The Forgotten Craft

ปรัชญาการอนุรักษ์งานคราฟต์ของแบรนด์ Craft Colour ที่นิยามสีจากธรรมชาติเป็นงานหัตถกรรม   

Craft Colour คือแบรนด์สีธรรมชาติของ หมิว–พรพิมล มิ่งมิตรมี ที่ทำตลับสีน้ำและผลิตภัณฑ์โทนสีละมุนจากพืชพรรณใกล้ตัว จนทำให้หลายคนอดว้าวไม่ได้และเผลออยากหยิบพู่กันขึ้นมาระบายสี แม้จะไม่ใช่คนรักศิลปะก็ตาม
แม้เพจของแบรนด์จะมีผู้ติดตามหลักหมื่น และช่วงหลังสินค้าสีน้ำจากธรรมชาติได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หมิวบอกว่ายังมีช่องโหว่ในการอธิบายคอนเซปต์แบรนด์ให้คนเข้าใจอยู่ไม่น้อย

บทสนทนาในวันนี้เริ่มต้นจากเรื่องที่หมิวเคยเล่าไว้ในเพจเมื่อหลายเดือนก่อน วันที่ Craft Colour ยื่นสมัครออกงานแฟร์หมวดงานคราฟต์แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก เพราะถูกมองว่าแบรนด์สีน้ำจากธรรมชาติไม่ใช่งานคราฟต์หรืองานหัตถกรรมตามนิยามของไทย แต่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดเครื่องเขียนเท่านั้น 

ในฐานะนักทำสีธรรมชาติที่คลุกคลีกับการศึกษาวัสดุต้นทางในการทำงานศิลปะ หมิวมองว่า “มุมมองของการตีโจทย์คำว่า ‘งานหัตถกรรม’ ของประเทศไทยมันค่อนข้างหยาบ หยาบในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหยาบคายนะ หยาบคือไม่ได้ละเอียด มันกว้างเกินไป มันไม่ได้อินดีเทล” 

หากพูดถึง artisan หรือช่างฝีมือ ผู้คนมักนึกถึงช่างจิตรกรรม ช่างจักสาน หรือหากเอ่ยถึงงานคราฟต์ในหมวดกระดาษและเครื่องเขียน ผู้คนมักนึกถึงงานออกแบบที่จับต้องได้อย่างงานตัดตุงซึ่งเป็นเครื่องสักการะทางภาคเหนือ แต่ช่างฝีมือที่ผู้คนหลงลืมไปคือช่างทำสีและช่างทำกระดาษ ทำให้หมิวเกิดความรู้สึกว่า

‘คนไทยมักจดจำศิลปินสร้างผลงาน แต่ไม่เคยรู้จักคนที่ทำอุปกรณ์ให้ศิลปินเหล่านี้เลย’
สำหรับหมิว นิยามของคำว่า handicraft คือการสร้างสรรค์ผลงานด้วยมือ แม้จะใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือเข้ามาช่วยได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีใจในการทำงาน เพราะหากไม่มีใจ จะเกิดความท้อในงานที่หลงใหล

คอลัมน์ Modern Nice ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่ชวนคุยถึง wisdom ในการออกแบบงานหัตถกรรมให้ร่วมสมัยด้วยความตั้งใจที่ไม่อยากให้ช่างฝีมือ นักออกแบบ เจ้าของแบรนด์ คนทำงานหัตถกรรมสายสโลว์ไลฟ์ท้อไปเสียก่อนในโลกที่มักให้คุณค่ากับสิ่งที่เห็นผลไว ทำง่าย และจับต้องได้ จึงอยากชวนหมิวมาคุยกันในวันนี้

และทุกครั้งที่มีคนตั้งคำถามว่า “งานนี้สำคัญยังไง ทำไมต้องให้คุณค่า?”

บางทีคำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวงานเพียงอย่างเดียว แต่ย้อนกลับไปที่การตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้ว เรากำลังให้คุณค่ากับอะไร 

Life Wisdom 
The Origin of Every Medium

หมิวเป็นคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจกลับมาทำงานที่บ้านเกิด เธอบอกว่าไม่ได้ตั้งใจเป็นซูเปอร์วูแมนที่กลับมาพัฒนาชุมชน แต่เพราะเติบโตมากับโรงทอผ้าของแม่ที่สกลนคร ทำให้เริ่มสนใจงานย้อมผ้าและสีธรรมชาติ จนต่อยอดกลายเป็นแบรนด์สีธรรมชาติของตัวเอง

ความสนใจในงานคราฟต์ทำให้หมิวได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของตลาดงานคราฟต์ ทั้งช่วงที่ผ้าย้อมครามถูกยกให้เป็นเทรนด์ ช่วงที่งานคราฟต์ได้รับความนิยมสูง หรือแม้แต่ช่วงที่ความสนใจเริ่มหดหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่หมิวสังเกตเห็นตลอดมา คือองค์ความรู้ของช่างที่ค่อย ๆ เลือนหายไป

“ต้องบอกเลยว่า ไทยรู้จักแต่การบูรณปฏิสังขรณ์แต่ไม่ได้รู้จักวิธีการอนุรักษ์ คือรู้จักการซ่อมให้เหมือนใหม่ ทำใหม่แล้วใช้งานต่อได้ ซึ่งเราไม่ได้มองว่ามันผิด ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแย่ แต่ในเรื่องของการอนุรักษ์ คนไทยยังไม่ค่อยมีองค์ความรู้ตรงนี้ มองว่าองค์ความรู้ในการอนุรักษ์และการเก็บรักษาของต่างประเทศจะมีเยอะกว่ามากๆ” 
จากประสบการณ์การร่วมประชุมงานวิจัยด้านการอนุรักษ์ศิลปะไทยกับ The Met Museum (The Metropolitan Museum of Art) ที่นิวยอร์ก หมิวได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับทีมงานที่ให้ความสำคัญและให้คุณค่ากับการทำงานเกี่ยวกับวัสดุต้นทาง

“The Met Museum รู้มาว่าเราทำงานเกี่ยวกับสี ทำกระดาษ กาว และ material ที่เอามาเป็นงานศิลปะ เลยสนใจคุยกับเราเรื่องการเตรียมวัสดุสำหรับการอนุรักษ์ ซึ่งต้องเป็นวัสดุเดิมหรือใกล้เคียงเดิม เรารู้สึกขอบคุณมากๆ ที่เขาให้คุณค่ากับคนทำงาน material เพราะคนส่วนใหญ่แทบมองไม่เห็นคุณค่าของคนทำงานที่ต้นน้ำเลย ทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่งานดีไซน์มากกว่าว่ามันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยังไง ทั้งที่ทุกงานดีไซน์ต้องมีต้นทางคือคนที่ผลิตให้ มีช่างที่เข้ามือ ต้องขึ้น prototype และหาวัสดุ 

“ปรัชญาของช่างไทยจะแตกต่างกันกับปรัชญาของช่างที่อื่น ช่างไทยจะเป็นช่างสุนทรีย์ที่เชื่อว่ามือเปรียบเสมือนทองคำ จะไม่ให้มือเป็นริ้วรอย เพราะคิดว่าเดี๋ยวเขียนงานแล้วไม่ลื่น ไม่สวย ฉะนั้นช่างไทยมักจะมีคนอื่นที่เตรียมวัสดุไว้ให้ หรือไปซื้อสีฝุ่นสังเคราะห์มาจากศึกษาภัณฑ์ ไม่ใช่ว่าช่างไทยไม่รู้วิธีทำเลยนะ เขามีความรู้แต่ทำแล้วมันต้องใช้เวลามาก ก็เลยไม่ค่อยมีใครทำ ช่างไทยหลายคนก็เตรียมสีจากสีฝุ่นมาเป็นสีเขียนเป็น แต่ต้นทางการเตรียม raw material ก่อนมาเป็นสีฝุ่นจะไม่ค่อยมีใครเป็นกัน

