เก้าอี้ดนตรี

13 ปี The Voice ที่เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี เมื่อความแมสไม่พออยู่รอดเลยขอสู้หมดหน้าตัก

ถนนทั้งเส้นเงียบเหงาผิดวิสัย ร้านรวงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มุงดูหน้าจอสี่เหลี่ยมโดยมิได้นัดหมาย เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลิบมาจากครอบครัวบ้านข้างๆ เหล่านี้คือเสน่ห์ที่ ‘รายการโทรทัศน์’ เคยมอบให้คนดูครั้งเมื่อครองอันดับ 1 ความเป็นสื่อยอดนิยม

กระทั่งถึงยุคที่สื่อโทรทัศน์ถดถอยภายหลังการมาของโซเชียลฯ และสตรีมมิง หลายรายการทีวีเข้าสู่เกม survival ที่ต้องเฟ้นหาวิธีเรียกเรตติ้งหรือปรับวิธีการออกอากาศให้เข้ากับพฤติกรรมคนดู เฉกเช่นที่ The Voice Thailand รายการประกวดร้องเพลงแนวเรียลลิตี้กำลังเผชิญอยู่ 

จากรายการที่ประเดิมซีซั่นแรก (2012) ด้วยยอดเรตติ้งชมสดถึง 7.3 อุดมโค้ชระดับพระกาฬทั้งก้อง–สหรัถ สังคปรีชา, เจนนิเฟอร์ คิ้ม, โจอี้ บอย และแสตมป์–อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ที่รับหน้าที่ปั้นเหล่านักดนตรีเสียงดีให้กลายเป็นศิลปินตัวจริงดีกรีนามสกุล The Voice 

ไม่ว่าจะนน ธนนท์, สงกรานต์ รังสรรค์, ฟิล์ม บงกช, วี วิโอเลต, แม็กซ์ เจนมานะ และอีกมากมาย ถึงคราวเปลี่ยนกลยุทธ์แบ่งฉายทางสตรีมมิงเน็ตฟลิกซ์ รวมไปถึงคิดกิมมิกรายการให้หลากหลายมากขึ้น เช่น The Voice Kids, The Voice All Stars และล่าสุดอย่าง The Voice Pride

เปรียบวัฏจักรของ The Voice Thailand ตลอด 13 ปีที่ผ่านมาแทบไม่ต่างจากการเล่น ‘เก้าอี้ดนตรี’ ที่ต้องคว้าโอกาสที่เข้ามาเพื่อความอยู่รอด แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนกลับมีสิ่งเดียวที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงคือ ‘คุณภาพ’ 

ทั้งหมดนี้คงไม่มีใครอธิบายได้ดีไปกว่า ‘โอ๋–พัฒนี จรียะธนา’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์ซิท สาม หก ห้า จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์ The Voice Thailand

ย้อนกลับไปในวันที่ The Voice Pride เข้าสู่รอบไฟนอล เราชวนพัฒนีปลีกตัวหลบหลังฉากเพื่อสนทนาถึงวันคืนที่เปลี่ยนผ่านของ The Voice นับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจนำเข้ารายการ จากจุดสูงสุดจนถึงวันที่ร่วงหล่น ความในใจที่ทำให้เธอแบกรับรายการนี้ไว้แม้ต้องเผชิญนานาอุปสรรค

จากวันที่ The Voice ออกฉายซีซั่นแรกจนถึงตอนนี้ จุดไหนเป็น turning point ที่ทำให้คนทำธุรกิจทีวีต้องเผชิญกับความท้าทาย

ถ้าพูดถึงวงการทีวี มันมีการเปลี่ยนแปลงหนักจริงๆ อยู่ 2 ช่วง 

ช่วงแรกคือช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากทีวีแอนะล็อกเป็นทีวีดิจิทัล ก่อนหน้านั้นที่ The Voice ออกฉายยังเป็นทางช่อง 3 รูปแบบเดิมอยู่ จนกระทั่งหมดช่วงพีคของรายการคือซีซั่น 3 วงการทีวีถึงเข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัลเต็มตัว 

