนารมณ์ของคนทำกลองที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

คติประจำใจของ CMC มีด้วยกัน 2 ประโยค

ประโยคแรกคือ CMC live with rhythm จากความเชื่อของกฤษกรที่ว่า ‘ชีวิตคือจังหวะ’ เสมือนนักดนตรีที่ดำเนินอาชีพด้วยจังหวะสนุกสนาน

และประโยคที่ 2 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนดนตรีคือ ‘กลองไทยทำด้วยใจ’ ซึ่งประโยคดังกล่าวมาจากความตั้งใจของทายาท CMC รุ่นที่ 2 ที่หวังให้คนไทยได้ใช้เครื่องดนตรีคุณภาพดีที่ถูกผลิตด้วยความพิถีพิถัน และที่สำคัญคือต้องจำหน่ายในราคาจับต้องได้เพื่อประโยชน์แก่นักดนตรีทุกหย่อมหญ้า

“ตอนที่ผมขอพ่อว่าอยากทำ CMC แกบอกกับผมสั้นๆ ว่า ถ้าจะทำป๊าขอแค่ 2 อย่าง คือ หนึ่ง–คุณภาพต้องดี สอง–ถ้าขายให้คนไทยด้วยกันต้องไม่แพง สั้นๆ แค่นี้ผมได้ฟังก็ตอบตกลงทันที

“เรายังเป็นร้านขายเครื่องดนตรีรายแรกๆ ในประเทศที่ขายของออนไลน์ผ่านโซเชียลฯ คำถามที่เจอประจำคือ ผลิตในเมืองไทยหรือ ‘เมดอินไทยแลนด์’ สู้ของนอกได้ไหม จนวันหนึ่งคุณพ่อเลยพูดว่า ป๊าเกิดมาก็ช่วยก๋งทำกลองแล้ว ทำกลองมาตลอดชีวิต ป๊าทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่ป๊าทำด้วยใจ 

“สิ่งที่คุณพ่อขอไว้มันกลายมาเป็นอีกหนึ่งคติประจำแบรนด์ คนอาจจะมองว่าเราปั้นแต่งคำพูดสวยหรูหรือเปล่า ผมกล้ายืนยันเลยว่าไม่ สิ่งนี้มาจากใจของคุณพ่อและมาจากใจของผม เราอยากทำเครื่องดนตรีคุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ ทำให้กลองชุดราคา 4-5 หมื่นสามารถสู้คุณภาพกับกลองชุดจากเมืองนอกราคาหลักแสนได้

“ผมยกตัวอย่างเก้าอี้กลอง (drum throne) ที่ผมนั่งอยู่ ถ้าคุณลองจับดูจะรู้ว่ามันเบามาก โปรดักต์นี้มาจากเพื่อนนักดนตรีที่บอกกับผมว่า เขาอยากได้เก้าอี้กลองน้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ขายในราคาที่จับต้องได้ เราเลยตัดสินใจผลิตเก้าอี้กลองนี้ขึ้นมา

“หรืออย่างไม้กลองคู่ละ 170 บาทถามว่าทำไมผมถึงตั้งใจขายในราคานี้ ถ้าเทียบกับไม้กลองยี่ห้อนอกที่คู่หนึ่ง 400 บาท ง่ายๆ ผมอยากให้ลองคิดตามว่าอาชีพมือกลองถ้าในกรุงเทพฯ เฉลี่ยเล่นคืนหนึ่งได้ค่าแรงชั่วโมงละ 500-800 ถ้าในต่างจังหวัดได้ชั่วโมงละ 300-400 บาท 

“สมมติซื้อไม้กลองมา 400 บาทจู่ๆ ตีไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงไม้หัก บอกเลยว่าคืนนั้นแทบไม่ต่างจากเล่นฟรี ผมเลยอยากให้สินค้าของเราอยู่ที่ราคาประมาณนี้ มือกลองที่เล่นดนตรีรายได้ไม่สูงนักก็สามารถซื้อไหว โดยที่มาตรฐานคุณภาพกับราคาทั้งเขาและเรารับไหว” กฤษกรอธิบายด้วยรอยยิ้ม

จากจุดเริ่มต้นของ CMC ในปี 2554 ที่เน้นผลิตงานกลองแบบคัสตอมตามลูกค้ารีเควสต์ จึงค่อยๆ พัฒนามาเป็นผู้ผลิตกลองชุดที่ในยุคสมัยนั้นสนนราคาเริ่มต้นเพียง 30,000 บาท ซึ่งกฤษกรกล้ายืนยันกับเราเต็มปากว่าไม่มีแบรนด์กลองแบรนด์ไหนผลิตในราคานี้ โดยต้นทุนการผลิตสามารถควบคุมได้เพราะมีเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ผ่านการคิดค้นจากรุ่นสู่รุ่นเป็นทุนเดิม 

