273
December 9, 2025

18th SEA Games

ถอดบทเรียนความท้าทายของซีเกมส์ครั้งที่ 18 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

ช่วงนี้มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (SEA Games 2025) กำลังเป็นที่ถกเถียงถึงประเด็นการจัดงานให้น่าสนใจ ชาวโซเชียลหลายคนจึงได้แชร์ความประทับใจถึงความทรงจำในงานซีเกมส์ครั้งที่ 18 (ครั้งที่ 5 ของประเทศไทย) เมื่อ 30 ปีที่แล้วในปี 2538 ที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ ซึ่งเป็นครั้งแรกในอาเซียนที่เมืองเจ้าภาพไม่ได้เป็นเมืองหลวง

หลายคนเล่าว่ายุคนั้นเกิดกระแสซีเกมส์ฟีเวอร์ที่คนไทยคึกคักกับการแข่งกีฬาซีเกมส์ ผู้คนจดจำมาสคอตของงานครั้งนั้นได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งยืนต่อคิวถ่ายรูปมาสคอตข้างสนาม และยังมีการนำของที่ระลึกซีเกมส์ในปีนั้นมาขายต่อเป็นของสะสมอยู่เรื่อยๆ มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคือ ‘ฉลามณุก–รัฐพงศ์ ศิริสานนท์’ และยังมีเรื่องเล่าขำๆ ว่าใครมีลูกในช่วงนั้นมักตั้งชื่อเล่นว่า ‘ซีเกมส์’

อย่างไรก็ตาม ทุกการจัดงานย่อมมีความท้าทาย การจัดซีเกมส์ที่เชียงใหม่ก็ไม่ต่างกัน เพราะเชียงใหม่ในวันนั้นยังไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวเหมือนทุกวันนี้ และยังไม่มีปัจจัยที่รองรับการเป็นเจ้าภาพ ทั้งสนามกีฬาเทศบาลของนครเชียงใหม่ที่มีพื้นที่จำกัด และโรงแรมที่กระจัดกระจายในเมือง

ชวนย้อนเวลา เจาะลึกอินไซต์เบื้องหลังการจัดงานซีเกมส์ยุคก่อนด้วยข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ ‘กว่าจะมาเป็นซีเกมส์ที่เชียงใหม่’ โดยชมรมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ ที่จะพาไปถอดบทเรียนการจัดซีเกมส์ในอดีต

มาสคอตแมวถือร่มบ่อสร้างกับข้อถกเถียงเรื่องช้าง

มาสคอตของซีเกมส์ครั้งที่ 18 คือแมววิเชียรมาศ ชื่อ ‘สวัสดี’ (Sawasdee) เป็นแมวไทยโบราณซึ่งเป็นสัตว์นำโชค เจ้าแมวตัวนี้ถือ ‘ร่มบ่อสร้าง’ ซึ่งเป็นสินค้าหัตถกรรมขึ้นชื่อของอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตั้งใจสื่อถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยงานครั้งนี้มีการทำรูปปั้นและของที่ระลึกมากมายจากน้องแมวตัวนี้

แม้ทุกวันนี้หลายคนจะจดจำสัญลักษณ์แมววิเชียรมาศในเชิงบวก แต่บันทึกเบื้องหลังการจัดงานโดยคนเชียงใหม่ระบุว่า หลายคนมองว่า การใช้มาสคอตเป็นช้างน่าจะเหมาะกว่า เพราะเชียงใหม่ผูกพันกับช้างในหลายมิติ ทั้งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและปรากฏในชื่อสถานที่ต่างๆ เช่น ถนนและตำบลช้างม่อย ประตูช้างเผือก อนุสาวรีย์ช้างเผือก ถนนช้างคลาน วัดล่ามช้าง วัดช้างค้ำ ฯลฯ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวอย่างการแสดงของช้างและโรงเรียนฝึกลูกช้าง หากมีช้างเป็นสัญลักษณ์น่าจะช่วยดึงดูดการท่องเที่ยวได้อีกต่อ

