trick or teach

เคล็ดลับไม่มีหลอกของ ‘Casper Schools’ โรงเรียนที่สอนให้เป๊ะทุกงานดีไซน์ตั้งแต่นับ 1

โรงเรียนสอนดีไซน์นี้มีชื่อจำง่ายแค่ 4 พยางค์คือ ‘Casper Schools’ 

แม้ชื่อแคสเปอร์จะหมายถึงคาแร็กเตอร์ผีน้อยน่ารักแห่งโลกฮอลลีวูด แต่อีกนัยหนึ่งชื่อแคสเปอร์ยังหมายถึง ‘ผี’ ที่ทำงานและคอยซัพพอร์ตให้แบรนด์ต่างๆ เติบโตในโลกธุรกิจ

Casper Schools ก่อตั้งโดย ทู–วรินรำไพ วาสินานนท์, ตี้–วรินลดา วาสินานนท์ และกฤษฏ์–กฤษฏ์ การสมดี ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมดีไซน์เอเจนซีอย่าง Casper House ที่ตัดสินใจเปิดอีก business unit เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังก้าวสู่เส้นทางธุรกิจหรือคนที่สนใจในงานดีไซน์ ด้วยหลักสูตรที่นำไปใช้งานได้จริง และปรับมายด์เซตผู้เรียนให้เห็นว่างานสร้างสรรค์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด

งานออกแบบที่ดีเป็นยังไง, อยากดีไซน์เป็นต้องเริ่มจากตรงไหน, สร้างคอนเทนต์ยังไงให้สื่อสารตรงเป้าถึงผู้รับ, เลือกฟอนต์ยังไงให้เข้ากับแบรนดิ้ง ฯลฯ โจทย์ไหนที่ว่ายากเหมือนเห็นผี Casper Schools นำมาย่อยให้เข้าใจง่ายผ่านคอร์สหลักสูตรการสอน 

มากกว่านั้นคือการปรับมายด์เซตเสียใหม่ ว่างานครีเอทีฟและดีไซน์ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องเข้าใจถึง ‘จุดประสงค์’ ที่ลงมือทำ 

เคล็ด (ไม่) ลับที่ทำให้คนทำธุรกิจเข้าใจเรื่องงานครีเอทีฟและดีไซน์ฉบับการเรียนการสอนของแคสเปอร์สคูลส์เป็นแบบไหน เราชวนทูและตี้ 2 ใน 3 ผู้ก่อตั้งมาแถลงไขให้กระจ่างผ่านบทสนทนานี้ 

การันตีว่าว่าไม่มีหลอกให้ขวัญกระเจิงแน่นอน…

คนเอเจนซีที่อยากให้คนทำธุรกิจเข้าใจเรื่องงานครีเอทีฟดีไซน์

“เราอยากให้ผู้ประกอบการธุรกิจหรือคนทำงานเข้าใจเรื่องงานดีไซน์มากขึ้น” 

ทูเริ่มต้นบทสนทนาโดยมีตี้นั่งอยู่ข้างๆ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเองภายในออฟฟิศของ Casper House ที่ตั้งอยู่ ณ ย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม ซึ่งอีกครึ่งหนึ่งของออฟฟิศถูกแบ่งสัดส่วนไว้สำหรับเป็นสตูดิโอที่หยุ่นทั้งการทำงานและการเป็นห้องเรียน

Casper เริ่มต้นจากการเป็นดีไซน์เอเจนซีที่ให้คำปรึกษาเรื่องการสร้างแบรนด์ (Branding), การออกแบบอัตลักษณ์แบรนด์ (Corporate Identity), การออกแบบคอนเทนต์เพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ (Content Marketing), การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ไปจนถึงการถ่ายภาพและวิดีโอ (Photography and Videography) 

ถึงกระนั้นสิ่งที่ทูและอีก 2 ผู้ก่อตั้งตกผลึกทางความคิดร่วมกันหลังทำงานในชายคา Casper House มาตลอด 7 ปี คือลูกค้าที่เป็นเจ้าของธุรกิจ SME ยังขาดความเข้าใจพื้นฐานเรื่อง ‘ดีไซน์’ ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ความเข้าใจในการใช้โปรแกรม แต่หมายถึงความเข้าใจในงานดีไซน์ที่หยิบยกไปใช้ในงานธุรกิจได้

