Noc Care
ตู้ทำความสะอาดหมวกกันน็อกภายใน 8 นาที โดยสตาร์ทอัพที่อยากเป็นบัดดี้ให้คนขี่มอเตอร์ไซค์
กลิ่นอับชื้นจากฝน บ้างก็เหงื่อไคลของผู้โดยสารคนก่อนๆ แถมกายภาพทั้งภายในและภายนอก ก็ดูเหมือนผ่านศึกหนักมา
เชื่อว่าหลายคนที่ใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซค์และเหล่าไรเดอร์บ่อยๆ คงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี–ความรู้สึกที่ต้องเลือกว่าจะใส่หมวกกันน็อกเพื่อความปลอดภัย หรือจะไม่ใส่เพราะกลัวผมเผ้าจะเลอะหรือมีกลิ่นแปลก
ความไม่สบายใจนี้อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่กลายเป็นหนึ่งในแรงกดดันที่ทำให้ผู้ซ้อนท้ายหลายคนเลือกไม่สวมหมวกกันน็อก และด้วยความรู้สึกเดียวกันนี้เองที่เป็นแรงผลักดัน ต้นไม้–พษุ อัคนิวรรณ เห็น pain point จนหยิบมาเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีนามว่า Noc Care

Noc Care เริ่มต้นจากตู้ทำความสะอาดหมวกกันน็อกที่เพียง 1 แบงก์เขียว ก็ทำความสะอาดหมวกกันน็อกได้หมดจดภายใน 8 นาที แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต้นไม้มองว่า Noc Care จะต้องไปไกลกว่าตู้ทำความสะอาด แต่จะเป็นเหมือนบัดดี้ที่พร้อมแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้คนขี่มอเตอร์ไซค์
หากใครได้ชมซีรีส์ ‘สงคราม ส่งด่วน’ ที่เล่าเรื่องราวของสตาร์ทอัพขนส่งที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย สู้กับความเร็ว และแรงกดดันจากทุนใหญ่ เรื่องราวของ Noc Care ต่อจากนี้ก็ต้องเร็วและสู้สุดทางไม่ต่างกัน
ขอชวนสวมหมวกกันน็อกเพื่อความปลอดภัย แล้วเร่งเครื่องที่ศูนย์ถึงร้อยไปในเส้นทางของ Noc Care พร้อมๆ กัน

ความเร็ว 0
ออกสตาร์ท
เมื่อเจอ pain point เรื่องหมวกกันน็อก เขาเห็นทันทีว่านี่คือเทรนด์เล็กๆ ที่สอดคล้องไปกับสังคมที่คนห่วงเรื่องสุขอนามัยมากขึ้นหลังโควิด-19 และเป็นโอกาสที่ยังไม่มีใครลงมือ
“ผมรีบมาก เพราะคิดว่าถ้าคิดนาน ผมจะเอ๊ะขึ้นเรื่อยๆ ว่าเฮ้ย มันจะดีไหม มันจะเวิร์กหรือเปล่า จนอาจจะไม่ได้ทำ ก็เลยรีเสิร์ชจนเจอว่าต่างประเทศมีตู้ทำความสะอาดหมวกกันน็อกอยู่แล้ว แต่ในไทยยังไม่ค่อยมีผู้เล่นมาก แล้วพอเจอโรงงาน ผมก็สั่งมาเลย 1 เครื่อง”
ต้นไม้สั่งเครื่องต้นแบบมาตั้งที่ 7-11 ใกล้บ้าน เพื่อทดลองตลาด เขาเฝ้าดูเองแทบทุกวันว่าใครบ้างจะมาใช้งาน พร้อมเข้าไปถามฟีดแบ็กของผู้ใช้จริง

“อินไซต์ที่ได้คือคนขี่มอเตอร์ไซค์พบปัญหาแบบนี้มานานแล้ว แต่เขามีทางเลือกไม่มาก บางคนเลือกไม่ทำความสะอาดเลย แต่ทิ้งหมวกและซื้อใหม่ บางคนทำความสะอาดเองซึ่งกว่าจะซักและตากให้แห้งก็ใช้เวลานานมาก บางที 2 วันยังไม่แห้งเลย
“พอเขามาใช้ตู้ที่เราเอามาตั้ง ก็รู้สึกว่ามันเวิร์กมาก เพราะใช้เวลาไม่นานและราคาก็แค่ 20 บาท บางคนกลับมาใช้ซ้ำในอาทิตย์เดียว และบางคนขี่มาจากพระราม 2 เพื่อมาใช้ตู้”
ตู้ของ Noc Care ทำงานแบบครบวงจร 6 ขั้นตอน ตั้งแต่เป่าฝุ่น ฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ ใช้ UV และโอโซน จนถึงพ่นน้ำหอม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าหมวกสะอาดและสดชื่นขึ้นทันที
“ถามว่าทำไมต้องรีบขนาดนี้ จริงๆ อีกข้อก็เพราะผมคิดว่าผมเจอธุรกิจนี้ในจังหวะที่ดี คือในจังหวะที่ผู้เล่นยังไม่เยอะ แล้วผมก็รู้อยู่แล้วว่ามันเริ่มกันไม่ยาก แต่ถ้าจะสเกลมันค่อนข้างยาก ผมเลยรีบลงมือทันที และรีบขยายจำนวนเครื่องให้มากที่สุด คือพอเราเริ่มแล้วเราก็ต้องไปให้สุด”

