TAG Heuer Formula 1
TAG Heuer Formula 1 นาฬิกาที่เป็นมากกว่านาฬิการถแข่ง
สนาม : ไมอามี่ กรังด์ปรีซ์
วันที่ : 5 พฤษภาคม 2024
แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ต้องเป็นผู้ผิดหวังอีกครั้ง เมื่อจบด้วยการเป็น ‘P2’ หรือที่ 2 ของการแข่งขันในรายการไมอามี่ กรังด์ปรีซ์ หนึ่งในสนามแข่งที่เร้าใจที่สุด
สนามนี้แชมป์โลกชาวเนเธอร์แลนด์ไม่ได้ดวงแตกรถมีปัญหาเหมือนในรายการที่ออสเตรเลีย แต่โชคชะตาก็มีส่วนช่วยให้ แลนโด นอร์ริส ยอดนักขับชาวอังกฤษจากทีมแม็คลาเรน ได้โชว์ของและคว้าแชมป์สนามแรกในชีวิตได้สำเร็จ แวร์สเตปเพน มีสีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังชื่นชมและแสดงความยินดีกับเพื่อนผู้ชนะ
ในช่วงของการรับรางวัลนั้นเองที่แฟนๆ ได้เห็นเจ้า TAG Heuer Formula 1 ในตำนานบนข้อมือของแวร์สเตปเพนแบบชัดๆ ที่วันนี้ถูกชุบชีวิตให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง และเพิ่งเปิดตัวไปที่เมืองไมอามี่แห่งนี้เอง ท่ามกลางความสนใจอย่างมากจากแฟนๆ และนักสะสมทั่วโลก
ในสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวัน นอกจากความดุเดือดเร้าใจ และเหตุการณ์พลิกผันที่สุดจะคาดเดาในแต่ละสนามแล้ว อีกด้านหนึ่งคือ สีสันจากนักขับ ไลฟ์สไตล์สุดลักชูรี และแฟชั่นจัดจ้านของบรรดาเซเลบริตี้ที่มาร่วมชมไม่เคยขาด แบรนด์สปอนเซอร์ต่างๆ จึงไม่พลาดที่จะร่วมฉกฉวยอายบอลจากผู้ชมทั่วโลก ไม่นับรวมโอกาสในการปรากฏภาพบนสื่อชั้นนำมากมาย และแน่นอนว่าหนึ่งในสินค้าที่ใกล้ชิดกับเอฟวัน มาอย่างยาวนานและแนบเนียนที่สุดก็คือนาฬิกา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลา แม้เพียงเล็กน้อยแค่เสี้ยววินาทีก็มีความหมายยิ่งใหญ่เสมอในโลกของการแข่งรถ นาฬิกาของนักแข่งจึงต้องมาพร้อมกับคุณภาพ มาตรฐานความแม่นยำที่ได้รับการยอมรับ และต้องดูมีระดับในเวลาเดียวกัน ทีนี้ท่ามกลางนาฬิกามากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘เอฟวัน’ มีไอคอนระดับตำนานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และไม่เคยลดน้อยถอยลงไปเลย นั่นก็คือ TAG Heuer Formula 1
ว่าแต่ทำไมชื่อรุ่นกับชื่อการแข่งขันใช้ชื่อเดียวกัน?
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจเต็มๆ ของ TAG Heuer ในการที่จะตั้งชื่อนาฬิการุ่นนี้ให้ล้อไปกับการแข่งขันรถแข่งอันดับหนึ่งของโลก โดยที่ความตั้งใจนั้นไม่ได้เป็นไปเพียงแค่เรื่องของผลทางการตลาด
แต่มันเกิดจากความหลงใหลและความผูกพันที่มีต่อการแข่งรถอย่างแท้จริง
เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปถึงในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ครับ
ในเวลานั้นเกิดวิกฤตหนักสำหรับผู้ผลิตนาฬิกาในระบบควอตซ์ โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิตนาฬิกาเบอร์หนึ่งของโลกอย่างสวิตเซอร์แลนด์ที่ประสบปัญหาจนหลายบริษัทล้มหายตายจากกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะสู้กับกองทัพนาฬิกาจากประเทศญี่ปุ่นที่บุกถล่มแบบกามิกาเซ่ไม่ไหว
หนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ Heuer นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1860 แต่ยังดีที่พวกเขาได้ Techniques d’Avant Garde เข้ามาเทคโอเวอร์ทำให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้ ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น TAG Heuer อย่างที่เราคุ้นเคยกัน
แต่ในการเทคโอเวอร์ครั้งนี้มันมีเรื่องน่าสนใจอยู่ตรงที่ Techniques d’Avant Garde นั้นไม่ได้เป็นบริษัทนาฬิกา แต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและรถแข่ง แต่ดันต้องมาจับมือกับ Heuer ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตนาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์เก่าแก่
เรียกว่าอยู่กันคนละโลกเลย แล้วจะอยู่รวมกันยังไง?