“มายด์เซตของผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่มักแยกเรื่องของ business กับ design ออกจากกัน คือเรื่องธุรกิจก็เรื่องธุรกิจ เรื่องของดีไซน์ความสวยงามก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ค่อยลงลึกเรื่องความสำคัญของการดีไซน์ วิชาที่เราเรียนกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมส่วนใหญ่เป็นเรื่องของศิลปะ นั่นทำให้คนไทยเชื่อมโยงเรื่องของศิลปะกับการดีไซน์เข้าด้วยกัน ทั้งที่จริงในต่างประเทศเขามองเรื่องของการออกแบบเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาในโลกธุรกิจ ซึ่งมีทั้งเหตุและผลรองรับเป็นระบบ 

“เราค้นพบว่าลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาส่วนใหญ่เผชิญกับปัญหาที่ว่า เราในฐานะที่เป็นดีไซน์เอเจนซีจึงมีหน้าที่ตีโจทย์และใช้เรื่องการออกแบบแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เช่น ถ้ารู้สึกว่าตัวตนของแบรนด์ไม่ชัดเจนว่าแบรนด์เราเป็นใคร ก็ต้องกลับไปทำ brand strategy ใหม่, ถ้ารู้สึกว่าดีไซน์ของแบรนด์ไม่ชัดหรือไม่ตรงกับตัวตนแบรนด์ ก็อาจจะต้องทำ brand identity ให้ตอบโจทย์ความเป็นแบรนด์มากขึ้น หรือถ้าตัวตนชัดและอยากสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ อยากให้เกิด brand lover ก็อาจจะต้องทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพให้สม่ำเสมอ”

“เราเชื่อว่าเรื่องของดีไซน์ ธุรกิจ และกลยุทธ์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้มันควรจะต้องไปด้วยกัน ดังนั้นเราอยากให้ลูกค้าและใครหลายๆ คนเข้าใจคอนเซปต์ตรงนี้ด้วย ไม่ใช่พาร์ตดีไซน์ไปอีกทาง พาร์ตธุรกิจไปอีกทาง” ทูกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ตี้กล่าวเสริมอีกว่าไม่ใช่แค่ฝั่งคนทำธุรกิจเท่านั้นที่ควรปรับความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดีไซน์และธุรกิจ ฝั่งนักศึกษาหรือคนที่จบหลักสูตรดีไซน์เองก็ยังต้องปรับมายด์เซตตรงจุดนี้เช่นกัน 

“อย่างน้องๆ นักศึกษาที่เรียนจบด้านดีไซน์ ตอนเรียนเขาอาจจะเจอโจทย์จากอาจารย์แค่เรื่องการนำเสนอคอนเซปต์ ไอเดียสดใหม่ไหม เป็นไอเดียออริจินอลที่ไม่ซ้ำกับใคร แต่พอมาทำงานจริงสมมติต้องทำโพสต์โซเชียลฯ ที่มีบรีฟชัดเจนสักชิ้น ปรากฏว่าไอเดียที่น้องนำมาเสนอมันไม่ตอบโจทย์กับความเป็นธุรกิจ คือเป็นไอเดียที่ดีนะ แต่ดูแล้วไม่สามารถเข้าใจได้ทันที คืองานออกแบบที่ดีควรทำให้คนเห็นเข้าใจโดยที่ไม่ต้องอธิบาย หมายความว่างานนั้นให้น้ำหนักความเป็นอาร์ตมากไป หรือเป็นงานที่ดีไซน์ซับซ้อนจนไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง   

“ต้นเหตุอาจจะมาจากการถูกปลูกฝังตลอดระยะเวลา 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย ว่าการออกแบบตามโจทย์ ที่ตรงตัวหรือเข้าใจง่ายเกินไปมันจะดูธรรมดา แต่ในชีวิตจริงสิ่งสำคัญที่คนดีไซน์ควรคำนึงถึงคือเรื่อง ‘user experience’ (ประสบการณ์ใช้งาน) เรียบง่ายก็จริงแต่สามารถสื่อสารออกไปได้ตรงจุด ปรับวิธีการทำงานให้เข้ากับโจทย์ แล้วอนาคตถ้ามีโปรเจกต์ส่วนตัวจะใส่ความเป็นตัวเองเต็มที่ก็ยังได้”

