World Wrestling x Entertainment
WWE x Netflix คู่แท็กแสนล้านที่พามวยปล้ำสร้างปรากฏการณ์ในโลกยุคใหม่
Match : Monday Night Raw (5 ม.ค. 2025)
ภาพความทรงจำที่เคยจางค่อยๆ กลับมาชัดอีกครั้ง
อังเดร เดอะ ไจแอนต์, ฮัล์ก โฮแกน, ดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์, มิค โฟลีย์ ศึกต่างๆ ในอดีตมากมาย
“เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าวีรบุรุษ แต่รวมถึงเหล่าร้ายด้วย เพราะพวกเขาต่างต้องการกันและกัน เช่นกันกับที่พวกเราต้องการพวกเขา
“เพื่อบอกเล่าเรื่องราว”
‘The Game’ ทริปเปิล เอช ประกาศก้องบนเวทีต้อนรับผู้ชมทุกคน ไม่ใช่เฉพาะใน Intuit Dome แต่เป็นอีกหลายล้านคนทั่วทั้งโลกที่ได้รับชมพร้อมกันสดๆ
“ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคสมัยของ Netflix!”

มีใครเคยชอบดูมวยปล้ำบ้างไหมครับ?
ผมเดาเอาเองว่าคุณผู้อ่านหลายๆ คนน่าจะมีโอกาสได้ดูมวยปล้ำบ้างโดยเฉพาะในสมัยที่เรายังเด็กๆ ที่โลกใบเล็กของเรายังไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาอะไรเล่นหรือดูอะไรสนุกๆ ในเวลาว่างที่มีมากมายเสียเหลือเกิน
มวยปล้ำ (wrestling) ถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวสำหรับเด็กๆ ถึงแม้ว่าจะดูเป็นกีฬาที่รุนแรง มีการใช้คำพูดคำจาไม่น่าฟังบ้าง แต่โดยเนื้อแท้แล้วถือเป็นหนึ่งในบทเรียนที่สอนทุกคนได้ดีพอสมควรในเรื่องของโลกและชีวิต
ฮีโร่กับวายร้าย ธรรมะกับอธรรม ขาวกับดำ คนสีเทา การเติบโตและเปลี่ยนแปลง
ความพยายาม ความมานะ ความอดทน
และหัวใจที่สู้ไม่ถอย
พูดแล้วภาพของฮัล์ก โฮแกน, สติง, ริค แฟลร์, มาโชแมน แรนดี้ ซาเวจ, ดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์, สโตนโคลด์ สตีฟ ออสติน, เจค เดอะ สเนก โรเบิร์ตส, ลอร์ด สตีเวน รีกัลล์, พี่น้องสไตเนอร์, ชอว์น ไมเคิล, ริคกี้ เดอะ ดราก้อน สตีมโบต, เดอะ เกรท มูตา, ดิ อันเดอร์เทคเกอร์, อังเดร เดอะ ไจแอนต์, บิ๊ก แวน เวเดอร์, เรเซอร์ เรมอน, ทริปเปิล เอช, เอ็กซ์แพ็ก, เรย์ มิสเทริโอ จูเนียร์, โกลด์ ดัสต์, บิลล์ โกลด์เบิร์ก, จอห์น ซีนา และอีกมากมายก็ลอยขึ้นมาไม่หยุด
พร้อมกับศึกในความทรงจำส่วนตัวมากมายที่หาได้ตามร้านเช่าวิดีโอ ในสนนราคาสมัย 30 ปีที่แล้วที่ม้วนละ 20 บาท ที่จะต้องรีบดูให้จบโดยเร็วเพื่อจะไปเช่าม้วนต่อไปมาดู หรือต้องคอยถามเจ้าของร้านว่าตอนใหม่มาหรือยัง