ผลคือจากเดิมที่คนดูดูทีวีอยู่แค่ 4-5 ช่อง กลายเป็นมีตัวเลือกให้ดู 20 ช่อง ทำให้ยอดคนดูกระจัดกระจายแบ่งสัดส่วนไปตามช่องต่างๆ ช่วงนั้นถือเป็น ‘สงครามทีวีดิจิทัล’ มีองค์กรเอกชนเข้าไปลงทุนซื้อช่องเป็นของตัวเองเพราะเขามองว่านี่เป็นโอกาส ซึ่งธุรกิจทีวีก็ขยายสเกลไปถึงหลักพันล้าน หมื่นล้าน

ช่วงที่สองคือ 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นช่วงที่หนักที่สุดเพราะพฤติกรรมของคนดูเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากการมาของโซเชียลฯ ที่บูมมากๆ และเห็นชัดเลยคือ TikTok คนดูก็มีทางเลือกที่ดูในมือถือได้ ดูผ่านสตรีมมิงได้  ไม่จำเป็นต้องดูถ่ายทอดสดเหมือนแต่ก่อน 

จนถึงตอนนี้พี่ว่าพฤติกรรมของคนดูชอบคอนเทนต์ที่เป็น short form สังเกตได้จากที่ The Voice ลงรีรันในยูทูบตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงซีซั่น 2024 มียอดวิวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 400-500 ล้านวิว จนกระทั่งมาถึงซีซั่นนี้แหละที่ยอดในยูทูบตกลงแบบน่าใจหาย 

บางคลิปจากยอดวิวหลักแสนเหลือแค่หลักหมื่นเพราะเขาหนีไปแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็น short form เป็นจุดเปลี่ยนที่สะท้อนให้เห็นว่ายอดคนดูไม่ได้ชี้วัดกันที่ long from อีกต่อไปแล้ว

ถ้าอย่างนั้นวงจรการทำงานของ The Voice ณ เวลานี้เป็นแบบไหน

การทำงานของ The Voice แบ่งย่อยๆ คือออกฉายทางทีวีเสร็จก็จะมีรีรันที่สตรีมมิง จากนั้นถึงแบ่งไฮไลต์ไปลงตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่จะมีทั้งใน reel, YouTube และ TikTok ซึ่งในปี 2024 เราทำยอดวิวได้หลายล้าน แต่ตอนนี้พฤติกรรมคนดูใน TikTok ก็เปลี่ยนไปอีก คือเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อฟังเพลงแต่ต้องการเข้ามาดูคอนเทนต์ที่มันตลก คอนเทนต์ที่เป็นทางการมากๆ เขาจะไม่เอาเลย 

อย่างพวกวิดีโอที่เป็นคลิปเพลงสั้นๆ คนดูก็ไม่ได้เยอะ ทั้งที่เพลงในซีซั่นนี้ (The Voice Pride) โคตรดี แต่ถ้าเป็นวิดีโอแนวสัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ หรือเบื้องหลังเวทีที่มีปล่อยมุกตลกคนจะชอบมากๆ 

หมายความว่าสิ่งที่คนทำธุรกิจทีวีในตอนนี้ต้องใส่ใจมากที่สุดคือเรื่องพฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา

ใช่ เอาจริงๆ นี่เป็นโจทย์ที่เราพยายามแก้อยู่ตลอด เราพยายามอ่านพฤติกรรมคนดู อย่างเมื่อก่อนเราออกอากาศทางทีวีเสร็จเราก็อัพโหลดคลิปไฮไลต์การแสดงของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน กระทั่งปี 2024 คนเริ่มไม่ดูทีวี เราก็แก้โจทย์ด้วยการย้ายไปสตรีมในเน็ตฟลิกซ์เพื่อที่คนดูจะชมรีรันได้ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ และอย่างที่บอกว่าพอมาตอนนี้คนไม่ค่อยดูคอนเทนต์ที่เป็น long from เราก็มาตัดคลิปสั้นๆ ลง TikTok