ออกแบบหลักสูตรที่คำนึงถึง ‘การใช้งานจริง’ มากกว่า ‘รู้ไว้ใช่ว่า’

จากความตั้งใจนั้นเอง Casper House จึงขยายบ้านอีกหลังที่ชื่อว่า Casper Schools โรงเรียนสอนหลักสูตรงานครีเอทีฟดีไซน์ 

หลักสูตรของ Casper Schools ณ เวลานี้แบ่งออกเป็น 2 พาร์ต นั่นคือ Practical พาร์ตที่สอนวิธีคิดและวิธีการทำงานออกแบบซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ทันที และ Program Design พาร์ตที่สอนการปฏิบัติใช้โปรแกรมดีไซน์ประเภทต่างๆ อย่างถึงพริกถึงขิง

 อย่างไรก็ดี ทูและตี้นิยามการเรียนการสอนของ Casper Schools ว่าเป็นการพาผู้เรียน ‘ค้นหา’ ว่าแท้จริงเป้าหมายในการเรียนของตนเองคืออะไร เพื่อให้การเรียนนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและนำไปต่อยอดใช้งานได้จริง 

“เรา 2 คนน่าจะคิดแบบเดียวกันคือ practicality ทั้งในมุมที่เป็นฝั่งเอเจนซีและในมุมที่เป็นฝั่ง school เพราะเราอยากสอนอะไรที่ใช้ได้จริง ทั้งในมุมที่เป็นฝั่งเอเจนซีและในมุมที่เป็นฝั่ง school เพราะเราอยากสอนอะไรที่ใช้ได้จริง และฟีดแบ็กส่วนใหญ่ของผู้เรียนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันใช้ได้เลย 

“โดยรวมเราจึงให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นลำดับแรก คือคุณเรียนรู้เครื่องมือของโปรแกรมอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายเรื่องของโปรแกรมมันเป็นแค่ปลายทาง เพราะสิ่งสำคัญจริงๆ คือเรื่องของวิธีคิดและวิธีการทำงาน

“อย่างการทำงานเรามองว่าไม่ควรให้เครื่องมือเป็นตัวกำหนด บางคนอาจจะใช้โปรแกรมนี้ไม่เป็น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นนักออกแบบที่เก่งไม่ได้ หรือบางคนอาจจะใช้โปรแกรมเป็นแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นนักออกแบบ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามสื่อสารผ่านในคลาสและการทำคอนเทนต์ในเพจของเรา” ทูกล่าวให้เราฟัง

หากเปิดเข้าไปในหน้าเว็บไซต์ casperschools.co จะพบว่ามีคลาสการเรียนการสอนที่น่าสนใจให้เลือกไม่น้อย เช่น Idea Visualization with Mood Board: เปลี่ยนไอเดียให้เป็นภาพจริงด้วยการทำมู้ดบอร์ด, A Comprehensive Color Theory: Unlocking The Power of Color ไขรหัสทฤษฎีสีเพื่อการใช้สีอย่างมีหลักการ, Designing Social Media Artwork: ออกแบบอาร์ตเวิร์กโซเชียลมีเดียให้สวยงาม และตอบโจทย์ ฯลฯ 

หัวข้อของแต่ละคอร์สที่กล่าวมามีความจำเพาะเจาะจงถึงวัตถุประสงค์การใช้งาน มากกว่าการใช้ชื่อโปรแกรมเป็นหัวข้อ ซึ่งทูอธิบายว่าการออกแบบการเรียนการสอนในลักษณะนี้ทำให้ผู้เรียนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าตนเองเหมาะสมกับคลาสไหน

“สมมติคุณไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องเรียนอะไร เราจะมีแอดมินช่วยแนะนำว่ามีหลักสูตรอะไรบ้างที่เหมาะสม หรือถ้าเป็นมือใหม่อยากเรียนรู้เรื่องดีไซน์ก็มีจะคอร์สปูพื้นฐานตั้งแต่การปรับมายด์เซต หรือถ้าทำธุรกิจก็อาจจะข้ามเรื่องมายด์เซตแล้วไปเรียนรู้หลักสูตรที่นำไปใช้งานได้จริง เช่น คอร์สที่เกี่ยวกับการทำมู้ดบอร์ดหรือคอร์สที่เกี่ยวกับ designing social media ซึ่งเราย่อยออกมาให้เข้าใจง่ายที่สุด

“อย่างคอร์สที่เป็นซิกเนเจอร์ของเราคือ ‘คอร์สสอนการทำแบรนดิ้ง’ ซึ่งจะสอนตั้งแต่พาร์ตธุรกิจจนนำไปสู่พาร์ตการออกแบบ เช่น การทำ CI brand กับอีกคอร์สคือ ‘Idea Visualization With Moodboard’ แต่ละคอร์สที่ว่าเราใช้เวลาในการคิดกันนาน คิดกันเยอะมาก บางคอร์สเราอยากเล่าทั้งหมดแต่ต้องตัดทิ้งเพราะกลัวนักเรียนจะโฟกัสได้ไม่หมดก็มี”

ตี้เสริมว่าการสอนภาคปฏิบัติของ Casper Schools ที่เธอดูแล ไม่ใช่การจับมือนักเรียนให้ทำตามทีละขั้นตอน แต่ระหว่างทางยังมีการสอดแทรกให้ฟังตลอดทางว่าโปรแกรมที่กำลังเรียนรู้อยู่นำไปต่อยอดสร้างสรรค์อะไรได้บ้าง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการอุด pain point ที่เธอเคยเจอในอดีต

“เราเคยสมัครเรียนโปรแกรมดีไซน์กับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ สิ่งที่เราเจอคือเขาให้เราเปิดโปรแกรมแล้วกดเครื่องมือตามเขาไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์คือเราไม่รู้จะเอาเครื่องมือนี้ไปใช้อะไรต่อในชีวิตจริง พอตกผลึกเราถึงรู้ว่าการสอนโดยเริ่มจากปลายทางมันดีกว่า เช่น เราอยากจะดีไซน์กล่องกล่องหนึ่งมันมีวิธีไหนได้บ้าง มากกว่ารู้แค่ว่าโปรแกรมนี้ทำอะไรได้บ้าง ไม่งั้นนักเรียนจะไม่รู้ว่าควรหยิบสิ่งที่รู้มาใช้ตอนไหน หรือนักเรียนที่เข้าใจได้ช้ากว่าก็อาจจะตามไม่ทันเลย

“กับการสอนของเราซึ่งเป็นการสอนเรื่องแนวคิดการออกแบบที่ไม่ใช่โปรแกรม จะเน้นการวิเคราะห์งานชิ้นนั้นๆ มากกว่าชวนกันนั่งจำทฤษฎี ข้อดีคือทำให้นักเรียนเห็นแนวคิดตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางของการดีไซน์งานชิ้นนั้น ซึ่งตัวอย่างที่เรายกไม่ใช่ผลงานที่เราเคยทำมา แต่เป็นงานรางวัลระดับโลกที่ประสบความสำเร็จได้รับรางวัล เพื่อเปิดมุมมองให้คนที่กำลังจะเข้าสู่สายงานนี้ได้เห็นว่าปลายทางของงานออกแบบที่ดีเป็นแบบไหน และทำให้เขาเข้าใจสายงานที่กำลังเดินอยู่มากขึ้น”

Casper School ที่ต้องเติม S

อย่างที่เกริ่นนำไปว่าชื่อ Casper House และ Casper Schools นั้นมีที่มาจากชื่อตัวการ์ตูนผีน้อยผู้น่ารักอย่างแคสเปอร์ แต่ถ้าสังเกตจะเห็นว่าคำหลังของชื่อ Casper Schools มีการเติม ‘s’ ต่อท้าย ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นต้องเติมก็ได้ 