ความเร็ว 30
เล็งหาทางรอดและทางลัด
ความที่รู้ว่า ‘เริ่มไม่ยาก’ นี้เอง ที่ทำให้ต้นไม้ไม่ได้หยุดพัฒนา Noc Care กลับกัน เขากำลังพัฒนาตู้ทำความสะอาดในแบบฉบับของ Noc Care เอง เพื่อสร้างความแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ
ตู้ Noc Care ในอนาคต จะเป็นตู้ที่ดีกว่า เทคโนโลยีสูงกว่า การฆ่าเชื้อล้ำลึกกว่า มีหน้าจอสวยงาม ใช้งานง่าย นอกจากนั้นยังอาจมีบริการอื่นๆ ที่อำนวยความสะดวกให้คนขี่มอเตอร์ไซค์
ระหว่างที่ตู้ยังพัฒนาอยู่นั้น เขาก็สร้างความแตกต่างให้ Noc Care ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ลิงก์กับ LINE ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียที่ทุกคนใช้กันอยู่แล้ว
“เราพยายามจะเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้ลูกค้า เพราะไม่อยากให้มันเป็นแค่ตู้ทำความสะอาดแล้วจบไป จึงทำแอพฯ ที่สามารถเก็บคะแนนได้ แลกรางวัลได้ ให้ลูกค้าเกิด customer loyalty กับเรา ทั้งยังเก็บข้อมูลของลูกค้าได้ เพื่อปูทางไปสู่การสร้าง ecosystem ของคนขี่มอเตอร์ไซค์”

ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีแอพพลิเคชั่น ต้นไม้บอกว่าเขาและทีมงานไม่รู้เลยว่าลูกค้าของ Noc Care คือใคร อายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร และต้องการอะไรบ้าง จึงทำให้ Noc Care ค่อนข้างหาทางสร้างแรงจูงใจในการใช้งานตู้ได้ยาก
การมีแอพฯ ยังทำให้รู้ว่าลูกค้าใช้บริการตู้ทำความสะอาดของพวกเขาช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไป นั่นทำให้ทีมการตลาดสามารถออกแบบแคมเปญได้ง่ายขึ้นว่าหากอยากดึงคนมาใช้ตู้เวลากลางวันจะต้องทำการตลาดแบบไหน ทั้งยังช่วยวิเคราะห์ว่าหากต้องการขยายตู้ไปยังที่ต่างๆ ควรไปที่ไหน

ความเร็ว 60
ฝนตกถนนลื่น
สำหรับต้นไม้ ความท้าทายที่หนักที่สุดในฐานะ CEO มือใหม่ ไม่ใช่การคิดไอเดียหรือหาทุน แต่คือการเซตระบบบริษัทตั้งแต่ศูนย์ เขาเล่าว่า ในการทำธุรกิจจริงๆ ไม่ได้มีแค่การขาย แต่ต้องดูทั้งทีมการตลาด ฝั่งปฏิบัติการ (operation) ไปจนถึงเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง
เรื่องราวของ Noc Care แทบไม่ต่างจากซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน ที่หน้างานมักเจอปัญหาให้ต้องรีบแก้ไข ไม่ว่าจะเรื่องการติดตั้งตู้หรือการดูแลหลังบ้าน ที่เคยโดนทีมขนส่งเทงานตอนหกโมงเย็นก่อนวันติดตั้ง ทำให้ต้องรีบหาคนขนส่งใหม่ผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้ติดตั้งได้ทันกำหนด
อีกปัญหาคือค่าเซอร์วิสน้ำยาและการบำรุงรักษาที่กลายเป็น hidden cost สูงกว่าที่คาดไว้ เพราะทุกตู้เซอร์วิสเดือนละครั้ง เขาจึงต้องกลับมาวิเคราะห์ต้นทุนในระยะยาว และจริงจังกับระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเออร์ให้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้เองที่ทำให้เขามองว่าโมเดลการขยายแบบแฟรนไชส์ที่คิดไว้และเปิดรับสมัครในตอนแรกๆ ไม่น่าจะเวิร์กในเฟสการตั้งไข่ธุรกิจ เพราะถึงจะได้เงินเร็วและเยอะ แต่หากระบบหลังบ้านและงานบริการยังไม่แน่น การสเกลเร็วเกินไปจะสร้างปัญหาตามมา โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในระยะยาว
“ตอนนี้มีคนทักมาขอซื้อแฟรนไชส์ทุกวัน ผมขอบคุณมากจริงๆ แต่ผมไม่อยากเป็นแบรนด์ที่แค่ขายตู้แล้วก็ทิ้งแฟรนไชส์ ผมอยากทำทุกอย่างให้แฟรนไชส์เลย คือเขาไม่ต้องทําอะไร เราเซอร์วิสน้ํายาให้ ทํามาร์เก็ตติ้งให้ เราอยากจะเข้าใจกลุ่มลูกค้าของเรามากที่สุดก่อนเพื่อทําระบบให้ดี”
จากปัญหาทั้งหมดทั้งมวลที่ CEO มือใหม่ต้องเผชิญ ต้นไม้จึงมองว่า “คนป็นซีอีโอต้อง multi-task ได้ เพราะปัญหาทุกอย่างมันจะเข้ามาพร้อมกัน และอีกสิ่งคือเราต้องมีแผนสองเสมอในทุกๆ จุด เพราะถ้าแผนแรกไม่เวิร์กงานมันจะได้ไม่ชะงัก”