แต่ถามว่ามันได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม บอกเลยว่ายากเหมือนกัน เรายังต้องปรับเยอะมาก พี่ว่าคนทำคอนเทนต์ต้องปรับตัวได้ตลอด ต้องปรับเยอะด้วย ปรับตามทั้งสถานการณ์และปรับตามผู้ชม ซึ่งปรับตามผู้ชมถือว่าสำคัญที่สุด

ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของทีวียังเป็นช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนทำธุรกิจทีวีอยู่หรือเปล่า

สำหรับพี่คิดว่าไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว 

ทีวีกลายเป็นเรื่องของคนอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นผู้สูงอายุที่อยู่บ้านแล้วยังดูทีวีอยู่ คือกลุ่มคนดูทีวียังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กลุ่มคนดูหลักกลายเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ คอนเทนต์ที่จะออกทีวีส่วนใหญ่เลยเป็นคอนเทนต์ที่ผลิตมาเพื่อเสิร์ฟคนวัยประมาณนี้ 

แต่โชคดีที่กลุ่มคนดูของ The Voice ครอบคลุมตั้งแต่คนรุ่น 15 ปีไปจนถึงรุ่น 60-70 ปี เราเลยเป็นรายการเพลงที่อยู่ได้ทั้งทางทีวีและออนไลน์ 

เรื่องการขายเราก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยจากที่มีไทอินแค่ในทีวีก็ต้องมีในออนไลน์ มีไทอินติดตะกร้าซื้อสินค้าใน TikTok แต่ถามว่าทีวีตายมั้ยพี่ว่ายังไม่ตาย แต่จะทำยังไงให้ต้นทุนการผลิตรายการมันต่ำลง หมายความว่าคุณจะยึดติดทุกสิ่งอย่างอยู่กับทีวีไม่ได้ คุณต้องมีแพลตฟอร์มอื่นเข้ามาช่วยเสริมเพื่อให้คุณภาพยังเต็มรูปแบบ

พอจะจำได้ไหมว่าซีซั่นไหนของ The Voice ที่ได้รับการตอบรับดีที่สุด

คำตอบยังคงเป็นซีซั่น 3 เป็นซีซั่นที่พีคมากๆ เป็นซีซั่นที่ดีทั้งเรตติ้ง มีดราม่าถึงขั้นที่พี่คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) ต้องปิดแอ็กเคานต์อินสตราแกรม ซึ่งการมีดราม่าหมายความว่ารายการคุณมีคนให้ความสนใจนะ (หัวเราะ)

จริงๆ The Voice เป็น talk of the town ตั้งแต่ซีซั่นแรก ทั้งเราทั้งทีมงานก็ค่อยๆ ปรับตัวเรียนรู้เรื่องโปรดักชั่น แต่ซีซั่น 3 ดีทั้งในเชิงยอดคนดู ดีทั้งยอดขายโฆษณา และมียอดวิวในออนไลน์รวมกันหลักหลายร้อยล้าน 

หลังจากที่ประเมินแน่ชัดแล้วว่าอุตสาหกรรมทีวีกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง The Voice มีวิธีปรับตัวยังไง

ข้อแรกเลยคือ The Voice เป็นรายการที่มีต้นทุนมหากาพย์มาก พี่พูดอยู่เสมอว่า The Voice ซีซั่นแรกมีต้นทุนอยู่ 150 ล้านบาท สูงแบบนั้นมาเรื่อยๆ กระทั่งเลยจุดพีคคือซีซั่น 4 เป็นต้นมาเราถึงเริ่มลดต้นทุนลง จาก 150 ล้านบาทเหลือ 100 ล้านบาท 

