เล่นกับไฟ

‘ไฟไหม้ชิคาโก’ ประวัติศาสตร์จากกองไฟ เตาเผาดิน กับการเกิดใหม่ของตึกระฟ้า

เวลาที่เรานึกถึงไฟไหม้ใหญ่ เราอาจเห็นภาพหายนะภัยอันยิ่งใหญ่ เห็นเปลวเพลิงที่กลืนกินสรรพสิ่งของมนุษย์เราจนราบเป็นหน้ากลอง

ทว่ามนุษย์เรานี้กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ และไฟไหม้กับเมืองค่อนข้างเป็นของคู่กัน 

ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของเมืองต่างๆ และการพัฒนาเมือง เมืองส่วนใหญ่มักเติบโตขึ้นอย่างไร้ทิศทาง แรกเริ่มมักก่อสร้างอาคารด้วยไม้ ไม่มีการควบคุมการก่อสร้างของอาคาร ไม่มีการควบคุมด้านผังเมืองมากนัก เมืองใหญ่ๆ จึงมักเจอกับไฟไหม้ใหญ่ 

เช่นมหาอัคคีภัยที่เผาเอโดะในปี 1657 ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มของผังเมืองและการรับมือภัยพิบัติอันกลายเป็นรากฐานของโตเกียว ไม่ถึงสิบปีลอนดอนก็เจอไฟไหม้ใหญ่ในปี 1666 นำไปสู่การควบคุมอาคารในเขตเมืองลอนดอนและเกิดกิจการประกันอัคคีภัย

เกือบร้อยปีหลังจากนั้น อเมริกาเริ่มเกิดเมืองใหญ่ขึ้น ชิคาโกเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมืองชิคาโกในทศวรรษ 1870-1880 เป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรของอเมริกาฝั่งตะวันตก และเป็นเมืองที่สินค้าต่างๆ จะมารวมตัวกันเพื่อป้อนให้กับพื้นที่อุตสาหกรรมของเมือง ทว่าในปี 1871 ชิคาโกได้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ด้วยเงื่อนไขและจังหวะเวลาที่โลกสถาปัตยกรรมกำลังก้าวไปข้างหน้า

หลังจากไฟไหม้ใหญ่และไฟไหม้ซ้ำ เมืองชิคาโกซึ่งกำลังต้องการการสร้างเมืองโดยเฉพาะพื้นที่การค้ากลางเมืองขึ้นจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสสำคัญ ด้วยความบรรจบกันระหว่างความคิดทางสถาปัตยกรรมและการออกแบบแบบใหม่ การเป็นพื้นที่รวมตัวกันของสถาปนิกหัวก้าวหน้า และการมาถึงของนวัตกรรมทั้งการก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กและลิฟต์ ทั้งหมดนี้ทำให้กลางเมืองของชิคาโกเริ่มกลายเป็นภาพกลางเมืองที่เราคุ้นเคย คือการพุ่งตัวขึ้นของอาคารรูปแบบใหม่ซึ่งมีขอบฟ้าเป็นเครื่องประดับ

ตึกระฟ้า ย่านกลางเมือง กลุ่มอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นหน้าตาของเมืองที่คุ้นเคย พัฒนาการสำคัญเกิดขึ้นที่ชิคาโก กลางเมืองใหม่ของชิคาโกจึงเป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่มีการเปลี่ยนความคิด เทคนิคของสถาปัตยกรรม กระทั่งเป็นพื้นท่ีแสดงฝีมือของสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบิดาของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของอเมริกา และเป็นบิดาของตึกสูง ‘หลุยส์ ซัลลิแวน’ สถาปนิกหนุ่มผู้ประดับอาคารด้วยความวิจิตรแบบคลาสสิก และเป็นเจ้าของแก่นของงานออกแบบสำคัญ คือ form follows function

ไฟไหม้ใหญ่ และเวลาที่เป็นเงินเป็นทอง

ก่อนจะคุยเรื่องไฟไหม้ และการที่ชิคาโกกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีการถกเถียงบ้างว่า การเป็นเมืองตึกระฟ้า เป็นพื้นที่เมืองสมัยใหม่ที่ก้าวกระโดดขึ้น อาจจะไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากไฟไหม้ซะทีเดียว แต่สัมพันธ์กับบริบทอื่นๆ มากมาย 