ความเร็ว 90
เขตจำกัดความเร็ว
หลายคนอาจเคยเห็นคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ของ Noc Care กันมาบ้าง บางคลิปมียอดวิวหลักหมื่น และบางคลิปมียอดวิวหลักล้าน ดูเผินๆ หลายคนคงซูฮก Noc Care ว่าช่างเป็นองค์กรคนรุ่นใหม่ที่เก่งใช่ย่อย ซึ่งในทางหนึ่งก็ถูก แต่สำหรับต้นไม้นั้น เขามองต่างออกไป
“ท้ายสุดแล้ว ผมพบว่ายอดวิวเหล่านั้นมันไม่ได้ convert หรือกลายมาสู่ยอดการใช้งานจริง เพราะคนในโซเชียลมีเดียกับกลุ่มลูกค้าจริงๆ ของ Noc Care เป็นคนละกลุ่มกัน”
จากการทำการตลาดออนไลน์เป็นหลักในช่วงแรก พวกเขาต้องเปลี่ยนเกมมาสู่การตลาดออฟไลน์
“เราลงพื้นที่มากขึ้น มีทำป้ายแล้วก็เดินตามถนน ทำการตลาดแบบปากต่อปาก ตอนแรกๆ ก็เดินไปชวนลูกค้าให้มาลองใช้ฟรี พอใช้ฟรี 1 คน แล้วเขาบอกต่อ วันนั้นยอดก็ขึ้นเลย มันก็สอนให้เข้าใจว่าเราต้องรู้จักลูกค้าของเราจริงๆ ก่อน”
ตอนเริ่มต้น ทีมยังพัฒนาแคมเปญแรกด้วยสมมติฐานจากมุมมองของตัวเอง เช่น การแจก iPhone เพื่อดึงดูดผู้ใช้ แต่เมื่อได้ลงไปคุยกับไรเดอร์จริงๆ กลับพบว่าความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่มือถือราคาแพง แต่เป็น ‘ทองคำ’ ซึ่งอาจมีมูลค่าทางใจมากกว่า นั่นทำให้พวกเขาได้บทเรียนครั้งใหญ่ คือการตลาดใดๆ ก็ตามควรต้องเริ่มจากสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจริง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ประกอบการคิดว่าเจ๋ง
“เราเป็นสตาร์ทอัพซึ่งธรรมชาติคือมันโตเร็ว แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่าหลายๆ ครั้ง ความเร็วก็มาพร้อมข้อควรระวัง อย่างช่วงเริ่มต้น พอมันเป็นธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีคนทำมากนัก เราก็ต้อง educate ตลาดเองค่อนข้างเยอะ ทำให้งบการตลาดสูงมาก
“ความเร็วเกินไป ยังอาจทำให้เราพลาดบางอย่างด้วย คือเราเข้าใจกลุ่มลูกค้าน้อยเกินไป มันก็เลยทําให้เราต้องเริ่มลงพื้นที่เยอะขึ้น พยายามไปคุยให้เยอะ ให้รู้ว่าเขาตื่นกี่โมง บ้านอยู่แถวไหน ชอบกินอะไร”
ส่วนอีกหนึ่งแคมเปญการตลาดที่ Noc Care ทำแล้วน่าสนใจคือแคมเปญแจกหมวกคลุมผม 20,000 ใบฟรี สอดคล้องกับการกำหนดกฎจราจรใหม่ ซึ่งกำหนดให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถมอเตอร์ไซค์ทุกคนต้องสวมหมวกนิรภัย หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท และหากผู้โดยสารไม่สวมหมวก ผู้ขับขี่จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าปรับเพิ่มเป็น 2 เท่า หรือปรับสูงสุด 4,000 บาท
“แคมเปญนี้อาจจะไม่ได้แมสมาก แต่เราได้แจกให้กับคนที่ใช้จริงๆ และถูกจังหวะเวลา เราเห็นว่าพอเราแจกพี่ๆ ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ปุ๊บสักพัก เขาไปรับผู้โดยสาร เขาก็ยื่นให้ผู้โดยสารเลย มันก็รู้สึกดีมากๆ แล้วเราก็เอาไปใส่ไว้ตามตู้ของเราด้วยเหมือนกัน มันเป็นแคมเปญที่ดีทั้งต่อสังคม และสำหรับ Noc Care เองที่ได้ผู้ใช้งานเพิ่ม”