พอจบซีซั่น 6 The Voice ย้ายออกอากาศจากช่อง 3 ไป PPTV ต้นทุนก็มาเหลือ 90 ล้านบาท จนถึงตอนที่กลับมาออกอากาศอีกครั้งหลังหนีโควิด-19 คือตอนที่เป็น The Voice All Stars เราลดต้นทุนเหลือ 50 ล้านบาท 

สาเหตุหลักๆ ที่ต้องปรับลดต้นทุนโปรดักชั่นเพราะเรายังต้องแบกรับเรื่องค่าลิขสิทธิ์จากต่างประเทศเท่าเดิม ทั้งค่าลิขสิทธิ์รายการและค่าลิขสิทธิ์เพลงที่ซื้อมาเพื่อใช้ในรายการ เรื่องการคุมค่าโปรดักชั่นเลยเป็นเรื่องแรกที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดในแง่ของการปรับตัว แต่จะเห็นว่าในมุมคน คุณภาพโปรดักชั่นเราแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง คือเราลดต้นทุนโดยที่ได้ค่าโฆษณาหรือขายลิขสิทธิ์ออกอากาศเสมอตัวหรือขาดทุนด้วยซ้ำในบางปี

ส่วนเรื่องที่สองคือเรื่องของคอนเทนต์ที่เรามีการปรับตามที่อธิบายไป ต้องบอกว่าแต่ละซีซั่นมีปัญหาที่เข้ามาท้าทายอยู่ตลอด

การย้ายบ้านจากช่อง 3 มา PPTV และล่าสุดคือช่อง ONE 31 ถือว่ามีผลอะไรบ้างไหม

เรื่องย้ายช่องมีผลเล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ที่เราทำ The Voice Pride มีสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้เลยก็คือ The Voice ต้องออกอากาศตอนหกโมงเย็นวันอาทิตย์เท่านั้น เพราะคนดูของเราแฟนคลับของเราอยู่วันนั้นเวลานั้น 

ตอนย้ายไป PPTV เราเคยลองเปลี่ยนมาออกอากาศวันจันทร์สองทุ่ม ปรากฏว่ายอดคนดูน้อยลง จนเรากลับมาฉายเวลาเดิมวันเดิมตอนเป็น The Voice All Stars ที่ช่อง ONE 31 ยอดคนดูถึงกลับมาพีคตั้งแต่เทปแรก

จนมาถึง The Voice Pride จริงๆ เราไม่ได้อยากย้ายช่องสักเท่าไหร่ เพียงแต่มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาออกอากาศที่ไม่ลงตัว ประจวบเหมาะกับช่อง 7 กำลังหารายการเรามาลงตอนสองทุ่มครึ่งวันอาทิตย์ซึ่งเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ก็เลยตัดสินใจย้ายช่องอีกครั้ง 

เรารู้ดีว่าไม่ใช่งานง่าย คือกลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่นอาจจะดูผ่านเน็ตฟลิกซ์ได้ แต่กลุ่มคนดูทางทีวีที่เป็นผู้สูงอายุเขาอยู่ดูถึงสี่ทุ่มครึ่งไม่ไหวแน่ๆ ฉะนั้นปีหน้าถ้าเราจะทำต่อก็ยังอยากจะกลับมาอยู่ช่วงวันเดิม เวลาเดิมอยู่ดี

ยืนระยะรายการยังไงให้คนดูไม่รู้สึกจำเจแม้จะผ่านไปหลายซีซั่น

หลักๆ เป็นเรื่องของการสปินออฟ (spin-off) หรือการทำภาคแยกออกไป เริ่มจากฝั่งเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เขาคิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะอยู่ยังไงให้ได้เป็นสิบๆ ปี อย่างช่วงแรกที่สปินออฟจาก The Voice Senior มาเป็น The Voice Kids หรืออย่างที่เราทำ The Voice All Stars ซึ่งมีแค่ 2-3 ประเทศที่ทำ แต่สิ่งที่ต่างคือเราทำแล้วได้ความสดใหม่กว่า เพราะเราเลือกศิลปินที่เป็นระดับตัวพ่อตัวแม่ของวงการมาแข่งขัน