“ช่างไทยมักจะเชื่อมั่นในแบรนด์ที่คนอื่นหรือร้านทำให้ ซึ่งสีสังเคราะห์ก็มีมานานมากแล้วเหมือนกันนะ เป็น 200-300 ปีแล้ว มีตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ปรัชญาการทำงานคราฟต์ไม่ว่าจะเป็นจากจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย ช่างเขียนเหล่านั้นเขาจะเชื่อมั่นใน material ของตัวเองเท่านั้น มันก็เลยเป็นคนละมุมกัน เพราะฉะนั้นคำว่าโบราณหรือเก่าของเรากับของต่างชาติมันไม่เหมือนกัน เป็นปรัชญาการใช้สีคนละแบบกัน” 

นอกจากการทำสีแล้ว หมิวมองว่าองค์ความรู้ด้านวัสดุยังรวมถึงคนทำวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย อย่างเช่น ช่างทำกี่ทอผ้า อุปกรณ์ที่ใช้ในงานทอผ้า แต่ศาสตร์ความรู้ในการทำเครื่องมือเหล่านี้ในไทยค่อนข้างหายาก เพราะไม่มีใครเขียนบันทึกเอาไว้เท่าไหร่ ซึ่งทำให้หมิวเกิดความสนใจการอนุรักษ์ภูมิปัญญาและงานช่างเหล่านี้ที่ยังไม่ค่อยมีใครสนใจ

Learning from Ancient Masters

ด้วยความที่องค์ความรู้เรื่องการเตรียมพืชให้กลายเป็นเม็ดสี (pigment) แทบไม่มีในไทย และศาสตร์ความรู้ที่นิยมกันในบ้านเรามักเน้นการใช้พืชเพื่อย้อมผ้าเป็นหลัก จึงเป็นเหตุผลให้หมิวตัดสินใจเดินทางไปเรียนศาสตร์การทำสีที่อินเดียและจีน เพื่อศึกษาลงลึกว่า กว่าพืชหรือแร่หนึ่งชนิดจะกลายเป็นสีสำหรับวาดรูปนั้น ต้องผ่านกระบวนการแบบใดบ้าง เธอจริงจังถึงขั้นเรียนทำกาวที่ต้องเคี่ยวจากกระดูกวัวนานถึง 12 ชั่วโมงด้วยตัวเอง

“เราไปเรียนตั้งแต่การเตรียมเลย เตรียมสีจากพืช จากแร่จะต้องเตรียมยังไง ไปเรียนที่บ้านช่างเขียนรูปเลยว่าเขาทำอะไร เขาจะไม่ได้สอนเป็นสเต็ป 1 2 3 ว่าต้องเตรียมอะไรเหมือนเวลาเราไปเรียนมหาวิทยาลัย เราต้องดูตาม แล้วก็จด เอามาวิเคราะห์เองว่ากระบวนการเป็นยังไง เพราะเขาจะไม่สามารถอธิบายให้เราได้

“เราต้องเน้นลงมือทำ เน้นจำที่ช่างทำเอาไว้ ครูพักลักจำแล้วมาศึกษาเองเพิ่มเติมว่าวิธีการทำสีจากพืชต้องทำยังไงบ้าง บางสีใช้เปลือก บางสีใช้แก่น บางสีใช้ใบ แต่ละสีก็จะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน บางสีผสมกับปูนเปลือกหอย หอยมุก เปลือกไข่ บางสีก็ผสมด้วยดินสอพองหรือดิน สูตรก็จะต่างกันออกไป การเตรียมหินแร่ก็จะมีวิธีต่างออกไปอีก บางสูตรก็ต้องไปหาอ่านจากตำรายาจีนเอง” 