เช่นช่วงนั้นกระแสสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และนวัตกรรมการก่อสร้างเช่นโครงสร้างเหล็กและอาคารสูงก็มีการพัฒนาขึ้นในพื้นที่อื่นๆ อย่างนิวยอร์ก ที่สำคัญสถาปนิกและวิศวกรต่างๆ ก็เดินทางไปมาในหลายๆ เมืองใหญ่ที่กำลังเติบโตขึ้น 

ประกอบกับ Panic of 1873 ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ถดถอยลงจากหลายปัจจัย เช่น สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (1870) เงินเฟ้อ การลงทุนขนานใหญ่โดยเฉพาะรถไฟ ไฟไหม้ใหญ่ในชิคาโกที่ติดตามมาด้วยไฟไหม้ใหญ่ในบอสตัน (1872) เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจคลายตัว การลงทุนและการฟื้นขึ้นในฐานะเมืองตึกระฟ้าถึงกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม

แต่เอาเป็นว่า ชิคาโกเป็นเมืองที่เปลี่ยนหน้าตาหลังจากไฟไหม้ใหญ่โดยใช้เวลาราว 20 ปี จากแต่เดิมเป็นเมืองไม้ ตึกก่ออิฐที่เคยมีก็เป็นตึกสูงแค่ 4-5 ชั้น (เริ่มมีลิฟต์แล้ว) มาสู่ความเป็นดาวน์ทาวน์ที่ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ สำนักงาน ห้าง และตึกระฟ้าสูงสิบชั้น เมืองชิคาโกถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความหวังและนวัตกรรมความก้าวหน้า ซึ่งถ้ามองย้อนไป เป็นความก้าวหน้าที่เดินบนเงื่อนไขร้อยแปดทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะข้าวยากหมากแพง ภัยพิบัติทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม แต่ทั้งหมดนี้ฉุดรั้งชิคาโกไว้ไม่ได้

กลับมาที่ไฟไหม้ ชิคาโกเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ที่เรียกว่ามหาอัคคีแห่งชิคาโก (Great Chicago Fire) เป็นเพลิงไหม้ใหญ่ที่กินเวลาสามวันสามคืน เริ่มต้นในโรงงานแห่งหนึ่งวันที่ 7 ตุลาคม ต้นเพลิงแรกถูกดับได้ในบ่ายของวันที่ 8 ทว่าไฟกลับลุกขึ้นอีกครั้งในช่วงค่ำวันนั้น ลุกลามกลายเป็นไฟไหม้ใหญที่ค่อยๆ ลามจากย่านดาวน์ทาวน์ ข้ามแม่น้ำไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของเมือง เพลิงไหม้ตั้งแต่วันที่ 8-10 ตุลาคม ย่านสำคัญคือย่านธุรกิจกลางเมืองราบเป็นหน้ากลอง ย่านพักอาศัยไม่น้อยเสียหาย พื้นที่ที่กลายเป็นเถ้าถ่านกินพื้นที่แนวยาวราว 4 ไมล์

ไฟแห่งชิคาโกในครั้งนั้นรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 300 ราย อาคาร 18,000 หลังถูกทำลาย ผู้คนราวหนึ่งแสนคน หรือ 1 ใน 3 ของเมืองไร้ที่อยู่อาศัย แต่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจของเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชิคาโกต้องรีบลุกขึ้น 

ในตอนนั้นชิคาโกเริ่มเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว รางรถไฟและท่าเรือพาเอาผลิตผลทางการเกษตรเข้าแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช เนื้อสัตว์ ไม้ รวมถึงอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ทั้งชิคาโกเองเริ่มเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของภูมิภาค ดังนั้นไฟไหม้ใหญ่ของชิคาโกซึ่งส่วนใหญ่มีประกันอัคคีภัย จึงไม่มีเวลาให้หายใจ ผู้ประกอบการต้องการสร้างอาคารกิจการของตัวเองขึ้นในทันที