ยกตัวอย่าง The Voice 2024 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ประสบความสำเร็จมากๆ นับตั้งแต่ที่ย้ายไปช่อง ONE 31 ทั้งเรตติ้งออกอากาศสดและยอดเรตติ้งทางเน็ตฟลิกซ์ก็ติดท็อป 10 ทุกสัปดาห์ แต่เราก็ไม่ชะล่าใจและคิดว่าถ้าเราจะทำต่อก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาเสิร์ฟคนดู เช่น เพิ่มกติกา block, super block และ steal จนมันอิ่มตัวถึงค่อยสปินออฟต่อยอดหากลุ่มคนใหม่ๆ เข้าแข่งขัน เราถึงตัดสินใจทำ The Voice Pride

สุดท้ายยังไงรายการเราก็ยังต้องเน้นขายเสียงหาคนมาแข่งร้องเพลงอยู่แล้วแหละ แต่เราสามารถแยกย่อยแบ่งประเภทผู้เข้าแข่งขัน หรือแบ่งประเภทของเพลงที่จะใช้แข่งขันก็ได้ อย่างต่างประเทศยังมี The Voice Rap

อีกเหตุผลที่เราทำ The Voice Pride ก็เพราะว่าประเทศไทยเพิ่งผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เราถึงอยากลองตลาดกลุ่มคนดูกลุ่มนี้ ถือเป็นการ fresh up เปลี่ยนสีสันรายการให้มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะรูปแบบรายการเราไม่สามารถทำอะไรได้มากเพราะต่างประเทศเขาวางมาไว้แล้ว

จริงๆ The Voice Pride เรายื่นขอให้เจ้าของรายการอนุมัติถึง 2 ปี คือหลังจากจบ The Voice 2024 เรายื่นเรื่องทันที ตอนแรกเขาก็ยังไม่อนุมัติเพราะเขาสงสัยว่าทำไมถึงต้องมาแบ่งแยกเรื่องเพศ จนเราอธิบายไปว่ามันเป็นเรื่องของการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยนะ 

อีกความต่างคือ The Voice ปกติคือผู้เข้าแข่งขันเริ่มจากการเป็น nobody แต่ The Voice Pride ผู้เข้าแข่งขันมาด้วยความเป็น somebody ในจุดที่เขายืนอยู่ บางคนเป็นแดร็กควีนชื่อดัง เขาเลยตั้งใจที่จะมาโชว์จัดเต็มมากกว่าแค่โชว์พลังเสียง

ในเมื่อ The Voice ตอนนี้มีเครื่องมือที่เป็นโซเชียลฯ อยู่ในมือ ถ้าอย่างนั้นมีแผนการทำคอนเทนต์ออนไลน์ยังไงให้แตกต่างจากรายการแข่งขันร้องเพลงอื่น

คือพื้นฐานคอนเทนต์ของเรายังคงเป็นการร้องเพลง แต่ตอนนี้เราเริ่มแบ่งคอนเทนต์ให้มีความหลากหลาย ดูเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้นโดยเล่าผ่านตัวผู้เข้าแข่งขัน เช่นจับเขามาทำ vlog, ให้ผู้เข้าแข่งขันมาร้องเพลงด้วยกัน หรือชวนเขามาเล่นเกมตลกโปกฮาเล็กๆ น้อยๆ เด็กจากเวที The Voice เขาจะได้ต่อยอดตัวเองได้ด้วย