ศาสตร์ความรู้ที่หมิวได้จากอินเดียซึ่งเป็นเจ้าอารยธรรมเก่าแก่มีทั้งวิธีการทำสีพิมพ์ผ้า สีฝุ่น การทำ lake pigment (เม็ดสีที่ผลิตจากการนำสีย้อมมาผ่านกระบวนการทำให้ตกตะกอนหรือจับตัวบนสารตั้งต้นที่ไม่ละลายน้ำ) การทำสีกวอช (Gouache) สูตรทึบแสงแบบ miniature painting ตามวิธีโบราณจากศิลปะโมกุล

“นอกจากอินเดียก็ไปเรียนที่จีน เพราะเราคุ้นเคยกับการใช้สีชาดมาผสมทำสีฝุ่นเขียนรูปในไทยแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเตรียมยังไง ตอนที่ไปก็เลยได้เรียนรู้ศาสตร์เฉพาะทาง เช่น การทำสีชาด เสน ได้รู้ว่าสีแดง สีส้มมักจะใช้ในสถานที่อย่าง วัง วัด เพื่อให้เข้าไปแล้วต้องรู้สึกถึงพลังอำนาจ”

เมื่อกลับมาไทย หมิวได้นำสูตรการทำสีโบราณที่เรียนรู้จากภูมิปัญญาเก่าแก่มาประยุกต์เข้ากับพืชท้องถิ่น และต่อยอดให้กลายเป็นแบรนด์สีธรรมชาติของตัวเอง  

“โดยส่วนใหญ่จะพยายามหาพืชในละแวกใกล้ ไม่ต้องหาไกล บางทีก็เป็นดอกไม้เหลือจากวัด อย่างดอกดาวเรืองที่คนจะทิ้งอยู่แล้ว เราก็ไปขอ เอามาตากแห้ง แล้วก็เก็บไว้ จนเดี๋ยวนี้วัดรู้ว่าเราอยากได้ เขาก็เก็บไว้ให้ พยายามจะไม่หาของที่ไกลตัวมากสักเท่าไหร่ นอกจากจะเป็นความอยากส่วนตัวเวลาไปเจอวัตถุดิบมาจากประเทศนั้นประเทศนี้แล้วค่อยเอากลับมาทำ” 

Business Wisdom
Palette Design from Natural Colour

จากศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุที่หมิวได้ร่ำเรียนมา ทำให้สามารถสร้างสรรค์เฉดสีธรรมชาติใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสมวัตถุดิบแปลกใหม่ให้เกิดโทนที่ไม่ซ้ำกัน เช่น สีเขียวไข่กา ที่เกิดจากการผสมใบมะม่วง คราม และดินขาว หรือ สี Egyptian blue ที่ใช้สนิมทองแดงผสมกับปูนขาวและควอร์ต บางครั้งก็ลุกขึ้นมาทำสีกินได้จากเศษพืชผักในครัว เช่น เปลือกหอมใหญ่ ดอกดาวเรือง และแป้งข้าวโพด

สินค้าตลับสีไม้ของแบรนด์ Craft Colour จึงมักมีโทนหลากหลายไม่ซ้ำกัน ทั้งสีโทนเย็น โทนอุ่น ชุด 12 สี หรือ 24 สี บางเซตใช้ดอกไม้ง่ายๆ ใกล้ตัวอย่างดาวเรืองและครั่ง บางเซตเน้นสีแร่หายากที่หมิวร่ำเรียนมา เช่น สีตังแช สีลาพิส และสีชาด และยังมีผลงานคอลเลกชั่นพิเศษที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างการย้อมประเก็นติดกางเกงยีนส์ด้วยหมึกครามในคอลแล็บ CRAFT COLOUR x SC Grand x Indigoskin