การใช้แมวเป็นมาสคอตนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า แม้มาสคอตจะน่ารัก แต่เชียงใหม่แทบไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับแมววิเชียรมาศ อีกทั้งกระบวนการคัดเลือกมาสคอตยังมาจากกรุงเทพฯ โดยไม่ได้สอบถามความเห็นจากคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นโจทย์ที่น่าคิดว่า นอกจากความน่ารักและการดึงดูดความสนใจ มาสคอตยังสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติอื่นได้มากน้อยเพียงใดนอกจากเป็นภาพประชาสัมพันธ์ และกระบวนการออกแบบมาสคอตควรมีส่วนร่วมกับคนในพื้นที่มากกว่านี้หรือไม่

ซีเกมส์ที่ระลึกผ่านแสตมป์และของสะสม 

หนึ่งในของที่ระลึกที่โดดเด่นคือการนำแมววิเชียรมาศมาทำเป็นลายบนกระป๋องโค้กร่วมกับ Coca-Cola นอกจากนี้ยังมีแสตมป์การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่แสดงภาพกีฬาฟันดาบ สนุกเกอร์ กระโดดน้ำ กระโดดค้ำถ่อ และเหรียญที่ระลึกตราซีเกมส์ให้สะสม รวมถึงสินค้าของสะสมหลากหลายประเภทที่วางขายตามร้านค้าทั่วไป ทั้งตุ๊กตามาสคอต ถ้วย จาน ที่รองแก้วกาแฟ และเสื้อตราซีเกมส์

สิ่งที่น่าทึ่งคือการโฆษณาซีเกมส์ในยุคไร้โซเชียลมีเดียที่ต้องใช้สื่อประชาสัมพันธ์แบบคลาสสิก เช่น แสตมป์ที่กลายเป็นของสะสมวินเทจในปัจจุบัน และการประชาสัมพันธ์ผ่านโทรทัศน์ด้วยเพลง ‘เปลวไฟในไอหมอก’ เพลงประจำการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 18 ที่ออกอากาศหลายเดือนก่อนวันแข่ง รวมถึงการเผยแพร่บทกลอน ‘เปลวไฟในไอหมอก’ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เชียงใหม่ ซึ่งเมื่อย้อนมาดูในยุคนี้ก็ยังคงความละเมียดละไมอยู่ไม่น้อย และนี่คือบางส่วนของบทกลอน

‘เปลวไฟในไอหมอก…หยอกขุนเขา เย็นร่มเงาพันธุ์ไม้อยู่ไม่ห่าง สิบประเทศรวมใจไม่จืดจาง บนเส้นทางกีฬาสามัคคี ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพ ทั่วโลกทราบทั้งสิ้นทุกถิ่นที่ เลือกเชียงใหม่มาตรฐานจัดการดี ประเพณีวัฒนธรรมนำชีวิต ณ ดินแดนดอกเอื้องเมืองเชียงใหม่ รับงานใหญ่ “ซีเกมส์” อิ่มเอมจิต การกีฬาเชื่อมประสานสมานมิตร ร่วมความคิดร่วมพลังร่วมสังคม…’

กลับมาที่ยุคโซเชียลมีเดียในวันนี้ที่เอื้อต่อการประชาสัมพันธ์งานกว่ายุคก่อนมาก คำถามคืออะไรที่ทำให้ซีเกมส์ไทยเป็นที่น่าจดจำจน ผู้คนระลึกถึงงานแม้เวลาผ่านไปเนิ่นนานดังเช่นของที่ระลึกเหล่านี้ อะไรที่ทำดีแล้วและควรรักษาไว้ อะไรที่ควรพัฒนาต่อไปเพื่อทำให้ดีขึ้น

สร้างสนามกีฬาใหม่ ต้องใหญ่แค่ไหนถึงจะพอดี

ก่อนเตรียมจัดการแข่งขันซีเกมส์ในครั้งนั้น เชียงใหม่มีสนามกีฬาเทศบาลที่ไม่พร้อมสำหรับงานใหญ่และไม่สามารถขยายสนามได้ จึงริเริ่มสร้าง ‘สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี’ เพื่อใช้เป็นสนามหลักในการแข่งขัน และยังมีการกระจายสนามแข่งขันกีฬาทั่วจังหวัด ได้แก่ โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว สำหรับแข่งบิลเลียดและสนุกเกอร์

