Jurassic Tourism

Jurassic World: The Experience กับการปลุกเทรนด์ Family Tourism ในไทย

วันนี้ แฟนๆ ผู้ชื่นชอบไดโนเสาร์ คงกำลังตื่นตาตื่นใจไปกับ ‘Jurassic World: The Experience’  ธีมพาร์กที่อิงมาจากจักรวาลภาพยนตร์เรื่องจูราสสิค พาร์ค และจูราสสิค เวิลด์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ณ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในรูปแบบโดมขนาดยักษ์

สำหรับ Jurassic World: The Experience ในไทย ถือเป็นสาขาลำดับที่ 22 ในโลก ต่อจากโบโกต้า–โคลัมเบีย, ลอนดอน–อังกฤษ, มาดริด–สเปน และการ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์–สิงคโปร์ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ลงทุนกับโปรเจกต์นี้ไปมากกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อหวังให้เป็นนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก 

Jurassic World: The Experience นับเป็นการสานต่อกระแสจูราสสิค เวิลด์ รีเบิร์ธ ที่เพิ่งฉายไปหมาดๆ ซึ่งโลเคชั่นหลักที่ปรากฏในภาพยนตร์ใช้สถานที่ท่องเที่ยวในไทยเป็นหลัก เช่น อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา, อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จังหวัดกระบี่ และเกาะกระดานที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง รวมไปถึงการนำเจ้าสไปโนซอรัสมาลอยล่องในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่า GDP ของประเทศไทยในฐานะ ‘แหล่งท่องเที่ยว’ ที่สำคัญต่อวงการบันเทิงโลก ที่สร้างรายได้ถึง 6.6 พันล้านบาท ตามข้อมูลจากกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อปี 2567 ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างชาติเข้ามาใช้พื้นที่ถึง 466 โปรเจกต์ และอีก 279 โปรเจกต์ เมื่อปี 2568    

ถึงกระนั้น การมาของ Jurassic World: The Experience มีมากกว่าแค่การเป็นแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุงหรือเป็นสวนสนุกระดับโลก เพราะมีนัยสำคัญคือการปลุกกระแสเทรนด์ family tourism ให้กลับมาบูมอีกครั้ง แต่จะเป็นในแง่ไหนและมี business model ยังไง เราขอชวนไปหาคำตอบพร้อมกันในคอลัมน์ Recap ตอนนี้

• รู้จักกับ Jurassic World: The Experience นิทรรศการจำลองจักรวาลจูราสสิค เวิลด์ขนาดย่อม

ก่อนอื่นขอพาไปทำความรู้จักกับ Jurassic World: The Experience ที่ได้เกริ่นนำบางส่วนไปแล้ว สำหรับธีมพาร์กดังกล่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม ปี 2016 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัท Universal Brand Development, Imagine Exhibitions (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น NEON) และ Animax Designs เป็นโปรเจกต์ที่สานต่อสานต่อความสำเร็จของภาพยนตร์จูราสสิค เวิลด์ หลังแฟรนไชส์นี้ห่างหายไปจากจอเงินนานถึง 14 ปี 

ความพิเศษและเอกลักษณ์ของ Jurassic World: The Experience คือการย่อจักรวาลจูราสสิคเวิลด์ ในลักษณะระบบนิเวศบนเกาะอิสลาร์ นูบลาร์ตามแบบภาพยนตร์ โดยมีไฮไลต์สำคัญคือพื้นที่จัดแสดงไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ที่ขยับด้วยกลไกหุ่นจำลอง ‘อนิมาโทรนิกส์’ (Animatronics) ที่เสกให้ไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ที่ปรากฏในภาพยนตร์ตระกูลจูราสสิคทุกภาค นอกจากการขยับสมจริง ผัสสะต่างๆ ของตัวหุ่นยังถูกออกแบบให้มีความเป็นธรรมชาติเหมือนผิวหนังของสัตว์ป่ามากที่สุด โดยเฉพาะเจ้าแบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ไดโนเสาร์พันธุ์คอยาว และทีเร็กซ์ (T. rex) ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดมหึมาที่เป็นภาพจำของแฟรนไชส์

นอกเหนือจากการประจักษ์ไดโนเสาร์ขนาดยักษ์  Jurassic World: The Experience ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก อาทิ โซนจำลองกระบวนการสร้างไดโนเสาร์ และตู้จัดแสดงตัวอ่อนของไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ โดยนักท่องเที่ยวจะได้ร่วมกิจกรรมในโซนนี้ผ่านหน้าจออินเทอร์แอ็กทีฟ ที่มอบความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์พันธุวิศวกรรม 