ด้วยเหตุนี้ CMC จึงกลายเป็นยี่ห้อสามัญที่วงดนตรีแทบทุกวงยกใจให้ทั้งในแง่ของคุณภาพและราคา 

คนทำกลองที่ตีกลองไม่เป็น

“จริงๆ ผมตีกลองไม่เป็นนะ ถ้าแค่เคาะๆ งูๆ ปลาๆ ยังพอไหว” 

กฤษกรเอ่ยประโยคชวนสงสัยพลางหัวเราะร่า, ผมขมวดคิ้วคิดในใจอะไรทำให้คนที่ผลิตกลองจนได้รับการยอมรับไปทั่วกลับใช้งานมันไม่เป็นเสียงั้น 

“ผมมองตัวเองเป็นดีไซเนอร์ เป็นมนุษย์ทดลองมากกว่า” กฤษกรช่วยคลายข้อสงสัยดังกล่าวในใจ “ผมอาจจะเป็นคนตีกลองไม่เป็น แต่ผมจูนกลองเป็นเพราะผมอยู่กับมันทุกวัน รู้ว่าเสียงแบบไหนดีไม่ดี ผมเลยชอบนำไม้ประเภทต่างๆ มาทดลอง 

“ครั้งหนึ่งผมได้ไม้ทุเรียนมาทำกลองอยู่ในขั้นตอนพ่นสี ยังไม่ได้ประกอบเป็นสแนร์ด้วยซ้ำ ประจวบเหมาะเป็นช่วงที่วง Santana มาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทยพอดี ด้วยความที่ครอบครัวผมสนิทกับวงเลยชวนเขามาเดินที่โรงงาน ปรากฏว่าคาร์ล เพอร์ราโซ มือเพอร์คัชชั่น เขาเห็นไม้ทุเรียนนี้พอดี เขาก็หยิบตัวถังไม้ขึ้นมาเคาะๆ ครู่หนึ่งเขาก็บอกว่าส่งให้เขาใบหนึ่งสิ เสียงดีมาก   

“หรืออย่างกลองที่วางบนชั้นตรงนี้ เชื่อไหม มีใบหนึ่งทำมาจากไม้ตะเคียนตกน้ำมันซึ่งเสียงดีมาก ผมทดลองใช้ไม้ประหลาดๆ อยู่เยอะ เช่น ไม้ปาล์ม, ไม้จากต้นตาล, ไม้จามจุรี, ไม้มะม่วง ฯลฯ เป็นไม้อะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย แล้วถ้าเป็นไม้ไทยยิ่งได้ช่วยชาวสวนไปในตัว”

 ครั้งหนึ่งเขายังเคยใช้ไม้ทำเขียงซึ่งเป็นไม้เนื้อเหนียวๆ มาทำกลอง ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแม้เนื้อไม้จะดี แต่พอขึ้นโครงทิ้งไว้ 2-3 วัน ไม้ก็งอโค้งใช้การไม่ได้ 

“ผมมองว่าดนตรีเป็นเรื่องของการทดลอง นักดนตรีเองที่ผลิตเพลงขึ้นมา เขาก็ทดลองอะไรหลายๆ แบบเพื่อให้ได้ดนตรีของเขา ตัวเราเองที่เป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีเองก็เหมือนกัน เราต้องทดลองเพื่อหาเสียงใหม่ๆ ที่สามารถเอามาทดแทนสิ่งเก่าๆ หรือสร้างสิ่งใหม่ได้ อย่างเวลาเราทดลองเสร็จก็ต้องส่งให้นักดนตรีทดลองต่อ หรือในแง่การเป็น OEM เราก็ร่วมกับบริษัทฝรั่งทดลองก็มี”  

“ถ้าอย่างนั้น ไม้แบบไหนที่ควรเอามาทำกลองมากที่สุด” ผมถามต่อด้วยความสงสัย ซึ่งคำตอบที่ได้จากเขาทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย เพราะนั่นคือ ‘ไม้ยางพารา’ ไม้เศรษฐกิจเบอร์ต้นของไทย 