สิ่งที่ผู้บริหารทั้งสองบริษัททำคือการพยายามหาสิ่งที่อยู่ตรงกลาง อะไรที่จะเชื่อมโยงเข้าถึงกันได้ และอะไรที่จะทำให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
เหลือเชื่อครับที่สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างใจของทั้งสองบริษัทคือ ‘การแข่งรถ’
สำหรับ Techniques d’Avant Garde อย่างที่บอกว่าพวกเขาอยู่ในอุตสาหกรรมรถแข่งอยู่แล้วในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น เครื่องเซรามิกเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูล่าวัน
แล้วแบรนด์นาฬิกาอย่าง Heuer ล่ะพวกเขาเกี่ยวอะไรกับการแข่งรถ?
คำตอบคือเกี่ยวครับและเกี่ยวมากด้วย เพราะรถแข่งคือสิ่งที่ แจ็ค ฮอยเออร์ (Jack Heuer) ผู้เป็นหลานชายของ เอดูอาร์ด ฮอยเออร์ (Edouard Heuer) ผู้ก่อตั้งนาฬิกา Heuer หลงใหลและคลั่งไคล้อย่างมาก
หนึ่งในนาฬิการุ่นคลาสสิกที่สุดตลอดกาลของ Heuer คือรุ่น Carrera ก็มาจากชื่อการแข่งขันรถรายการในตำนาน ‘Carrera Panamericana’ ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความระห่ำที่หลายครั้งเกิดความสูญเสียของนักขับ
โดยคนที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังคือสองนักขับพี่น้องตระกูลโรดริเกวซ (Rodríguez) อย่างเปโดร (Pedro) และริคาร์โด (Ricardo) สองนักขับแห่งทีมเฟอร์รารีที่เมื่อได้ฟังแล้วแจ็ค ถึงกับตื่นเต้นหัวใจร้อนแรงตามไปด้วย และเกิดความคิดที่ว่าชื่อ Carrera นั้นฟังแล้วดู ‘สง่า-มีพลัง-ออกเสียงง่ายไม่ว่าจะกับภาษาไหน’
เหมาะกับการเอามาตั้งชื่อเป็นรุ่นนาฬิกาเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนครับว่าแจ็คได้มอบนาฬิกาให้กับสองศรีพี่น้องไว้ใส่เดินทางไปแข่งขันทั่วโลกซึ่งก็ได้รับความสนใจจากเพื่อนพ้องนักแข่งและแน่นอนว่ามันลามไปถึงแฟนๆ นักขับที่ได้เห็นแล้วก็อยากจะหล่อจะเท่แบบฮีโร่ในดวงใจบ้าง
แต่คนที่ทำให้ชื่อของ Heuer โด่งดังในวงการรถแข่งจริงๆ คือ โจ ซิฟเฟิร์ต (Jo Siffert) หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า ‘เซ็ปปี’ (Seppi) ที่เซ็นสัญญากับ Heuer ในปี 1969 และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับทีมรถแข่งครั้งแรกของวงการรถแข่งเอฟวัน
หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นนักกีฬาเอฟวันคนแรกที่ได้สปอนเซอร์เป็นของตัวเอง
ซิฟเฟิร์ต ไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักแข่งโดยเฉพาะยามขับให้ทีมปอร์เช่ (Porsche) แต่ยังทำให้นาฬิกาของ Heuer ในรุ่น Carrera และอีกรุ่นที่เป็นตำนานตลอดกาลไม่แพ้กันอย่าง Monaco ขึ้นแท่นนาฬิกาอมตะของโลก
ก่อนที่แรงบันดาลใจจากซิฟเฟิร์ตจะถูกส่งต่อไปถึงดาราดังอย่าง สตีฟ แม็คควีน (Steve McQueen) ที่รับบทดารานำในหนังเรื่อง ‘Le Mans’ ซึ่งแม็คควีน (ใช่ครับ…นี่แหละที่มาของ Lightning McQueen!) บอกว่าเขาอยากใส่นาฬิการุ่น Heuer Monaco
“ผมอยากเท่แบบโจ!”