รูป : Facebook สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี

แม้จะมีผู้ชมชื่นชมพิธีเปิดที่อลังการและวิวทิวทัศน์ที่ถ่ายทอดสดออกมาสวยงาม แต่เบื้องหลังกลับมีบันทึกว่า
สนามกีฬาที่สร้างใหม่แห่งนี้เดิมตั้งใจสร้างเมนสเตเดียมให้จุผู้ชมได้ 60,000 คน แต่ภายหลังการประชุมจากคณะกรรมการหลายฝ่าย ขนาดสนามถูกลดลงเหลือเพียง 20,000 คน เนื่องจากกังวลว่าการสร้างใหญ่เกินไปจะไม่เหมาะสมและดูแลยาก

การลดขนาดสนามลงหลายเท่านี้ ทำให้มีผู้วิจารณ์เรื่องวิสัยทัศน์ระยะยาวว่า ในวันแข่งขันจริง ผู้ที่อยู่ในสเตเดียมหลักประกอบด้วยนักกีฬา เจ้าหน้าที่ นักแสดง สื่อมวลชน แขกรับเชิญ ผู้มีเกียรติ และกรรมการ ทำให้พื้นที่สำหรับประชาชนทั่วไปเหลือน้อยมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าคำนึงถึง เพราะสนามกีฬาแห่งนี้ถูกนำมาใช้ระยะยาว รวมถึงการแข่งขันซีเกมส์ปีนี้ที่ใช้เป็นสนามฟุตบอลชายรอบแบ่งกลุ่ม และมีโอกาสใช้จัดการแข่งขันระดับประเทศอีกหลายครั้งในอนาคต

ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดและเป็นประโยชน์ต่องานให้มากที่สุด

คำวิจารณ์จากหนังสือ ‘กว่าจะเป็นซีเกมส์ที่เชียงใหม่’ โดยชมรมผู้สื่อข่าวเชียงใหม่ ได้สรุปข้อคิดเห็นด้านความท้าทายในการจัดงานซีเกมส์ครั้งนั้นไว้ว่า “สิ่งที่จะต้องทำกันอย่างที่สุดก็คือ จะต้องมองดูว่าที่ผ่านๆ มานั้นมีอะไรพลาดไปบ้าง และที่น่าจะเป็นไปในอนาคตนั้นจะทำอะไรที่จะแก้ความผิดพลาดบ้าง ความผิดพลาดที่เห็นอยู่นั้นก็ได้แก่ การที่คนรู้งานบางคนไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับงาน” 

“ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดและเป็นประโยชน์ต่องานที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด ถ้าจะให้เมืองเชียงใหม่ได้รับการกล่าวขานไปในทางที่ดีที่งาม สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่จะมาแอ่วมาเยือนแล้วละก็ ทำในสิ่งที่ควรทำ มอบงานให้ถูกกับคนที่เหมาะสมกับงานเถอะครับ ปัญหาต่างๆ มันจะลดน้อยลงไปบ้าง”

จะเห็นได้ว่าเบื้องหลังการจัดซีเกมส์ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วก็เต็มไปด้วยความท้าทายไม่น้อย ทั้งการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ตรงกันและการออกแบบกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างหลายฝ่าย ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยังคงพบได้เมื่อจัดกิจกรรมระดับประเทศ

คำถามคือ ประเทศไทยวันนี้เปลี่ยนไปจากซีเกมส์เมื่อ 30 ปีก่อนไปมากน้อยเพียงใด ประเทศเราควรพัฒนาหรือปรับปรุงอะไรเพื่อให้ซีเกมส์เป็นงานที่ทุกฝ่ายภูมิใจ ชวนแลกเปลี่ยนความเห็นกันใต้คอมเมนต์

อ้างอิง

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like