และเสียงบรรยายสนุกๆ ตลกๆ ของ ‘น้าติง’ สุวัฒน์ กลิ่นเกษร ผู้เป็นที่รักของแฟนมวยปล้ำชาวไทยทุกคน

อ้อ! เมื่อสักครู่ผมบอกว่ามวยปล้ำเป็นกีฬา
มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวนะครับ เผื่อบางคนอาจจะไม่รู้จริงๆ เพราะอีกครึ่งของมวยปล้ำคือการแสดง เป็นโชว์อย่างหนึ่ง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกร้อยรัดด้วยเรื่องราวที่ตั้งใจเขียนมาอย่างดี มีการกำกับบทกันเป็นอย่างดี โดยทีมงานเขียนบทจะคอยเช็กตลอดว่ากระแสของผู้ชมไปในทิศทางไหน และควรจะเล่าเรื่องต่อยังไงเพื่อให้เรารู้สึกสนใจและผูกพันกับตัวละครต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในฝ่ายธรรมะผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ หรือสำหรับบางคนอาจจะชอบใจความเด็ดเดี่ยวหรือเห็นใจตัวละครฝ่ายอธรรมบางคนขึ้นมา
ในวัยเด็กสมัยก่อนนั้นเราดูก็เชื่อหมดครับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แม้ว่าบางอย่างมันจะดูแปลกๆ เช่น ปาปา ชางโก นักมวยปล้ำที่รับบทเป็นพ่อมดวูดู มาสาปใส่คู่ปรับอย่างดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์ จนปวดท้องตัวบิดตัวงอไปหมด (ตัวจริงของปาปา ชางโก เป็นคุณลุงสุภาพใจดีที่น่ารักมาก)
ส่วนเด็กที่ได้ติดตามในเจเนอเรชั่นหลังๆ จนถึงปัจจุบันก็น่าจะรู้เท่ารู้ทันกันหมดว่านี่คือการแสดงไม่ใช่เรื่องจริง แต่คนก็ยังคอยติดตามรับชมอยู่เสมอ
โดยที่วงการมวยปล้ำเองก็มีการปรับเปลี่ยนตามเหมือนกัน
โดยเฉพาะศึกมวยปล้ำ World Wrestling Entertainment หรือ ‘WWE’ ซึ่งถือเป็นสถาบันที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับหนึ่งตลอดกาล
ล่าสุดเพิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ครับ
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่ง (แสดง) ซึ่งจุดยืนของ WWE นั้นจับตลาดกลุ่มแมส ดูได้ทุกเพศทุกวัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (ที่ถ้าเป็นเรื่องนี้ยังไม่อยากโต ขอหน่อยเถอะ) การปล้ำไม่ได้เน้นความสมจริงดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น ซึ่งคนที่ชอบการปล้ำที่ดุเดือดก็จะมีค่ายแนวนั้นให้ติดตาม
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ WWE คือการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการฉาย
จากม้วนวิดีโอและเคเบิลทีวี มาเป็นการฉายผ่านระบบสตรีมมิงบน Netflix แทน
ว่าแต่ทำไมต้อง Netflix ด้วย แล้วมันมีความหมายหรือความสำคัญยังไง?
เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
โดยที่มาที่ไปแล้ว WWE ถือเป็นมวยปล้ำอาชีพ (pro wrestling) ที่แตกต่างจากมวยปล้ำสมัครเล่นซึ่งยังเป็นกีฬาแข่งขันกันจริงๆ
เพียงแต่ในอดีตกาลนานมาแล้วนักมวยปล้ำอาชีพก็เคยแข่งขันกันแบบจริงจังเหมือนกัน เพียงแต่คนดูในสหรัฐอเมริกาไม่ชอบเท่าไหร่นัก เมื่อไม่มีคนดูก็ไม่มีเงิน ไม่มีกิน ชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากทำให้นักมวยปล้ำอาชีพตัดสินใจที่จะลองคิดใหม่ดู
สิ่งที่พวกเขาทำคือการแข่งขันกันแบบปลอมๆ มีการเขียนบทกำกับ โดยนักแสดงก็คือนักมวยปล้ำที่จะมาโชว์พลัง ความแข็งแกร่ง ลีลาการปล้ำในบทบาทสมมติของตัวละครที่ถูกกำหนดให้
ปรากฏว่าคนดูชอบ ถูกใจ มวยปล้ำอาชีพจึงเปลี่ยนจากการแข่งขันกีฬาเป็นศิลปะการแสดง (performance art) แทน
ในช่วงยุคก่อร่างสร้างตัวนั้นมวยปล้ำเป็นมหรสพที่ไม่ได้ต่างจากละครสัตว์ (circus) มีค่ายที่จะคอยตระเวนจัดโชว์ตามเมืองต่างๆ มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วเข้าชมเป็นหลัก ก่อนที่จะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีการรวมตัวกันก่อตั้งสมาคม CWC (Capitol Wrestling Corporation) ในช่วงปี 1950 ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
โดย CWC เปลี่ยนชื่อเป็น WWF (World Wide Wrestling Federation ก่อนจะเป็น World Wrestling Federation) และควบรวมกับคู่แข่งอย่าง WCW (World Championship Wrestling) กลายเป็น WWE ในปี 2002 จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ช่วยทำให้มวยปล้ำกลายเป็นกีฬามหาชนนั้นนอกจากเรื่องของการปล้ำ การแสดงที่สมบทบาทของบรรดาเหล่านักมวยปล้ำทั้งหลายและการเขียนบทที่แยบยลประหนึ่งมือเขียนบทรางวัลออสการ์–ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเล่นกับความรู้สึกของคนดู โดยเฉพาะการเปลี่ยนฮีโร่ให้เป็นวายร้าย–เรื่องโมเดลธุรกิจของพวกเขาก็น่าสนใจ
คนที่เบื้องหลังในการเปลี่ยนมวยปล้ำให้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่คือ วินเซนต์ ‘วินซ์’ เคนเนดี้ แม็คมาน ที่หลายคนน่าจะรู้จักดีในบทบาททั้งเจ้าของและตัวแสดงคนหนึ่งที่ขอซื้อธุรกิจค่ายมวยปล้ำต่อจากวินเซนต์ เจมส์ แม็คมาน พ่อของเขา (ซึ่งบ้างก็เชื่อว่าเขาได้ธุรกิจนี้มาจากเจสซี่ แม็คมาน พ่อของเขาอีกที)
วินซ์ (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ นะครับ) ร่วมกับลินดา ภรรยา ก่อตั้งบริษัท Titan Sports และขึ้นทะเบียนการค้าของ WWF โดยเป้าหมายของเขาคือการทำให้ WWF กลายเป็น ‘มวยปล้ำเกรดพรีเมียม’ ของสหรัฐอเมริกาให้ได้

การปรับโน่นเปลี่ยนนี่เกิดขึ้นมากมายจนทำให้โชว์ของ WWF กลายเป็นที่นิยม และความนิยมไต่ไปถึงระดับทะลุปรอทแตกในข่วงปลายยุค 80s ที่มีซูเปอร์สตาร์ที่เป็นขวัญใจมหาชนคนแรกอย่าง ฮัล์ก โฮแกน ในบทนักมวยปล้ำจอมพลังที่ต้องงัดพลังแฝงผ่านการขอเสียงเชียร์จากแฟนๆ (Hulkmania หรือที่ ‘น้าติง’ เรียกให้เข้าปากคนไทยว่าฮ๊องกำมะเนีย) เพื่อพิชิตเหล่าร้าย
ใครๆ ก็อยากดู WWF ตอนนั้น และคนที่จะดูได้ในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายค่าชมผ่านระบบ PPV (pay-per-view) เท่านั้น
และระบบนี้ก็ยังอยู่มาจนถึงปีกลาย เป็นฐานรายได้สำคัญที่สุดนอกเหนือจากบัตรเข้าชมการแข่งขันและเหล่าสินค้าที่ระลึกต่างๆ ที่ผลิตออกมาหลอกล่อน้องๆ หนูๆ จนขายกันแทบไม่ทัน
ส่วนผู้ชมนอกสหรัฐอเมริกานั้นนอกจากจะหาเช่าตามร้านวิดีโอในยุคอดีตแล้ว (ซึ่งก็ถูกลิขสิทธิ์บ้างไม่ถูกลิขสิทธิ์บ้าง) อีกทางที่จะรับชมได้คือตามผู้ให้บริการเคเบิลทีวีหรือสถานีโทรทัศน์ (Linear TV) ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาให้ชม
มองผิวเผินแล้วก็เป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งประหนึ่งแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตเลย
แต่ลึกๆแล้ว WWE รู้ดีว่าโลกนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความสำเร็จที่สวยงามที่ผ่านมาคืออดีต แต่ความสำเร็จในอนาคตคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ หากพวกเขาไม่คิดที่จะปรับตัว มันอาจจะสายเกินไป
มันนำไปสู่คำถามเดียวที่สำคัญที่สุด “เราคิดว่าแฟนๆ ของเราจะอยากชมคอนเทนต์ของเราทางไหนกันแน่?”