เดาได้ไม่ยากนะครับว่าเมื่อหนังออกฉายนาฬิการุ่นนี้ได้รับความนิยมในระดับไหน
ก่อนที่ Heuer จะเดินหน้าต่อด้วยการเซ็นสัญญาเป็น ‘ผู้รักษาเวลา’ (Timekeeper) ให้กับทีมรถแข่งเฟอร์รารี ซึ่งในความรู้สึกของแจ็คแล้วนี่คือชัยชนะครั้งสำคัญของเขา ในการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมรถแข่งที่ดีที่สุดของโลก
เป็น sport marketing ที่มาก่อนกาลเลยก็ว่าได้
โดยที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน TAG Heuer ยังคงให้การสนับสนุนรถแข่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกับทีม Oracle Red Bull Racing ในการแข่งขันรถเอฟวัน ทีม TAG Heuer Porsche ในการแข่งขันรถฟอร์มูล่า อี ไปจนถึงรายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งระดับตำนานที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด
ยิ่งในปีนี้ครบรอบ 30 ปีที่ แอร์ตัน เซนนา (Ayrton Senna) สุดยอดนักขับระดับตำนานตลอดกาลชาวบราซิลจากไปด้วยอุบัติเหตุในการแข่งขันที่อิโมลา เซอร์กิต ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1994 ทำให้จะมีการรำลึกถึงเซนนาที่รายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์เป็นพิเศษเพราะเป็นสนามที่เขาชำนาญและเก่งกาจที่สุด
และที่สำคัญเซนนายังเป็น Legend Ambassador ของ TAG Heuer ด้วย
ทีนี้ด้วยเรื่องราวความรักความผูกพันที่มีต่อรถแข่งคือสิ่งที่ทำให้ทั้ง Techniques d’Avant Garde และ Heuer เห็นตรงกันว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะสร้างและเดินหน้าต่อไปด้วยกันในนามของ TAG Heuer
สร้างนาฬิการุ่นใหม่ที่จะตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความหรูหราประสานาฬิกาควอตซ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องเข้าถึง ‘ใจ’ ของผู้คนได้ง่ายขึ้นเพื่อสู้กับทั้งนาฬิกาจากญี่ปุ่นรวมถึง Swatch นาฬิกาสัญชาติสวิสที่ฉีกแนวไปทำนาฬิกาดีราคาถูกจนประสบความสำเร็จอย่างสูง
สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น TAG Heuer Formula 1 ที่สะท้อนถึงความหลงใหลในมอเตอร์สปอร์ตและการแข่งรถเอฟวัน ผ่านการออกแบบที่สะดุดตามีสไตล์แบบ sporty ที่โดดเด่น ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างร้อนแรงเมื่อออกวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1986 ซึ่งถือเป็นนาฬิการุ่นแรกที่จำหน่ายในนามแบรนด์ TAG Heuer ด้วย
ความสำเร็จของ TAG Heuer Formula 1 นั้นมาจากการออกแบบที่ไม่ได้หรูหราเกินไปแต่ก็แข็งแรงในแบบของนาฬิกาสวิส มีความสปอร์ตโดยเฉพาะกรอบหน้าปัด (เคส) ที่ทำจากเรซิ่นมีลูกเล่นสีสันสดใส สายที่ทำจากยางคุณภาพสูง เท่ครบจบในเรือนเดียว
โดยที่ผู้ออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจาก ‘Heuer Easy Rider’ นาฬิการุ่นดังที่ออกวางจำหน่ายในยุค 70s ในราคาที่ถูกลงเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนักช้อปคนรุ่นใหม่ ที่อยากมีนาฬิกาเท่ๆ และมีสไตล์ไว้ในครอบครอง
แต่ในความสีป๊อปสดใสนั้นสิ่งที่ TAG Heuer รักษาไว้คือความแม่นยำของนาฬิกาและความสามารถในการใช้งานได้จริงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักแข่งรถและทีมรถแข่งที่ต้องการความแม่นยำในการ ‘จับเวลา’ ให้ได้ในระดับเสี้ยววินาที ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นนาฬิกาที่นักแข่งรถสวมใส่เสมอ ซึ่งในปัจจุบัน แม็กซ์ เวอร์สเตปเพน แชมป์โลก 3 สมัยชาวเนเธอร์แลนด์จากทีมเรด บูล ก็ยังสวมใส่ลงแข่งขัน