ในวันแรกเมื่อไฟมอดลง หนังสือพิมพ์ Chicago Tribune ได้เผยแพร่ข้อความเรียกขวัญกำลังใจและผู้คน โดยพาดหัวว่า ‘ไปที่ชิคาโกเดี๋ยวนี้! คนหนุ่มทั้งหลาย ผู้เฒ่าผู้แก่ส่งลูกชายของคุณไป ภรรยาจงส่งสามีของคุณไปที่นั่น คุณไม่มีวันจะมีโอกาสจะหาเงินได้แบบนี้อีกแล้ว’ (Young men, hurry there! Old men, send your sons! Women, send your husbands! You will never again have such a chance to make money!)

ในช่วงแรกเอง เมืองชิคาโกก็เริ่มมีกฎควบคุมเพื่อการป้องกันอัคคีภัย ในแง่นวัตกรรมการก่อสร้าง แม้แต่ก่อนไฟไหม้ชิคาโกเริ่มมีการใช้เหล็กกล้าในการก่อสร้าง ซึ่งตอนนั้นหวังกันว่าจะช่วยป้องกันไฟไหม้ได้ ผลคือเหล็กกล้ากลับหลอมละลายและกลายเป็นเชื้อไฟสำคัญในไฟไหม้ใหญ่ของชิคาโกด้วย

ดินเผา และผลทางอ้อมของการควบคุมอาคาร

หลังไฟไหม้เจ้าของกิจการยังคงสร้างอาคารด้วยหน้าตาเหมือนก่อนไฟไหม้ ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่อเมริกาเผชิญความฝืดเคืองซึ่งมาคลี่คลายเอาช่วงต้นทศวรรษ 1880 ในช่วงหลังไฟไหม้

การพยายามปรับปรุงมาตรการเรื่องอาคารและการป้องกันไฟไหม้ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ เช่นการบอกว่าห้ามสร้างบ้านด้วยโครงสร้างไม้ ซึ่งการต้องก่อสร้างด้วยเหล็กหรือปูนมีราคาแพง ทำให้คนชั้นกลางระดับล่างโดยเฉพาะผู้อพยพเยอรมันที่มาตามหาความฝันอเมริกันจ่ายการสร้างบ้านในย่านกลางเมืองของชิคาโกไม่ไหว

เงื่อนไขที่สำคัญอีกด้านคือความเข้าใจเรื่องวัสดุหรือเทคนิคการก่อสร้างทนไฟที่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ในตอนนั้นเหล็กหล่อ (cast iron) เป็นความหวังสำคัญ แต่ในที่สุดไฟไหม้ที่ชิคาโก ต่อด้วยบอสตัน และไฟไหม้ชิคาโกซ้ำในปี 1874 ก็เป็นคำตอบว่าความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมการก่อสร้างของมนุษย์ยังต้องทดลองต่อไป

อีกความโชคดีคือ ในปี 1874 นอกจากเมืองจะตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมการป้องกันไฟที่ต้องจริงจังกันแล้ว ในปีนั้นสถาปนิกชื่อ Peter Wight ได้ทดลองระบบป้องกันไฟด้วยการทดสอบเสาที่ใช้วัสดุเหล็ก ทว่าการทดสอบของแกทดลองเผาเสาจากเหล็กที่ว่าด้วย ‘เตาดินเผา (terra cotta)’ 

แกเองก็เอ๊ะว่า อ้าว ดินเผามันทนไฟนี่นา จากความรู้นั้น เหล็กหล่อโล้นๆ ถ้าปิดผิวด้วยวัสดุดินเผาเช่นกระเบื้อง (ถ้าจำได้ในตอนที่เราพูดถึงการเกิดขึ้นของร้านยะไต ความรู้นี้เป็นแบบเดียวกันกับที่เอโดะสั่งให้ล้อมวัดด้วยกำแพงในศตวรรษที่ 17) หลังจากไฟไหม้และความรู้ดังกล่าว ทางเมืองก็ออกกฎว่าห้ามสร้างอาคารด้วยโครงสร้างไม้อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องใช้วัสดุต่างๆ คือถ้าไม่สร้างด้วยอิฐ หิน ก็ต้องเป็นวัสดุเช่นเหล็กที่คลุมด้วยดินเผาอีกชั้น 