“ความท้าทายเดียวของตัวเอง คือการปลุกความขยันในตัวเอง” หมิวหัวเราะ 

“ดีใจและขอบคุณที่เห็นคนสนับสนุนงานเรา เพราะเราแทบไม่ได้วางกลยุทธ์อะไรเลย แค่ทำเพจ Craft Colour ออกมาเพื่อมีพื้นที่ให้ได้เป็นตัวเอง ตั้งใจเป็นตัวเอง ตั้งใจทำเรื่องที่เรารักและเนิร์ดอยู่กับมัน แล้วอยากเล่าให้คนอื่นฟังว่าเราทำอะไร เราสนใจและศึกษาอะไร แล้วก็เป็นความมุ่งมั่นในการทำว่า การที่เราจะรักสิ่งนี้ มันจะทำเป็นอาชีพได้ไหม 
“สินค้าแต่ละเซตเลยมาแบบปุบปับ ไม่เคยมีการวางแผนได้ไกลเลยว่าต่อไปจะเป็นอะไร แต่สิ่งที่วางแผนไว้จะเป็นเรื่องความสนุกของตัวเองมากกว่าว่าอยากศึกษาเรื่องอะไร อย่างตอนนี้อินเรื่องจิตวิญญานและพลังงานว่าตัวเรากับสีกับธรรมชาติจะเชื่อมโยงกันยังไง โทนสีก็จะเกิดหลังจากที่เราไปทำกระบวนการเหล่านี้มา เราต้องรู้สึกก่อนถึงจะผสมสีออกมาได้” 

การออกแบบโทนสีไม่เพียงแค่ใช้กับงานศิลปะส่วนตัวและแบรนด์ของตัวเอง หมิวยังเคยสร้างแบรนดิ้งให้กับพื้นที่และชุมชนต่างๆ ตั้งแต่สมัยทำธีสิส โดยทำสีเพื่ออนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง ผ่านการศึกษาว่าช่างไทยใช้สีอะไรในการซ่อมแซมจิตรกรรม ต่อเนื่องไปจนถึงการออกแบบโทนสี ‘ดอยตุงโทน’ ให้กับมูลนิธิดอยตุง โดยนำพืชและหินในพื้นที่ซึ่งใช้ย้อมผ้ามาออกแบบเป็นโทนสี พร้อมทำออกมาเป็นสีเทียน และสอนกระบวนการทำสีธรรมชาติให้เจ้าหน้าที่ของดอยตุง เพื่อนำไปถ่ายทอดให้เด็กๆ ที่มาเรียนรู้ที่ศูนย์อีกต่อหนึ่ง

เธอยังทำสีน้ำให้กับจังหวัดต่างๆ เช่น โทนสี Color of Buriram ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสีดอกสะแบง
ซึ่งในความเป็นจริง พืชชนิดนี้ไม่ให้สี จึงต้องปรุงสีใหม่ให้ใกล้เคียงด้วยการใช้ครั่งผสมดาวเรือง โดยเชื่อมโยงกับสีย้อมผ้าที่จัดแสดงในงานที่บุรีรัมย์ หรืออีกหนึ่งผลงานกับจังหวัดภูเก็ต จังหวัดที่ถูกขนานนามว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน ก็มีการใช้วัตถุดิบที่เห็นได้ด้วยตาจากธรรมชาติริมทะเล เช่น เปลือกหอยมุก มาทำเป็นพาเลตต์สีจากริมทะเลภูเก็ตจริง

“เราไม่ได้คิดเรื่องการเติบโตของแบรนด์ Craft Colour เลย อาจเพราะเรายังสนุกกับการทำตรงนี้อยู่และทำงานคนเดียวด้วย มีช่วงหนึ่งลองไปเรียนเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ เรียนการตลาด หาทางว่าทำยังไงเพื่อให้เราไปต่อได้ เคยลองไป pitching แนวสตาร์ทอัพมาครั้งสองครั้งแล้วรู้สึกว่าไม่อินเลย ถ้าจะไปทางนั้น มันเหมือนเราต้องทิ้งตัวตน จิตใจเราไปด้วย ก็เลยต้องหาวิธีการที่เหมาะตามปรัชญาการทำงานและชีวิตของเรา แล้วก็ค่อยๆ เติบโตไปตามเวลา
“ซึ่งความจริงแบรนด์ Craft Colour ก็โตขึ้นพร้อมกันกับเราในทุกๆ วันเลยนะ แค่บางทีการโตของเราไม่ได้วัดด้วยมูลค่าทางด้านการเงินอย่างเดียว แต่โตด้วยแนวคิดจากการเห็นการเติบโตของตัวเองผ่านผลงานเยอะแยะมากมาย และหล่อเลี้ยงใจเราไปด้วย”