นับจากที่เปิดตัวครั้งแรก Jurassic World: The Experience ได้ผลัดเปลี่ยนพื้นที่จัดแสดงไปทั่วทุกมุมโลก โดยมียอดผู้เข้าชมรวมกันแล้วมากกว่า 8 ล้านคน โดยเฉพาะสาขาใหม่ที่สิงคโปร์ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่มียอดผู้เข้าชมถึง 600,000 ราย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัว หรือกลุ่มแฟนคลับจูราสสิคที่พร้อมให้การสนับสนุน ด้วยความนิยมมหาศาลนี้เองจึงเป็นเหตุผลที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์เพื่อยกมาตั้งบนพื้นที่ใจกลางกรุง

• มากกว่ามูลค่าการตลาด แต่เป็นการปลุกกระแสเทรนด์ family tourism ให้กลับมาอีกครั้ง 

ในอดีตเครื่องเล่นแนวผจญภัยที่อุดมไปด้วยแมกไม้ธรรมชาติ มักถูกสร้างเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกหรือพื้นที่จัดแสดงโชว์พิเศษ เช่น River Safari เครื่องเล่นล่องเรือจำลองบรรยากาศในลุ่มน้ำอะเมซอน ที่ตั้งอยู่ในสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ ขณะเดียวกันบรรดาธีมพาร์กที่อิงจากภาพยนตร์เรื่องดังถ้าจะสัมผัสสักครั้งก็ต้องบินลัดฟ้าไกลถึงต่างประเทศ อย่าง The Wizarding World of Harry Potter ที่อิงจากภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งใกล้สุดอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

การมาของ Jurassic World: The Experience  จึงเป็นการนำองค์ประกอบทั้ง 2 สิ่งที่กล่าวข้างต้นมารวมกัน แต่ที่น่าสนใจคือเป้าหมายที่แท้จริงของผู้นำเข้าอย่างเอเชียทีค ไม่ได้มีเพียงการยกธีมพาร์กระดับโลกมาไว้ใจกลางกรุง แต่เป็นการปลุกกระแสเทรนด์ ‘family tourism’ ในไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง 

อานนท์ วิทยะสิรินันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น และ Jurassic World: The Experience เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น กล่าวถึงเป้าหมายที่ว่าในวงสนทนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 17 นั่นคือ ‘การสร้างประสบการณ์และความประทับใจภายในครอบครัว’ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่งในวัยเด็กเราเคยตื่นเต้นกับการเที่ยวสวนสนุกครั้งแรก หรือการได้เห็นไดโนเสาร์กลับมามีชีวิตบนจอเงินในภาพยนตร์เรื่องจูราสสิคพาร์คภาคแรก ทว่าเด็กในยุคนี้โตมากับเทคโนโลยีและส่วนใหญ่มักเติบโตมากับหน้าจอโทรศัพท์ การออกไปหากิจกรรมทำร่วมกันระหว่างครอบครัวจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ทั้งสามารถจินตนาการที่อาจพัฒนาเป็นแรงบันดาลใจได้ในอนาคต

อานนท์อธิบายเสริมว่า เอเชียทีคพยายามสร้างความแตกต่างของ Jurassic World: The Experience ในไทยให้ต่างไปจากที่อื่นๆ เช่นการร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ขุดพบในผืนแผ่นดินไทยมาจัดแสดง พร้อมกับให้เด็กๆ ได้สวมบทนักบรรพชีวินวิทยาจำลองวิธีการขุดฟอสซิล

หรือในแง่ของตั๋วเข้าชมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่จับต้องได้ โดยตั้งราคาไว้ที่ เด็กอายุ 3-10 ปี อยู่ที่ 579 บาท, ผู้ใหญ่หรือเด็กอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไป ราคาค่าเข้า 769 บาท ขณะที่ Jurassic World: The Experience Singapore ที่อยู่ใกล้บ้านเราที่สุดมีราคาอยู่ที่ เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ราคาค่าเข้า 26 ดอลลาร์สิงคโปร์ (652.74 บาท) และเด็กอายุ 3 ถึง 12 ปีขึ้นไป และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ค่าเข้าอยู่ที่ 22 ดอลลาร์สิงคโปร์ (552.32 บาท)