ผลคือเมื่อกฎกลายเป็นข้อบังคับ ย่านกลางเมืองของชิคาโกจึงต้องสร้างด้วยอาคารโครงสร้างอิฐหรือเหล็กกรุด้วยดินเผาเท่านั้น ผู้คนที่จ่ายไม่ไหวเช่นกลุ่มแรงงานและผู้อพยพจำเป็นต้องย้ายออกจากพื้นที่กลางเมือง

ตรงนี้เป็นความก้าวหน้าที่น่าเศร้า คือกฎความปลอดภัยใหม่ของเมืองกำลังขับไล่ผู้มีรายได้น้อยออกไปจากกลางเมืองชิคาโกซึ่งล้อมด้วยรถไฟและแม่น้ำ เจ้าของที่ดินที่อยู่ หรือนักลงทุนที่จ่ายไหวจึงเข้าจับจองพื้นที่ พื้นที่กลางเมืองจึงแออัดน้อยลง แต่พอผลักดันผู้คนออกไป กลางเมืองก็ปลอดภัยมากขึ้น

ลิฟต์ โครงกระดูกเหล็ก และชิคาโกสีเอิร์ทโทน

การมาของดินเผาเป็นการมาทั้งของกิจการกระเบื้องและเครื่องตกแต่งที่ผลิตจากดินเผา เป็นการผสานกันของนวัตกรรมการก่อสร้าง คือโครงสร้างเหล็กแบบใหม่ที่เรียกว่าโครงสร้างกระดูกหรือ skeleton construction ประกอบกับการมาของนวัตกรรมสำคัญอย่างลิฟต์ 

ถือเป็นการรวมพลังกันของโครงสร้างอาคารเหล็ก การปิดวัสดุเหล็กด้วยกระเบื้องดินเผา งานประติมากรรมดินเผา และลิฟต์ ซึ่งรวมกับอีกหลายเงื่อนไขเช่นความต้องการพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวนมาก ที่ต่อมาขยายไปสู่ความต้องการที่พักอาศัย 

เทคนิคก่อสร้างแบบโครงสร้างเหล็กเป็นความสำเร็จของกลุ่มสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างของชิคาโกซึ่งต่อมาเรียกรวมว่าเป็น ‘ชิคาโกสกูล’ ย้อนไปในยุคนั้น นวัตกรรมการก่อสร้างเช่นงานโครงสร้างและเหล็กมีมานานแล้ว แต่มักใช้ในการก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นสะพานหรือสาธารณูปโภคขนาดยักษ์ สถาปนิกกลุ่มชิคาโกเป็นสถาปนิกหัวก้าวหน้าซึ่งทดลองนำเอาเทคโนโลยีการก่อสร้างมาใช้ในอาคารสเกลการลงทุนของเอกชน

เจ้าโครงสร้างเหล็กแบบกระดูกเป็นลักษณะโครงสร้างที่ถ่ายน้ำหนักแบบใหม่แตกต่างไปจากการก่อด้วยกำแพง การประยุกต์ใช้นี้ทำให้ตัวอาคารสามารถสร้างสูงขึ้นได้โดยแทบไม่มีข้อจำกัด ผนังหรือกำแพงของอาคารลดภาระการรับน้ำหนักลง ทำให้การออกแบบหน้าตาช่องแสงก็ทำได้อย่างอิสระขึ้น กว้างขวาง โปร่งโล่งขึ้น และแน่นอน ลิฟต์ยังทำให้การออกแบบพื้นที่ในแนวตั้งเป็นไปได้

ในระยะแรกของโปรเจกต์ก่อสร้างโดยสถาปนิกในชิคาโก ตอบสนองกลุ่มพื้นที่พาณิชย์เป็นหลัก กระแสของกลุ่มชิคาโกเรียกว่าเป็นตึกแบบ Chicago Commercial Style เป็นอาคารสูงสิบชั้นขึ้นไป อาคารอันเป็นหมุดหมายของสถาปัตยกรรมและการใช้ชีวิต รวมถึงหน้าตาของกลางเมืองหรือย่านธุรกิจใหม่คืออาคาร Home Insurance Building สร้างเสร็จหลังไฟไหม้ 14 ปี