แสดงว่าคนดูต้องการคอนเทนต์ที่เป็น ‘ธรรมชาติ’ จากหลังเวทีมากขึ้น

ใช่ เรียนรู้ง่ายๆ จากตัวเราเองที่เมื่อก่อนไม่ชอบให้ใครสัมภาษณ์ ไม่ชอบออกหน้ากล้อง มาวันนี้ต้องมาช่วยทำคอนเทนต์ในช่องออนไลน์ มาตอบคำถามจากคนดูทางบ้าน เช่น ค่าลิขสิทธิ์เพลงเท่าไหร่, ข้าวกองถ่าย The Voice อร่อยแค่ไหน คอนเทนต์แบบนี้ใน TikTok ยอดหลักแสน เพราะคนดูชอบดูอะไรที่เรียลๆ ง่ายๆ 

น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือ The Voice ไม่มี ‘ด้อม’ แฟนคลับเหมือนรายการเพลงรายการอื่น ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปที่เราต้องหาวิธีทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พี่ว่าเดี๋ยวนี้รูปแบบรายการแข่งขันร้องเพลงไม่ได้ตายตัวเหมือนแต่ก่อน อย่างฟากต่างประเทศเองก็ปรับตัวยืดหยุ่นมากขึ้น เมื่อก่อนเราเสนออะไรเขาก็ไม่ยอม แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ‘tv is not anymore’ คอนเทนต์มันมาเร็วไปเร็ว 

หลักๆ เรายังหวังให้คนจดจำ The Voice ว่าเป็นรายการที่มีดีที่เพลง อย่างการทำเพลงเก่าที่มีอยู่แล้วมาเรียบเรียงใหม่ให้ผู้คนสนใจซึ่งเป็นสิ่งที่เราประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ซีซั่นแรก

แล้วการเลือกโค้ชที่เป็นอีกหนึ่งไม้เด็ดของ The Voice ตอนนี้มีเกณฑ์การคัดเลือกยังไง

ข้อแรกคือเลือกคาแร็กเตอร์ของโค้ชให้ตรงกับซีซั่นนั้น ส่วนข้อที่สองคือเลือกจาก ‘อินเนอร์’ ของโค้ช ไม่ใช่ว่าแค่ดังก็จะมานั่งเก้าอี้โค้ชตรงนี้ได้ ถ้าคุณบอกว่าคุณมานั่งตรงนี้ได้แต่คุณไม่มีแพสชั่น ไม่มีใจก็ไม่เอา และโค้ชทุกคนต้องเคมีเข้าขากัน แบ่งหน้าที่กันได้เหมือนรับส่งอินเนอร์ได้เหมือนทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง 

แล้วธุรกิจทีวีในต่างประเทศต้องปรับตัวเยอะเหมือนอย่างบ้านเราด้วยหรือเปล่า

ปรับนะ อย่าง The Voice ของฝั่งสหรัฐอเมริกา ก็มีการไทอินมากขึ้น แต่ที่แปลกใจมากๆ คือเขาทำยังไงให้ผลิตได้ 2 ซีซั่นต่อปี อาจเป็นเพราะตลาดคนดูทีวีบ้านเขายังใหญ่อยู่ 

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าประเทศรอบๆ หรือแม้แต่บ้านเราตอนนี้แทบจะไม่มีรายการทีวีที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศเหลืออยู่เลย เพราะคนทำทีวีไม่มีใครอยากเสียค่าลิขสิทธิ์ ยิ่งเป็นรายการอย่าง The Voice ที่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์สองต่อ คือค่าลิขสิทธิ์รายการกับค่าลิขสิทธิ์เพลงที่นำมาใช้ในรายการ

 

คุณเคยกล่าวไว้ว่าตัวเองยอมขาดทุนกับ The Voice เพื่อที่จะได้กำไรในวันข้างหน้า ถึงตอนนี้ยังมองแบบนั้นอยู่ไหม

คือเราไม่ได้เซ็นศิลปินต่อ เราไม่ได้ทำ artist management ไม่ได้หาตังค์กับศิลปิน กำไรที่เราว่าคืออยากเห็นศิลปินออกไปเติบโต