ทั้งสองเฉลยว่า สาเหตุที่มีการเติม s ลงไปนั้น เพราะในอนาคตพวกเขาอยากเป็นมากกว่า School of Design ซึ่งอาจแตกแขนงไปสู่ business unit ใหม่ภายใต้ร่มความเป็น Casper เช่น School of Business

นอกจากการแตกแขนงแบรนด์หรือเรื่องหลักสูตร อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่ Casper ออกแบบ ‘สถานที่’ ให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งาน สามารถขยับการเรียนการสอนไปได้ทั่วทุกมุมห้อง ดังนั้นเราจึงเห็นวิธีดีไซน์สถานที่ของพวกเขาในแบบ ‘สไตล์มินิมอล’ ให้ความรู้สึกน้อยแต่มาก

“เราคุยกันว่าอยากออกแบบสถานที่ให้ยืดหยุ่นมากที่สุด” ตี้เล่าถึงดีไซน์ของห้องเรียนภายใน Casper Schools 

“จะเห็นว่าทุกมุมสามารถทำเป็นห้องการเรียนการสอนได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าการทำงานของฝั่งเอเจนซีจะกระทบ สมมติเราอยากใช้ตรงนี้สอนเราก็ย้ายพนักงานไปอีกห้อง หรืออยากใช้ตรงนี้เป็นสตูเราก็แค่เซต Limbo (Paper Background) ขึ้นมาเพื่อเป็นแบ็กกราวด์ถ่ายงาน

“และด้วยความที่ห้องมันเป็นสีขาวทั้งหมดทำให้เราลงมือทำอะไรก็ได้ สมมติเราอินเรื่องนี้มากๆ แล้วอยากลงมือทำก็ทำได้เลย เราก็แค่เซตพื้นที่นิดหน่อย และถ้าวันหนึ่งเราไม่อยากทำต่อก็แค่ปรับพื้นที่กลับเหมือนเดิม อีกแง่คือสีขาวมันให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง พร้อมสำหรับการเรียน การทำงาน” 

ด้วยดีไซน์นี้บรรจบกับหลักสูตรการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความสบายใจตลอดระยะเวลา 4-8 ชั่วโมงในคลาส แม้คลาสนั้นจะมีนักเรียนมากถึง 10-20 คนก็ตาม

เพื่อนที่เข้าใจคนรักงานครีเอทีฟดีไซน์

อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คนรู้จัก Casper Schools เป็นที่รู้จัก คือการทำคอนเทนต์วิดีโอสั้นๆ และไลฟ์ให้ความรู้เกี่ยวกับแง่คิดเรื่องครีเอทีฟดีไซน์ที่ทูและตี้ทำร่วมกันเป็นประจำ ผลพลอยได้จากการทำคอนเทนต์ลักษณะนี้ คือการส่งต่อความรู้ความเข้าใจแก่คนที่กำลังตกหล่มเรื่องงานครีเอทีฟดีไซน์ บ้างก็ได้แรงบันดาลใจในสร้างสรรค์ผลงาน บ้างก็ได้ไอเดียไปต่อยอดจากไอเดียที่มีอยู่ 

@casper.schools

ตัวอักษรแต่ละแบบ มีน้ำหนัก จังหวะ และบุคลิกของตัวเอง 💥 Typography คือศาสตร์ที่จะช่วยให้เรา “มองเห็น” สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ตั้งแต่ระยะห่างเพียงเส้นเดียว ไปจนถึงอารมณ์ของข้อความที่ส่งถึงคนดู คอร์สนี้ไม่ได้สอนให้จำชื่อฟอนต์ แต่จะสอนให้เข้าใจว่าทำไมฟอนต์หนึ่งถึงพูดด้วย “น้ำเสียง” ที่ต่างจากอีกฟอนต์หนึ่ง Understanding the Art of Typography: คอร์สนี้จะเปลี่ยนวิธีที่คุณมองตัวอักษรไปสิ้นเชิง! จากเลือกฟอนต์ตามความรู้สึก 👉🏻 สู่การเข้าใจโครงสร้าง พลัง และการใช้งานแบบมืออาชีพ🔥👀 เรียนแล้วจะได้อะไร? 🔠 เข้าใจโครงสร้างและหลักการของ Typography 📐 จัดวางตัวอักษรให้สื่อสารชัด ตรงจุด และดูเป็นมืออาชีพ 👁️ ฝึกมองเห็นความต่างระหว่าง “สวย” กับ “โปร” 🛠️ ใช้ฟอนต์และ Hierarchy แบบนักออกแบบจริงๆ 💬 เหมาะกับทั้งดีไซเนอร์ทุกสาย นักเรียนออกแบบ และเจ้าของแบรนด์ที่อยากเข้าใจ Typography แบบลึกซึ้ง 👓 เรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ 🗂️ มีเอกสารประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลด 🖥️ วิดีโอความยาว 4 ชั่วโมง 🗓️ สามารถจัดการเวลาเรียนเองได้ ⏰ คอร์สเรียนมีอายุ 18 เดือน นับจากวันที่สมัคร #typography #onlinecourse #casperschools