เรียกได้ว่านาฬิการุ่นนี้ทำให้เกิดเส้นทางใหม่ต่อไปสำหรับ TAG Heuer ที่มีการพัฒนาต่อยอดออกมาอีกมากมาย เช่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนสาย เปลี่ยนหน้าปัด และเพิ่มเข็ม chronograph เข้าไปนอกจากจะได้ฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มแล้วยังเท่ขึ้นไปอีก
แต่คุณค่าที่สำคัญที่สุดนั้นคือการที่ TAG Heuer Formula 1 ได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของบริษัท TAG Heuer ไปตลอดกาล ทำให้กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยในวงการอีกครั้ง และทำให้เกิดความตื่นตัวในวงการนาฬิกาหรูไปด้วย
นาฬิการุ่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับบอกเวลาธรรมดาๆ ทั่วไป แต่เป็นนาฬิกาที่มีความสำคัญอย่างมากในเชิงของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
แต่สำหรับผู้คนมากมายแล้ว สิ่งที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้มีความหมายมากกว่าคือเรื่องราว ‘ความทรงจำ’
สำหรับใครหลายคนนี่อาจจะเป็นนาฬิกาเรือนแรก หรือนาฬิกาหรูเล็ก ๆ เรือนแรกในชีวิต
นาฬิกาที่ต้องเก็บหอมรอมริบกันพอสมควรกว่าที่จะถอยมาครองได้สักเรือน เพื่อจะได้ใส่เหมือนฮีโร่นักแข่งในดวงใจบ้าง
นาฬิกาที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อตามหารุ่นและสีที่ชอบ เพราะหายากหาเย็นเหลือเกิน
นาฬิกาที่ทำให้เราเหมือนเดินทางย้อนเวลากลับไปถึงช่วงเวลาที่คิดถึงอีกครั้ง กับการไปชมรถแข่งที่สนาม การนั่งลุ้นติดตามกับเพื่อน หรือการเปิดอ่านนิตยสารรถแข่งในเวลาว่าง
สิ่งเหล่านี้เป็น ‘คุณค่า’ ที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 ยังคงเป็นไอเทมคลาสสิกที่ทุกคนรักและคิดถึง ซึ่งในช่วงปี 2018-2022 มีข้อมูลที่น่าสนใจว่านาฬิการุ่นวินเทจ (ผลิตในปี 80s) มีการซื้อ-ขายกันบน eBay มากถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับตัวเลขรุ่นทั่วไปที่ 17 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ตัวเลขราคาของนาฬิกาแบบวินเทจนั้นเพิ่มขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาปีเดียว (ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2023) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับตลาดนาฬิกาวินเทจที่แม้สนนราคาของ TAG Heuer Formula 1 จะไม่ได้สูงเท่ากับนาฬิกาหรูรุ่นอื่นๆ แต่ก็ถือว่าเริ่มมีราคาเช่นกัน
ความนิยมที่ไม่มีวันตายนี้ยังทำให้มีการเรียกร้องให้ TAG Heuer ผลิต Formula 1 รุ่นใหม่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ซึ่งทางแบรนด์เองก็รู้ใจ จึงส่งรุ่นและสีที่ชวนให้คิดถึงความทรงจำครั้งเก่าออกมาเรื่อยๆ
รวมถึงในคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดที่ทำร่วมกับ Kith ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังขวัญใจมหาชนจากนิวยอร์กที่ได้ย้อนเวลานำเอาดีไซน์ในปี 1986 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง กับความร่วมสมัยที่จะพา Formula 1 ไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่