“ไม้ยางพาราบ้านเรานี่แหละครับเบอร์หนึ่ง คุณพ่อเล่าให้ผมฟังว่าสมัย 40 ปีที่แล้วยังไม่เคยมีใครนำไม้ยางพารามาทำกลอง คุณพ่อเขาก็ไปขอซื้อต่อไม้ยางพาราจากชาวบ้านในราคาถูก เพราะชาวสวนส่วนใหญ่กรีดยาง พอน้ำยางหมดเขาก็ตัดทิ้ง ไม่ก็เผาทิ้ง พอเอามาทดลองทำกลองทำให้รู้ว่าไม้ยางพารามีย่านเสียงที่ต่ำมหาศาลกว่าเพื่อน 

“ใครที่เป็นนักดนตรีจะรู้ว่ากลองที่ดีจะต้องมีย่านเสียงต่ำ เราเลยได้ประโยชน์จากการนำมาทำเครื่องดนตรี ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์จากการขายต้นยางพาราได้”  

นอกจากกลองชุด CMC ยังผลิตกลองหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะกลองแขก กลองอินเดีย กลองเกาหลี (กลองจังกู) หรือกลองญี่ปุ่น (กลองไทโกะ) กฤษกรบอกกับผมว่ากลองบางชนิดเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนด้วยซ้ำในชีวิต บางเครื่องเคาะถูกคิดค้นใหม่ตามไอเดียนักดนตรี ฟังดูเป็นงานยาก แต่เขายืนยันว่านี่เป็นความสนุกในชีวิตกับการได้เรียนรู้เครื่องดนตรีชนิดใหม่ในทุกๆ วัน

“ผมมองว่าดนตรีเป็นเรื่องของการทดลอง นักดนตรีเองที่ผลิตเพลงขึ้นมา เขาก็ทดลองอะไรหลายๆ แบบเพื่อให้ได้ดนตรีของเขา ตัวเราเองที่เราเป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีเองก็เหมือนกัน เราต้องทดลองเพื่อหาเสียงใหม่ๆ ที่สามารถเอามาทดแทนสิ่งเก่าๆ หรือสร้างสิ่งใหม่ได้ 

“ผมว่าที่นี่อาจไม่ใช่โรงงานผลิตกลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กล้าพูดเต็มปากว่าเราผลิตกลองมากชนิดหรือเครื่องเคาะมากชนิดที่สุดในโลก” 

งานประณีตในแบบ ‘เมดอินไทยแลนด์’

Bedroom Audio, Lomosonic, เรนิษรา, ไหทองคำ และวงดนตรีจากค่าย Smallroom เช่น Tattoo Colour และ The Richman Toy 

เหล่านี้คือชื่อศิลปินที่กฤษกรพอจะนึกได้เร็วๆ ว่าพวกเขาใช้ผลิตภัณฑ์กลองของ CMC หรืออัพเดตล่าสุดหน่อยคือที่เจ้าตัวโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ร็อกสตาร์หัวขบถใช้มาราคัสที่ผลิตจากโรงงานของ CMC ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตรียูเนี่ยน ที่เมืองคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์

นอกจากคุณภาพการใช้งานที่ดีและราคาจับต้องได้ มีองค์ประกอบใดอีกบ้างที่ทำให้แม้แต่ศิลปินชื่อดังตัดสินใจใช้เครื่องดนตรีจาก CMC ซึ่งคำตอบที่ได้จากกฤษกรคือ ‘ความประณีต’ ตั้งแต่การเลือกวัสดุไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายอย่างการออกแบบลวดลาย

“ตอบยากเหมือนกันนะว่าทำไมนักดนตรีดังๆ หรือนักดนตรีระดับโลกเลือกใช้ CMC บางคนมาเพราะอยากลองเครื่องดนตรีฝีมือคนไทย หรือบางคนมาเพราะอยากได้ความแตกต่าง ตัวผมเองก็พยายามออกแบบสินค้าโดยไม่เคยมองตัวเองแมสแล้วหรือเป็นแบรนด์ใหญ่ 

“คือผมคิดว่าการทำเครื่องดนตรีมันต้องสนุก มันต้องแปลกใหม่ อย่างเช่นกลองโลหะที่ลวดเป็นสนิม ผมทำเพราะตอนนั้นน้ำท่วมพอดี บังเอิญผมเห็นกลองมันขึ้นสนิมแล้วสวยดี ผมก็เอาไปทำต่อเป็นลวดลายโดยที่กันไม่ให้สนิมมันลามกว่าเดิม หรืออย่างกลองชุดที่ตั้งอยู่ตรงนี้ลวดลายเกิดจากพ่นสีแบบแฮนด์เมดซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ CMC ไม่ใช่งานแรปอัพสีเหมือนที่พบทั่วไป