หน้าตาตึกแบบชิคาโกยังปรากฏอยู่ในหลายอาคารทั้งของชิคาโกและอีกหลายเมืองของสหรัฐฯ คำว่ากระเบื้องดินเผาเป็นหน้าตาอาคารที่เราอาจจะพอนึกออก คือเป็นตึกสูง มีช่องหน้าต่างสูงๆ ปิดด้วยแผ่นกระเบื้อง ตัวอาคารมักตกแต่งด้วยบัวหรือลวดลายซึ่งจริงๆ เป็นบล็อกสำเร็จรูป

ย้อนไปยังกิจการกระเบื้องหรือแผ่นดินเผา สัมพันธ์กับการก่อตั้งบริษัท Northwestern Terra Cotta Company ในปี 1878 กิจการแผ่นดินเผาเริ่มที่การจ้างงานช่างฝีมือจากยุโรป และเมื่อเมืองออกกฎการกรุโครงสร้างอาคารเหล็กด้วยแผ่นดินเผาเหล่านี้ สินค้าของโรงงานจึงมีตั้งแต่แผ่นดินเผาที่ใช้กรุ ไปจนถึงเครื่องประดับอาคารทั้งภายในและภายนอก

ความพิเศษของแผ่นดินเผาคือพวกมันเบา ทนไฟ ด้วยป้องกันเหล็กจากความร้อน ไปจนถึงหน้าตาของดินเผาคือสีพวกมันทำให้ตึกระฟ้าใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นกลางชิคาโกมีสีสันที่อบอุ่นอ่อนนุ่ม คือสีอิฐ ปูนแดง ไปจนถึงสีครีม ทั้งตัวดินเผายังถูกนำไปออกแบบเป็นลวดลาย เป็นงานปั้นนูนต่ำ ทำให้อาคารสูงเริ่มมีสุนทรียภาพแบบใหม่ขึ้น

อาคารที่งดงามและมีความหมายทุกตารางนิ้ว

ผู้นำสำคัญของชิคาโกสกูลมีหลายคน ส่วนใหญ่คนเหล่านี้คือคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้และนำเอาความคิด นวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องสิ่งปลูกสร้างและรับงานในเมืองชิคาโก คนสำคัญๆ เช่น William Le Baron Jenney วิศวกรที่เคยทำงานในการสร้างรางรถไฟและได้นำความก้าวหน้าทางวิศวกรรมมาใช้ในการสร้างอาคารโครงสร้างเหล็ก ซึ่งก็คือ Home Insurance Building หลังจากอาคารสำคัญสร้างเสร็จ สถาปนิกคนอื่นๆ ก็นำเอาเทคโนโลยีไปใช้ด้วย

หลังจากอาคาร Home Insurance Building ซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน เลอบารอนก็ได้นำเอาเทคนิคโครงสร้างเหล็กไปใช้ออกแบบห้างสรรพสินค้า The Fair Building ตัวห้างแฟร์ถือเป็นหมุดหมายและคำประกาศทางสถาปัตยกรรมจากอาคารนวัตกรรมได้ คือนอกจากการเป็นตึกสูง 9 ชั้นแล้ว เลอบารอนยังขยายศักยภาพของอาคารให้สอดคล้องกับการใช้งานเช่นการทำให้ชั้นล่างของอาคารเป็นกระจกเกือบทั้งหมด (ทำได้ด้วยโครงสร้างเหล็ก) ห้างกระจกขายพื้นที่การวางและมองเห็นสินค้าให้มากที่สุด