Jurassic World: The Experience ยังมีข้อได้เปรียบต่างจากสาขาอื่นบนโลก ที่มักตั้งจัดแสดงเวียนเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ และจัดแสดงบนพื้นที่ที่เป็นเอกเทศทั้งในมิวเซียมหรือพาร์ก เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของเอเชียทีคที่เป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ และใกล้กับห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม เอเชียทีคจึงใช้ความได้เปรียบนี้สร้างโมเดล ‘mixed-use destination’ ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย 

นอกจากนั้น ยังเสริมพื้นที่ใหม่ที่เรียกว่า ‘Hatch Dome’ ซึ่งเป็น inclusive space ที่มีทั้งร้านอาหาร ที่นั่งพักผ่อน อีกทั้งภายในยังมีนิทรรศการที่ชื่อว่า Better World, Better Future ที่นำเสนอเรื่องราวสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์แบบเข้าใจง่าย ตอบโจทย์ผู้ปกครองที่อยากพาลูกๆ ออกมาเรียนรู้นอกสถานที่ โดยที่ตัวเองและผู้ใหญ่ในครอบครัวได้พักผ่อนไปในตัว

• กระแส family tourism ที่กำลังจะกลายเป็นเทรนด์หลักของคนทำธุรกิจท่องเที่ยว

ถามว่านอกจาก Jurassic World: The Experience มีกรณีไหนอีกบ้างที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจท่องเที่ยวกำลังให้ความสนใจเรื่องเทรนด์ family tourism ซึ่งจริงๆ แล้วในไทยเองมีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่เริ่มปรับตัวให้มีกิจกรรมหลากหลาย และมีพื้นที่ที่มากพอต่อการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัว

ยกตัวอย่างสวนสยาม สวนน้ำในดวงใจของหลายๆ คนที่ปรับตัวเองให้เป็นพื้นที่สำหรับสร้างการเรียนรู้ เช่น ค่ายลูกเสือและกิจกรรมตามฤดูกาล, โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มครอบครัวทั้งไทยและชาวต่างชาติ ด้วยการบริการที่เป็นมิตรและสร้างบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน และพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ที่พลิกคาแร็กเตอร์จากพื้นที่แสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และเน้นการทำกิจกรรมในแบบที่เข้าถึงง่ายทั้งครอบครัว อาทิ นิทรรศการ ‘THAINOSAUR’ ที่หยิบความรู้เรื่องไดโนเสาร์มาเล่าคู่ขนานกับโลกศิลปะ

หรือในมุมของ KTC บริษัทผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตจับมือร่วมกับพันธมิตรและแหล่งท่องเที่ยว 28 แห่ง ทั้งในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้เชิงวิทยาศาสตร์ สวนสนุก ฯลฯ เพื่อมอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ถือบัตรที่เข้าใช้พื้นที่ท่องเที่ยวนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการร่วมสร้าง family tourism economy ที่เชื่อมโยงทั้งเศรษฐกิจท่องเที่ยวเป็นปึกแผ่น

ในประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ก็มีการพยาผลักดันเทรนด์ family tourism จากการต่อยอดสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยม เช่น Junglia Okinawa ธีมพาร์กสุดอลังการในจังหวัดโอกินาว่า ที่เปลี่ยนอดีตพื้นที่สนามกอล์ฟขนาด 375 ไร่ ให้กลายเป็นอาณาจักรไดโนเสาร์ ที่มีทั้งเครื่องเล่น 22 ชนิด ร้านค้า 25 แห่ง และหลากกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ รวมถึงรีสอร์ตที่พร้อมโอบรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ จากสนามบินนาฮะ (Naha Airport) 1 ชั่วโมง

เรียกได้ว่า Junglia Okinawa มีโมเดลธุรกิจที่ใกล้เคียงกับเอเชียทีคที่ต้องการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวครอบครัว ด้วยการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบจับต้องได้ และครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสวนสนุก ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โดยใช้แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอยู่แล้ว อย่างโอกินาว่าเองก็เป็นจังหวัดที่เป็นหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ที่แต่ละปีมีผู้มาเยี่ยมเยียนถึง 9.66 ล้านคน 

ท่ามกลางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวบ้านเราที่อยู่ในช่วงประคองตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจ การหันมาจับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นครอบครัวอาจเป็นทางออกที่น่าสนใจ ซึ่ง family tourism อาจไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา แต่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่มีหรือทรัพยากรที่มีอยู่ให้เข้ากับบริบทความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคนี้ ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และครอบคลุมเสียมากกว่า

แต่จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้น คงขึ้นอยู่กับว่าคนทำธุรกิจเข้าใจมิติของคำว่า ‘ครอบครัว’ ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

ที่มา : 

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like