ถามว่ายังอยากทำอยู่ไหม ถ้าใจน่ะอยากทำ แต่ไม่รู้ว่ากำลังจะไหวไปอีกถึงกี่ปี มันเป็นความฝัน ความสนุกที่ได้เห็นเด็กจาก The Voice กลายเป็นศิลปินประดับวงการระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะนนท์ ธนนท์, โบกี้ไลออน, วี วิโอเลต หรือโจอี้ ภูวศิษฐ์ แต่ละคนเป็นศิลปินระดับท็อป 5 คือเราภูมิใจที่เราได้สร้างศิลปินเหล่านี้ขึ้นมา เด็กๆ เองก็แฮปปี้ที่ได้ใช้นามสกุล The Voice   

ถ้าเรายังมีแรงยังมีทุนอยู่ก็ยังอยากทำต่อจนมันไม่ไหว คือตอนนี้เราทำด้วยแพสชั่นส่วนตัวล้วนๆ สุดท้ายจะทำต่อก็ต้องหาทางแหละเหมือนที่เกิดกับ The Voice Pride ซึ่งเป็นซีซั่นแรกที่ขาดทุนมหาศาล แต่มองอีกมุมถือเป็นบทเรียนชั้นดีให้เราได้เรียนรู้ 

มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ขาดทุน ทั้งการเปลี่ยนเวลาออกอากาศจากหกโมงเย็นเป็นสองทุ่มซึ่งไม่ใช่เวลาที่กลุ่มคนดูเราอยู่ หรือการที่เราทำธีมไพรด์ทำให้กลุ่มคนดูผู้ชายเราหายไปเยอะ

ถามว่าสุดท้ายเสียใจไหมกับสิ่งที่ตัดสินใจบอกเลยว่าไม่ ถ้าคนเราไม่ล้มก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ วันข้างหน้ายังมีหนทางอีกเยอะให้เราได้ไปต่อ

รับมือยังไงกับตัวเลขขาดทุนในจำนวนที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

ทำใจแหละ (หัวเราะ)

แรกๆ ก็ท้อ ถามกับตัวเองว่าต้องทำยังไงต่อวะ คือเราตั้งใจทำรายการให้ดีถึงขั้นหวังรางวัล Asian Television Awards (รางวัลที่มอบเพื่อเป็นการยกย่องแก่รายการคุณภาพยอดเยี่ยมที่ผลิตในอุตสาหกรรมทีวีของภูมิภาคเอเชีย) อยากให้มองกลับมาแล้วรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ

แต่พอมาเห็นแพสชั่นของผู้เข้าแข่งขัน เห็นกลุ่ม LGBTQAI+ ที่เขาตั้งใจมาแข่งขัน เห็นความพยายามของเขาบนเวทีมันทำให้เราคิดว่าจะมาร้องไห้ให้เขาเห็นตรงนี้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเฉลิมฉลองไปกับความตั้งใจของเขา จากนี้จะรับมือยังไงก็คงต้องหาทางปรับเปลี่ยนกันใหม่ อาจจะทำคอนเทนต์ให้หลากหลายมากขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากโปรดักชั่นก้อนเดียวกัน 

ขณะเดียวกันการหาพาร์ตเนอร์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการอยู่รอด อย่างเรื่องการโปรโมตตอนนี้ก็ได้ทีม Chom PR AGENCY เข้ามาช่วย หรืออย่างปีก่อนก็เป็นทาง Plan B Media เราจำเป็นต้องหาพาร์ตเนอร์เหล่านี้เข้ามาช่วยเราทำงานแต่ละด้าน