“หลักๆ นักดนตรีที่จะรีเควสต์ทำกลองคัสตอมกับเรามีกฎอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือเราจะไม่ก๊อปดีไซน์หรือสีซิกเนเจอร์ของแบรนด์อื่น ส่วนข้อสองคือดีไซน์ที่พิสดารมากๆ จนเราทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกนักดนตรีทุกคนคือก่อนจะเลือกดีไซน์ คุณต้องเลือกก่อนว่าอยากได้ไม้ที่ให้เสียงแบบไหนมาทำกลอง” 

ไม้บางชนิดให้เสียงทุ้ม บางชนิดเสียงแหลม การจะสั่งทำกลองชุดหนึ่งที่ราคาไม่ถูกนั้น เขามองว่านักดนตรีต้องรู้สึกชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่เลือกสีหรือดีไซน์แบบที่เคยเห็น 

ปัจจุบันรูปแบบธุรกิจของ CMC เน้นไปที่การส่งออกต่างประเทศเป็นหลักถึง 85% โดยเฉพาะในแถบอาเซียนที่เรียกว่าแทบจะครองตลาด เช่น ในกัมพูชาและเมียนมาที่มีตัวแทนจำหน่ายจริงจัง ซึ่งกฤษกรบอกว่า ‘การบริการหลังการขาย’ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดส่งออกของ CMC เติบโต เพราะนี่เป็นแบรนด์เครื่องดนตรีเพียงไม่กี่แบรนด์บนโลกที่มีบริการลักษณะนี้

 “สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อสร้างไว้จะเรียกว่าเป็นบรรทัดฐานความรับผิดชอบก็ได้ คือเรารับประกันสินค้าเสียหายแก่ลูกค้า OEM ที่ 1% ถ้าพบเกินกว่านั้นเราจ่ายคืนทั้งหมด นั่นทำให้ลูกค้าต่างชาติมั่นใจในคุณภาพของเรามากๆ เวลาเรานำสินค้าไปจัดแสดงงานใหญ่ๆ อย่าง The NAMM Show ลูกค้าก็จะชื่นชมว่าสินค้าของเราดีมาก หรืออย่างช่วงที่เกิด Hamburger crisis มีลูกค้าหลายเจ้าที่หนีไปใช้สินค้าจากจีนที่ราคาถูกกว่า แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมาเพราะเจอปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า 

“แม้กระทั่งในนาม CMC ก็มีการรับประกันสินค้า 2 ปี ถ้าสินค้าเสียหายจากการผลิตเรายินดีซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ให้ใหม่ ต่างจากต่างประเทศที่เขารับประกันอย่างมากก็ 1 ปี อย่างสกรูที่ใช้จูนเสียงกลองเราก็เลือกใช้แบบสเตนเลส ซึ่งปกติต้องเป็นกลองราคาหลักแสนถึงจะได้แบบนี้ แต่เราพยายามพัฒนาผลิตสกรูของเราเองขึ้นมาเพื่อให้นักดนตรีทุกคนได้ใช้ สิ่งนี้เป็นความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนในแบบของเรา”

ต่อยอดแบรนด์ใหม่ในนามไชโย

ถึงตรงนี้มีอีกหนึ่งแบรนด์ที่กฤษกรภูมิใจนำเสนอ นั่นคือ ‘ไชโย’ แบรนด์ฉาบที่เขาซุ่มซ้อมปลุกปั้นต่อจาก CMC ที่แข็งแรงติดลมบนไปก่อนแล้ว โดยกฤษกรอธิบายว่าชื่อแบรนด์มีที่มาจากคำอุทานแบบไทยๆ คือ ‘ไชโย…โห่ฮิ้ว’ ที่ทั้งคนไทยและคนต่างชาติจดจำได้ง่าย 

ส่วนที่มาในการต่อยอดมาจากความตั้งใจของเขาที่อยากหาแนวทางใหม่ๆ ในการผลิตเครื่องดนตรีที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยยังคงคอนเซปต์ความเป็นงานคราฟต์ไว้อยู่

“ผมมองว่าถ้าเกิดเราอยากไปไกลกว่านี้ เราก็ควรจะมีอีกสักแบรนด์ที่จดจำได้ง่าย เป็นแบรนด์ที่สนุกสนาน มีเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎเดิมๆ นี่จึงเป็นที่มาของฉาบยี่ห้อไชโย ถามว่ามันพิเศษแหกกฎยังไง ถ้าคุณเป็นคนเรียนดีไซน์มาก่อนจะรู้ว่ากฎของการดีไซน์มีอะไรบ้าง นั่นคือ architecture, graphic design หรือ product design 

“กลับกันกฎของการผลิตฉาบยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเครื่องจักร แต่เราเลือกกลับไปใช้รูปแบบการผลิตแบบแฮนด์คราฟต์ คือผลิตด้วยหลอมด้วยเตาถ่าน ซึ่งเป็นเตาฟืนไม้โอ๊กโบราณ ไม่มีการใช้เครื่องจักรเลย มีแค่ตอนปั๊มนูนตัวอักษรเท่านั้น เป็นการพากลับสู่จุดเริ่มต้นของเครื่องดนตรีชนิดนี้อย่างแท้จริง”

“แนวคิดการผลิตฉาบแบบนี้มาจากไหน” ผมถามกฤษกรต่อ

“จากตุรกี” ทายาท CMC รุ่นที่ 3 ตอบกลับ “ผมไปถึงแหล่งคนผลิตจริงๆ เลย เห็นเลยว่าเขาใช้เตาฟืน เตาถ่านในการอบหลอมเพื่อขึ้นรูปฉาบ ตอนนี้เหลือเพียง 2 เจ้าเท่านั้นในตุรกีที่ใช้กรรมวิธีแบบนี้อยู่ ฟังดูขั้นตอนยุ่งยากราคาต้องแพง แต่เรายังคงความตั้งใจเดิมคือขายในราคาที่คนธรรมดาก็ซื้อไหว 

“กรรมวิธีแบบนี้ผมว่าไม่ต่างจากที่ CMC เลย อย่างเราใช้เครื่องจักรม้วนไม้ทำกลองที่เป็นเทคโนโลยีเดิมๆ ตั้งแต่รุ่นพ่อผมเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งผมมองว่าบางอย่างที่มันมีประวัติศาสตร์แบบนี้ควรค่าแก่การรักษาไว้ เราเพียงเข้ามาต่อยอดเพื่อให้มันเกิดสิ่งใหม่เท่านั้น”

ฝันที่กล้าฝันของแบรนด์ที่ชื่อ CMC

“ดูคุณจะเป็นคนที่มีไอเดียและแพสชั่นล้นเหลือมากๆ มีอะไรบ้างที่คุณตั้งเป้าหมายไว้อีกต่อจากนี้” ผมถามกฤษกรทิ้งท้ายก่อนจะจากกัน

“มีเยอะมาก ก่อนอื่นตอนนี้ผมกำลังตามหาโปรดักดีไซเนอร์มาช่วยอยู่เพราะคิดงานไม่ทัน เพราะตอนนี้ไม่ได้มีแค่ลูกค้า OEM ที่ว่าจ้างเรา แต่ยังมีลูกค้า ODM (original design manufacturer) ที่เขามาโยนหินถามทางเรื่องไอเดีย ผมเลยมองว่าถ้าเราจะโตขึ้นก็ต้องมีทีมที่ใหญ่ขึ้นตามเพื่อรองรับไอเดียที่เข้ามา (หัวเราะ)

“ส่วนเป้าหมายใหญ่ตอนนี้สำหรับผมคือไปให้ถึงระดับโลก พูดตรงๆ ทุกวันนี้สินค้าของเราไปในหลายประเทศอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย และในอาเซียน แต่ยุโรปหรืออเมริกายังคงมีแบรนด์ที่ครองตลาดฝั่งนั้นอยู่ซึ่งก็มีอยู่หลายยี่ห้อ แต่ผมอยากใช้คติประจำแบรนด์อย่างกลองไทยทำด้วยใจทำให้ทั่วโลกรับรู้ ว่าสินค้าที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยที่ทำด้วยใจจริงๆ มันเป็นยังไง

“ขณะเดียวกัน CMC ก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับวงดนตรีอินดี้อยู่หลายวง เพราะผมอยากเห็นวงการดนตรีไทยมีความหลากหลายมากขึ้น และผมเชื่อว่าวงการดนตรีไทยไปได้ไกลกว่านี้ ผมเจอนักดนตรีไทยเก่งๆ อยู่หลายคน ทำเพลงคุณภาพไม่แพ้ต่างชาติเลยเพียงแค่ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก CMC เลยอยากสนับสนุนนักดนตรีเหล่านี้ที่รายได้อาจจะยังไม่มาก” 

เส้นทางเติบโตของ CMC ที่กฤษกรวาดไว้ยังคงอีกยาวไกล แต่บทพิสูจน์เรื่องคุณภาพที่ผ่านมาเป็นเครื่องการันตีที่แน่ชัดแล้วว่า สินค้าของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และที่สำคัญคืออะไรที่ทำด้วยใจมักมีคุณค่าต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นเสมอ แม้แต่คนที่ตีกลองไม่เป็นก็สามารถทำกลองคุณภาพที่ที่ทั่วโลกยอมรับได้

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like