ความเร็ว 100
เติมเชื้อเพลิง แล้วเร่งไปให้ถึงจุดหมาย
Noc Care เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนสิงหาคม และในเวลาไม่นานก็มีผู้ใช้งานราว 500-600 คน สะท้อนการตอบรับที่เร็วเกินคาด ผู้ใช้เข้ามาสแกนรับสิทธิ์ ร่วมกิจกรรม และสร้างฐานข้อมูลลูกค้ากลุ่มแรกให้บริษัท และปัจจุบันบริษัทกำลังอยู่ในช่วงระดมทุนรอบแรก (Seed)
ต้นไม้บอกว่าการตัดสินใจระดมทุนนี้ก็เพราะพิสูจน์แล้วว่าธุรกิจไปต่อได้ และนั่นหมายความว่าเขาต้องการเงินทุนเพื่อขยายตู้ พัฒนา และผลิตเอง รวมถึงสร้างทีมด้านดาต้าที่จะช่วยขับเคลื่อนการสเกลในอนาคตเพราะเขายังมองเห็นว่าตลาดนี้ยังโตได้อีกมาก แม้เริ่มมีคู่แข่ง แต่ความต้องการด้านสุขอนามัยเป็นเรื่องที่คนให้ความสำคัญ และเป้าหมายของ Noc Care คือการทำให้การใช้ตู้นี้กลายเป็น new normal
ก่อนจะมาก่อตั้ง Noc Care ต้นไม้ผ่านการทำงานทั้งในสายสตาร์ทอัพและองค์กร เขาได้เห็นวิธีทำงานของหัวหน้า ได้เรียนรู้เรื่องการดูแลทีม และได้เก็บประสบการณ์ที่บ่มเพาะให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าการเริ่มธุรกิจไม่ควรเกิดขึ้นทันทีที่เรียนจบ แต่ควรผ่านการทำงานจริงเสียก่อน
“ตอนเรียนผมเคยคิดว่าจบแล้วทำธุรกิจเลยก็ดี แต่พอทำงานจริงแล้วกลับเห็นว่ามีหลายเรื่องที่เราไม่รู้ ถ้าไม่ได้เรียนรู้จากการทำงาน เราจะไม่มีวัฒนธรรมทีมที่ดี และยากที่จะสร้างระบบได้”

สิ่งที่ช่วยได้มากคือคอนเนกชั่นเก่าๆ ตั้งแต่สมัยมัธยมและมหาวิทยาลัย เพื่อนที่เคยทำกิจกรรมร่วมกันกลายมาเป็นทีมตั้งต้น โดยเฉพาะฝั่งเทคโนโลยีที่รู้จักกันมานาน ทำให้สามารถสร้างทีมแรกเริ่มที่แข็งแรงได้ ซึ่งทีมส่วนใหญ่คือทีมเด็กรุ่นใหม่เจนฯ Z
“การจะทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ได้ ผมว่าผู้นำต้องไม่ใช่แค่สั่งงาน แต่ต้องลงไปทำจริง ผมเองก็อัพเดตใน Slack ทุกวันว่าวันนี้ผมทำอะไร เพื่อให้น้องๆ เห็นว่าทุกคนอยู่ในทีมเดียวกัน”
วันนี้ในฐานะ CEO เขามองว่า Noc Care จะไม่หยุดอยู่ที่ตู้ทำความสะอาดหมวกกันน็อก แต่จะสร้าง ecosystem สำหรับคนขี่มอเตอร์ไซค์ และภายใน 5 ปี ต้นไม้อยากให้ Noc Care เป็นแบรนด์ที่ไรเดอร์ทุกคนรู้จัก
และถึงวันนั้น Micro Wave หรือคลื่นเล็กๆ ที่เขาเริ่มสร้าง ก็อาจจะกลายเป็น new normal ของผู้คนก็ได้