อะไรทำให้คุณเลือกทำ The Voice ต่อไปแม้รู้ว่าอนาคตจะต้องขาดทุนเรื่องตัวเลขก็ตาม

เพราะเราเชื่อ 

เราเชื่อว่า The Voice ยังเป็นแบรนด์ที่เด็กๆ นักดนตรีใฝ่ฝันอยากมาประกวดสักครั้งในชีวิต เห็นจากที่เราเปิดออดิชั่นทุกๆ ปีแล้วมียอดคนสมัครถล่มทลายทั้งที่ลึกๆ ในใจเราเตรียมพร้อมแล้วว่าอาจจะไม่มีใครมาสมัครก็ได้ ล่าสุดปี 2024 ที่เราเปิดบูทออดิชั่นที่สยาม ปรากฏว่าโดนตำหนิยับเพราะแถวผู้สมัครยาวเกิน ก็เลยต้องหนีมารับสมัครทางออนไลน์รวมๆ แล้วปีนั้นมียอดผู้สมัครเกินสามหมื่นคน

จริงๆ พี่รู้สึกว่าบ้านเรามีเวทีประกวดที่สร้างนักดนตรีมากพอแล้วแต่ยังขาดพื้นที่ที่จะโปรโมตเขาเหล่านั้นเหมือนแต่ก่อน พี่เลยตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์รายการ Music Countdown จากเกาหลีใต้มาทำ คือเราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรีด้วย แต่เราจะยกระดับวงการแค่คนเดียวคงไม่ได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ผลลัพธ์บั้นปลายจะเป็นยังไงไม่รู้แต่ถ้าพี่ยังมีไฟมีแรงก็ยังอยากจะทำตรงนี้ต่อไป

รู้สึกยังไงที่พา The Voice มาถึงจุดนี้

ภูมิใจนะ รู้สึกภูมิใจและมีความสุขมากๆ ยิ่งช่วงนี้กลับมาทำ The Voice All Stars หลังหยุดไปเพราะโควิด-19 เกือบ 3 ปี ตอนแรกทุกคนบอกว่าเลิกทำเถอะรายการทีวีตอนนี้ใครจะดู แต่เรายังมีความเชื่อที่จะทำ ทีมงานทุกคนก็เชื่อแบบเดียวกับเรา 

อย่าง The Voice Pride มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้นแต่เรามีความสุขที่ได้เป็น ‘พื้นที่’ ที่ให้ผู้เข้าแข่งขันได้แสดงออก และถ้าวันข้างหน้าเขาต่อยอดโอกาสจากการมารายการของเราได้ก็ยินดี มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมที่จับต้องไม่ได้นะ ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายนอกจากคำว่าภูมิใจ

คิดว่าอนาคตข้างหน้ามีอะไรที่จะต้องเตรียมตัวรับมือบ้างสำหรับคนที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมทีวี

จริงๆ อยากจะบอกว่าอย่าไปคิดถึงเรื่องอนาคตเยอะ 

บางอย่างมันเป็นเรื่องเหนือการควบคุม คิดมากไปก็เหนื่อยใจเปล่า สุดท้ายถ้าเจออุปสรรคเราก็ต้องสู้ ก็ต้องแก้กันไป และต้องมั่นใจในศักยภาพที่เรามี แต่ไม่ใช่ว่าพูดแบบนี้แล้วจะไม่วางแผนรับมืออะไรเลย อย่างพี่ก็มีคิดวางแผนสปินออฟแพลตฟอร์มกระจายคอนเทนต์เพื่อให้ทีมงานยังมีงานทำต่อไป 

13 ปีในการทำ The Voice ให้บทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง

ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของ come and go มันมีช่วงที่เราไต่ไปถึงจุดสูงสุดกับช่วงที่ตกลงมาจุดต่ำสุดแล้วเดี๋ยวมันก็จะพุ่งกลับขึ้นใหม่ คือจะบอกว่าอย่ามัวแต่ยึดติดกับอดีต ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่เราทำแค่นั้นพอ 

ถ้าเรารักก็ทำมันให้เต็มที่ แล้วต้องอยู่กับมันด้วยความสุขด้วยนะถ้าทุกข์อย่าฝืนทำ อย่างที่พี่ทำ The Voice เพราะพี่มีความสุขถึงแม้คนภายนอกจะดูว่ามันทุกข์ แต่ใจพี่รู้ดีว่าพี่ทำไปทำไม (ยิ้ม)

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like