การนำเอานวัตกรรมมาสู่สถาปัตยกรรมซึ่งรูปลักษณะและการใช้งานอาคารกำลังเปลี่ยนอารยธรรมมนุษย์และความงามของเราไปอย่างสิ้นเชิง ภาพของอาคารสูงที่ถูกขึงด้วยโครงสร้างเหล็ก แนวเสาและกำแพงที่ไม่ถูกจำกัดด้วยการรับน้ำหนัก แนวกระจกตัดกับแนวเสาสูง ดินแดนสำคัญเช่นห้าง ออฟฟิศ ร้านค้า ต่อมาขยายไปสู่พื้นที่พักอาศัยที่อนุญาตให้เราใช้ชีวิตในแนวสูง มองเห็นขอบฟ้า และทำให้ขอบฟ้าของมหานครเปลี่ยนไปตลอดกาล 

นอกจากเลอบารอนแล้ว สถาปนิกอีกคนที่เราอยากพูดถึงคือ Louis Sullivan อีกหนึ่งสถาปนิกที่ได้รับฉายาว่าเป็นบิดาแห่งตึกระฟ้า หลุยส์ ซัลลิแวน จบการศึกษาจาก MIT และจบการศึกษาวิจิตรศิลป์จากปารีส หลังไฟไหม้ไปทำงานที่ฟิลาเดลเฟียกับปรมาจารย์ Frank Furness ทว่าด้วยผลของเศรษฐกิจตกต่ำ ช่างเขียนแบบหนุ่มวัย 17 ปีจึงถูกเลย์ออฟและตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ชิคาโกและเริ่มสร้างผลงานที่ชิคาโก

เหตุที่เราชอบและขอเอ่ยถึงหลุยส์ ซัลลิแวน เป็นการพิเศษคือ ซัลลิแวนภายหลังคาดกันว่าน่าจะเป็นสถาปนิกที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ แกไม่แต่งงาน ร่วมคลับสุภาพบุรุษ และมีจุดเด่นในการประดับตึกสูงด้วยเครื่องประดับอาคารมีความวิจิตรบรรจงเช่นการใช้ลายเครือดอกไม้ เถาวัลย์ และองค์ประกอบแบบคลาสสิกอื่นๆ 

แน่นอนว่าซัลลิแวนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของตึกระฟ้า และซัลลิแวนเป็นผู้ที่นำเอากรอบความคิดแบบคลาสสิกและอธิบายว่าตึกระฟ้ามี ‘ภาษา’ และสุนทรียะเป็นของตัวเอง ความสวยงามของตึกระฟ้ามาจากความคิดเรื่องอรรถประโยชน์ และซัลลิแวนเป็นผู้กล่าวประโยคอมตะ form follows function ในฐานะหัวใจของสถาปัตยกรรมและการออกแบบสมัยใหม่

คำว่าฟังก์ชั่นมาก่อนรูปลักษณ์ส่วนหนึ่งมาจากการคิดเรื่องอาคารที่พวกมันพุ่งขึ้นเสียดฟ้า รูปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นสะท้อนฟังก์ชั่นของพวกมันคือการสะท้อนโครงสร้างที่ทำให้พวกมันตั้งตรงได้ และพื้นที่ใช้สอยของเมืองที่เราต้องการเพิ่มขึ้น

มุมมองของซัลลิแวนได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมคลาสสิก ซึ่งอ้างจากงานเขียนของสถาปนิกโรมันในงานเขียนชื่อ De architectura (On architecture) ของ Marcus Vitruvius Pollio กฎ 3 ประการของโครงสร้างคือ firmitas, utilitas, venustas ซึ่งก็คือความมั่นคง มีประโยชน์ และสวยงาม (“solid, useful, beautiful)

ด้วยอิทธิพลและหลักคิด อาคารที่ถูกออกแบบขึ้นจึงตอบสนองทั้งเงื่อนไขด้านโครงสร้าง และอาคารแต่ละหลังออกแบบโดยรองรับฟังก์ชั่นการใช้งาน จุดเด่นหนึ่งและอิทธิพลของซัลลิแวนนอกจากจะอยู่ที่การประดับอาคารที่ได้อิทธิพลจากศิลปะคลาสสิกเช่นลายพฤกษาหรือการใช้ซุ้มโค้งและแนวเสาแล้ว ซัลลิแวนยังแบ่งอาคารออกเป็นห้าส่วนตามการใช้สอยชั้นต่างๆ 