♬ original sound – Casper Schools – Casper Schools

“จริงๆ การที่เราทำคอนเทนต์ลงบนโซเชียลฯ เป็นเหมือนการแนะนำแบรนด์ให้คนนอกเห็น ว่าถ้าเขาเข้ามาเรียนจะเจอกับบรรยากาศประมาณไหน ซึ่งสิ่งที่เราพยายามนำเสนอคือเราไม่ได้เป็นกูรูที่จะมาบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เราจะมาแบ่งปันเนื้อหาที่มีประโยชน์ และไม่ถูกตัดสินว่าคุณมีความรู้เรื่องพื้นฐานดีไซน์เท่านี้คุณต้องไปเรียนคลาสนี้สิ หรือคุณไม่ได้เป็นดีไซเนอร์คุณจะมาเรียนคลาสนี้ทำไม โดยรวมคือแค่คุณอยากมีทักษะครีเอทีฟดีไซน์คุณก็มาเรียนได้ ที่ผ่านมาถึงมีผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจมาลงเรียนกับเราเยอะมาก บางคนกลับไปเลือกที่จะซื้อคลาสให้พนักงานมาลงเรียนเพิ่มก็มี

“ส่วนเนื้อหาคอนเทนต์ที่เราเลือกจะเน้นไปที่คอนเทนต์ที่มีประโยชน์ ทำให้คนที่เข้ามาดูเหมือนมาเจอเพื่อน หรือรู้สึกว่าเราเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ ซึ่งฟีดแบ็กที่ได้กลับมาส่วนใหญ่บอกกับเราว่า คอนเทนต์ของเราทำให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ไม่ว่าจะการทำงาน หรือน้องๆ นักศึกษาที่กำลังทำทีสิส เขาบอกกับเราว่าตอนหนูคิดงานไม่ออกหนูจะเข้ามาดูเพจของแคสเปอร์ แล้วก็นั่งอ่านไปเรื่อยๆ จนเขาเหมือนได้รีเฟรชตัวเอง และได้ไอเดียบางอย่างกลับไป” ทูเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองยังบอกกับเราว่า ประโยชน์จากการทำคอนเทนต์ยังทำให้ได้ไอเดียและรู้ว่าเทรนด์โลกกำลังไปในทิศทางไหน เหล่านี้คือ ‘สารตั้งต้นชั้นดี’ ในการออกแบบคอร์สใหม่ๆ ในอนาคต 

“เราไม่ได้อยากเป็นโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่เราอยากให้ Casper Schools เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่อยากเรียนหรือทำงานในสายครีเอทีฟดีไซน์ โดยที่ความรู้จากเราสามารถนำไปปรับใช้ได้ตลอดชีวิต” ทูทิ้งท้ายบทสนทนาของเธอและทีม

ในอนาคตเราอาจได้เห็นผีน้อยตัวนี้เสกหลักสูตรดีไซน์มากมายนับไม่ถ้วน เพราะอย่างว่า ผีเองก็แปรเปลี่ยนไปตามจินตนาการ แต่เรื่องของความคิดสร้างสรรค์เองจะเกิดขึ้นได้หากทิ้งความกลัวและกล้าที่จะศึกษาพร้อมลงมือทำ      

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ทำงานให้งานมันท้อเรา ig : chinnakanc

You Might Also Like