โดยเบื้องหลังแล้วเกิดจากความบังเอิญที่ Ronnie Fieg เจ้าของแบรนด์ Kith ได้นั่งเคียงข้างกับ Frédéric Arnault ผู้บริหารระดับสูงของเครือ LVMH ในระหว่างมื้อค่ำ เขาจึงมีโอกาสได้เล่าถึง TAG Heuer Formula 1 Series 1 สีแดงและดำ นาฬิกาเรือนแรกที่เขาหลงรักมาโดยตลอดไม่เคยเปลี่ยนไป และยังพยายามขุดหารูปถ่ายสมัยวัยรุ่นที่มีนาฬิการุ่นนี้บนข้อมือมาให้อาร์โนลต์ดูอีกด้วย
บทสนทนาที่มาถูกเวลาในค่ำคืนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการจับมือกันที่จะนำความทรงจำจากวันวาน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในหมู่นักสะสมและอยู่ในแผนงานของ TAG Heuer พอดิบพอดี ให้กลับมาอีกครั้งในคอลเลกชั่น TAG Heuer Formula 1 Kith
โดยที่ในรายละเอียดแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องนำแม่พิมพ์ดีไซน์เดิมกลับมาใหม่ และร่วมงานกับซัพพลายเออร์เจ้าเดิม แต่เพิ่มเติมวัสดุสมัยใหม่ที่แข็งแรงขึ้น เช่น การใช้คริสตัลแซฟไฟร์แทนที่ของพลาสติก ส่วนสายมีการเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นสเตนเลส หรือยางแล้วแต่สี
ขณะที่บนหน้าปัดที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา จะมีคำว่า ‘Just Us’ ซึ่งเป็นสโลแกนของ Kith อยู่ด้วย และที่ด้านหลังจะมีการสลักคำว่า ‘Kith Heuer’ และ ‘Kith & Kin’ ไว้ที่แตกต่างจากรุ่น Formula 1 ทั่วไป
สุดท้ายก็ทำออกมาได้สำเร็จสวยงาม 10 สี 10 แบบ เพื่อให้เข้าถึงใจของผู้คนที่มีหลากคาแร็กเตอร์ หลายสไตล์ ซึ่งแน่นอนว่าทำออกมาจำนวนจำกัดมากๆ แล้วแต่สี (บางสีมี 250 เรือน บางสีมี 1,350 เรือน) และถูกจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว รวมถึงราคารีเซลที่พุ่งไปไกลเกิน 2 เท่าตัวแล้ว
นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เรื่องราวของ TAG Heuer Formula 1 จะวนกลับมาเจอกับทุกคนใหม่ ไม่ต่างอะไรจากรถแข่งที่วิ่งกลับมาที่เส้นชัยและธงตราหมากรุก ที่ในเวลาเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นเสมอ
เพราะความสำเร็จที่สวยงามที่สุดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ คือการที่นาฬิกาสักเรือนสามารถเป็นตัวแทนความหมายของความรัก ความฝัน และความทรงจำของคนมากมาย และเป็นสิ่งที่ทำให้ TAG Heuer Formula 1 เป็นนาฬิกาที่อยู่เหนือกาลเวลา
Match facts
- นาฬิกา TAG Heuer Formula 1 Kith ที่ลิซ่าใส่เป็นเวอร์ชั่น Kith ตัวเรือนและสายสเตนเลสสตีล วงขอบเรือนสีดำมีสเกลเป็นสีแดงและสีขาว รุ่นนี้มีจำหน่ายแค่ 1,350 เรือนเท่านั้น
- ราคารีเซล TAG Heuer Formula 1 Kith ในตลาดนั้นพุ่งทะยานอย่างน่ากลัว ในบ้านเรามีคนตั้งราคาไว้ตั้งแต่ 79,000 ไปจนถึง 130,000 บาทเลยทีเดียว
อ้างอิง
- magazine.tagheuer.com/en/2021/11/11/turning-back-time-with-the-tag-heuer-formula-1
- lux-mag.com/the-history-of-tag-heuers-motorsport-romance/?utm_source=pocket_reader
- hodinkee.com/articles/tag-heuer-its-time-to-bring-back-the-original-yes-plastic-formula-one-watch?utm_source=pocket_reader
- gq-magazine.co.uk/watches/article/tag-heuer-formula-1-watch-history
- gq-magazine.co.uk/watches/article/tag-heuer-watch-guide