เช่นพื้นที่ใต้ดินใช้สำหรับงานระบบต่างๆ ชั้นโถงเป็นพื้นที่โล่งโปร่งใช้สำหรับร้านค้า ธนาคาร และอื่นๆ ส่วนที่สามเป็นชั้นลอย โปร่งโล่งด้วยกระจก และชั้นถัดไปเป็นชั้นสำนักงานที่มีจำนวนชั้นไม่จำกัด และส่วนที่ 5 คือส่วนยอด เป็นงานระบบซึ่งทำงานร่วมกับพื้นที่ที่อยู่ส่วนใต้ดิน ดังนั้นหน้าตาหรือองค์ประกอบตึกสูงทุกวันนี้ที่มีโถง ที่มีร้านค้าธนาคารแยกส่วนขึ้นไปเป็นชั้นสำนักงานที่แบ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ กระจายตัวขึ้นไป และการแบ่งส่วนบนของอาคารที่มักมีการแบ่งเป็นพื้นที่ทั้งรองรับงานระบบหรือเป็นพื้นที่สันทนาการอื่นๆ เช่นสวน ร้านอาหาร หรือพื้นที่สันทนาการลอยฟ้าอื่นๆ 

ในแง่ของโครงสร้างด้านนอก ซัลลิแวนได้รับอิทธิพลจากเสาแบบกรีกที่ประกอบด้วยฐาน ตัวเสา และยอดเสา (base, shaft, and cornice) ทำให้ตึกของซัลลิแวนมีการประดับส่วนบนของตึกซึ่งเป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมตึกสูงที่ซัลลิแวนได้นำเอาวิธีคิดแบบคลาสสิกกลับมาตกแต่งให้ตึกสูงของเราไม่แห้งแล้ง เกิดเป็นสุนทรียภาพรูปแบบใหม่ในสถาปัตยกรรม

ประเด็นเรื่องไฟไหม้ชิคาโกเป็นอีกหนึ่งจังหวะสำคัญของชิคาโก ที่ประจวบเหมาะทั้งการเป็นพื้นที่ที่นักออกแบบและนักคิดรุ่นใหม่ๆ เข้ามาร่วมทำงาน เป็นจังหวะที่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจบางเบาลง เกิดนวัตกรรมสำคัญเช่นการก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก และบทบาททั้งความงามและการป้องกันไฟของกระเบื้องและวัสดุตกแต่งดินเผา 

ภายหลังสถาปนิกกลุ่มชิคาโกหลายคนก็เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง และอาคารสูงก็เริ่มเปลี่ยนความนิยมไปสู่รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายกว่า ไม่มีการประดับประดาด้วยวัสดุหรือรูปทรงแบบคลาสสิกอีกต่อไป ทว่าการปิดอาคารด้วยดินเผายังเป็นสิ่งที่พบได้ทั้งในตึกสูง อาคารต่างๆ ไปจนถึงบ้านเรือนทั้งในชิคาโกและนิวยอร์ก

และนี่คืออีกหนึ่งประวัติศาสตร์จากกองไฟ จากเตาเผาดิน ถึงการกลายเป็นตึกระฟ้า อีกหนึ่งอาณาจักรที่พามนุษย์เราขึ้นไปใช้ชีวิตบนหมู่เมฆ และทำให้เส้นขอบฟ้าของเมืองมหานครกลายเป็นอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

อ้างอิงข้อมูลจาก

Writer

ชื่อว่านครับ ทำงานรับจ้างทั่วไปด้านงานเขียน ส่วนใหญ่เขียนเรื่องการเขียน การอ่าน และวัฒนธรรม เชื่อว่าพื้นที่นามธรรมเป็นสินทรัพย์ที่จะพาเราเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

Illustrator

ชื่อกล้วยค่ะ banana blah blah เป็นนักวาด บางวันจับเม้าส์ปากกา บางวันจับลูกกลิ้งทำภาพพิมพ์ สนใจ Art therapy และการวาดภาพเพื่อ Healing เชื่อว่าการทำงานที่ดีต้องทำให้เราอิ่มทั้งกายและใจ ได้มองเห็นตัวเองเติบโตภายใน

You Might Also Like