Leverage the Spectrum of Possibilities 

จากการทำสีธรรมชาติมากมายหลากหลายโทน หมิวบอกว่าหากต้องนิยามโทนสีที่สะท้อนตัวตนของตัวเอง โทนสีนั้นน่าจะเป็นสเปกตรัม

 “สเปกตรัมคือช่วงสีที่ตามนุษย์มองเห็นแล้วรู้สึกกับมันได้ แสงและสีแต่ละแถบให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันในแต่ละวัน เพราะสำหรับ Craft Colour เราทำสีเพื่อให้ผู้คนเกิดความรู้สึก หน้าที่ของแต่ละสีคือกระตุ้นให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกอะไรสักอย่าง บางคนไม่เคยวาดรูป พอมาเห็นสีของเราแล้วอยากวาดรูป อันนี้คือสำเร็จมากแล้ว” 

นอกจากบทบาทการเป็น natural colour maker โดยตรงแล้ว หมิวยังมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญในฐานะครูที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องสีให้กับคณะที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ และยังเป็นนักจัดทัวร์กับนักออกแบบประสบการณ์ที่สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน 

“ตอนแรกเริ่มจากการช่วยแม่ขายผ้าที่สกลนคร แล้วเราไม่อยากไปขายผ้าที่อื่นข้างนอกแล้ว อยากให้คนเข้ามาซื้อผ้าข้างในจังหวัด ก็เลยออกแบบประสบการณ์ให้ผู้คนมารู้จักสีย้อมผ้าธรรมชาติที่สกลนคร แล้วก็ช่วยออกแบบกิจกรรมให้เพจ ‘เที่ยววิถีสีชมพู’ ที่ชุมชนดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีลำน้ำพองที่มีสีจากหินอยู่เยอะมากๆ เราก็ทำกิจกรรม training to trainer ที่สอนและฝึกคนในชุมชน พาไปสำรวจดูพืชท้องถิ่น จากนั้นให้ชุมชนสร้างเส้นทางท่องเที่ยวของเขาเอง และทำสีธรรมชาติ”

หมิวยังทำกิจกรรมกับโรงเรียนที่ชุมชนบ้านห้วยพ่านที่จังหวัดน่าน สอนให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องสีธรรมชาติจากสิ่งรอบตัว “กระบวนการกับโรงเรียนจะแตกต่าง เราจะไม่ได้บอกเด็กๆ ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ แต่จะให้เขาเห็นโอกาสจากสิ่งที่มีอยู่ว่าเอาสีไปทำอะไรได้บ้าง บางทีเด็กๆ อยู่กับป่า เขาคุ้นเคยจนไม่รู้ว่าทำอะไรได้ เราก็เปลี่ยนมุมมองให้เห็นความน่าสนใจของป่ามากขึ้น ให้ไปหาพืชในป่า แล้วทดลองว่าทำสีจากอะไรได้บ้าง กลายเป็นกิจกรรมที่ทำทั้งปีเลย เด็กๆ ก็สนุก

“ทักษะเหล่านี้เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตยังไง แต่ว่าอย่างน้อยเด็กๆ ได้มีเครื่องมือนี้อยู่ในเป้ วันหนึ่งอาจจะหยิบทักษะนี้ออกมาใช้ก็ได้ มองว่ามันคือการให้ทักษะ ยื่นเครื่องมือให้เด็กๆ จะใช้หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่จังหวะชีวิตของแต่ละคน”  

ความสนุกในการสอนและทำกิจกรรมกับชุมชนทำให้ทุกวันนี้หมิวเปิดเวิร์กช็อปการทำสีธรรมชาติ และวางแผนขยายแนวคิดสู่การสนับสนุนต้นน้ำในการทำงานศิลปะในรูปแบบที่ลึกขึ้น

“ตอนนี้เปิดเวิร์กช็อปทำสีที่บ้าน เข้ามาเรียนรู้กับช่างในหมู่บ้านที่สกลนครได้ อนาคตวางแผนไว้ว่าอยากทำ craft residency ปกติจะเคยเห็นแต่ art residency ใช่ไหม แต่ craft residency เพื่อไปตามหา material ยังไม่มี อันนี้เป็นโปรเจกต์ที่เรากำลังวางแผนอยู่ว่าจะทำเส้นทางที่พาไปตามหา material ถ้าศิลปิน ช่าง หรือใครที่อยากตามหาหรืออยากรู้คุณสมบัติของ material ต่างๆ ในงานศิลปะ เราจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และอนุรักษ์พืชที่ใช้ในงานศิลปะไว้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์”

หากมองในมุมธุรกิจ อาจเรียกได้ว่าหมิวคือ craft solopreneur ที่แม้จะไม่ได้มีภาพจำแบบนักธุรกิจสายเทคโนโลยีผู้ใช้ AI และเครื่องมือต่างๆ เพื่อสเกลธุรกิจขนาดใหญ่และเร่งสร้างกำไร แต่ศาสตร์การทำสีที่ผสมผสานทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะของหมิวกลับ leverage (ยกระดับ) สินทรัพย์ทางศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญางานหัตถกรรม ให้กลายเป็นมูลค่าที่ต่อยอดไปได้ในหลายวงการ ทั้งธุรกิจท่องเที่ยว การศึกษา สุขภาพจิต และการพัฒนาชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำ
ด้วยเหตุนี้ จะพูดได้ยังไงว่าแบรนด์สีจากธรรมชาติไม่ใช่งานหัตถกรรม

ขอบคุณรูปจากเพจ Craft Colour

Editor’s Note : Wisdom from Conversation
การเริ่มต้นทำงานที่ต้นน้ำ (origin) คือการให้คุณค่ากับจุดกำเนิดของทุกสิ่ง เพราะทุกผลงานที่มีความเป็นออริจินอลล้วนต้องอาศัยรากฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นงานศิลป์ที่ต้องเริ่มจากสีและวัสดุที่ถูกเตรียมอย่างพิถีพิถัน งานจักสานที่ต้องพึ่งฝีมือและภูมิปัญญาของช่างท้องถิ่นที่ค่อยๆ สานทีละเส้น หรือแม้แต่กาแฟหนึ่งแก้วที่เริ่มจากการปลูกป่า ดูแลผืนดิน และสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์ก่อนจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

แต่ในโลกที่มักให้รางวัลกับผลลัพธ์ปลายทางมากกว่ากระบวนการต้นน้ำ ให้คุณค่ากับสิ่งรูปธรรมที่จับต้องได้มากกว่าสิ่งนามธรรมและคุณค่าภายใน เรามักมองไม่เห็นมือที่อยู่เบื้องหลัง หลงลืมคุณค่าของภูมิปัญญาและปรัชญาสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นช่างทำสีที่ทำเม็ดสีจากพืชแร่ ช่างทอผ้าที่สร้างเส้นด้ายให้ดีไซเนอร์หยิบไปใช้ หรือเกษตรกรที่ดูแลต้นกาแฟจนเมล็ดหนึ่งพร้อมให้คนชงกาแฟสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ

การให้คุณค่ากับต้นน้ำยังไม่ใช่แค่การมองย้อนกลับไปหาต้นตอของวัตถุดิบหรือภูมิปัญญาเท่านั้น แต่คือการเคารพคนที่อยู่เบื้องหลังงานฝีมือ คนที่อาจไม่ปรากฏชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ศิลป์ แต่ทำให้ศิลปะและงานคราฟต์ทุกชิ้นเกิดขึ้นจริงได้

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

You Might Also Like