ว่าแล้ว WWE ได้มีการทดลองชิมลางการชมแบบออนไลน์ดูเป็นครั้งแรกในรายการ WrestleMania ครั้งที่ 30 เมื่อปี 2014 ซึ่งมองว่าเป็นสุดยอดรายการที่น่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งเมื่อเปิดให้มีการลงทะเบียนสมัครบริการ WWE Network เพื่อรับชมนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาเกินความคาดหมายไปมาก
เฉพาะในสหรัฐอเมริกาในวันแรกมีผู้ชมถึง 700,000 คน และภายในเดือนมกราคม 2015 มีจำนวนผู้ลงทะเบียนถึง 1 ล้านคน
แปลว่าออนไลน์คือคำตอบ คือหนทางใหม่ และกลายเป็นสิ่งที่ WWE ให้น้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในระหว่างนั้นมีการบริการเนื้อหาทั้งถ่ายทอดสด และทีเด็ดที่หลายคาดไม่ถึงคือการนำบันทึกในอดีตมาให้เลือกชมได้แบบ on-demand ด้วย
เพราะไม่ใช่ทุกคนจะลืมอดีต หลายคนคิดถึงอดีต คิดถึงโมเมนต์ในความทรงจำอยู่เสมอ
ตรงนี้เด็ดจริงเพราะในขณะที่มองว่าความสำเร็จในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดติด แต่พวกเขาก็ยังนำอดีตกลับมาเป็นเครื่องมือได้อีก
แต่แค่นี้ไม่พอ ความยากในขั้นต่อมาคือการหาทางเอาชนะใจแฟนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดให้ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแม้แต่เกมกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งอย่างฟุตบอลยังเผชิญกับปัญหาแฟนคนรุ่นใหม่ไม่ชอบการแข่งขันที่ยืดยาวถึง 90 นาทีจนมีการศึกษาจะปรับเปลี่ยนเกมให้กระชับขึ้น
โชคดีสำหรับ WWE ที่พวกเขาได้เห็นความสำเร็จของ F1 ที่เคยเจอปัญหาแบบเดียวกันและฟื้นความนิยมกลับมาได้ภายหลังจากการเปลี่ยนเจ้าของเป็น Liberty Group ที่ในเวลาต่อมาจุดกระแสให้การแข่งขันที่เคยถูกมองว่าโบราณคร่ำครึใหม่ด้วยการปล่อยสารคดี F1: Drive to Survive ที่ฉายแบบเอกซ์คลูซีฟบน Netflix
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ F1 กลายเป็นกีฬาที่คนรุ่นใหม่ติดตามและพูดถึงมากที่สุดไปแล้ว
ด้วยเหตุผลนี้เองครับที่ทำให้ WWE เฝ้ารอโอกาสที่จะจับมือกับ Netflix มาโดยตลอด
เพียงแต่การเจรจาระหว่างสองฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้เวลาเนิ่นนาน และผ่านบททดสอบหลายอย่าง ซึ่งสำหรับ Netflix เองพวกเขาแม้จะเป็นเจ้าแห่งสตรีมมิงแต่ก็ใหม่ต่อเกมกีฬามาก ระหว่างทางจึงต้องทดสอบด้วยการใช้ Sport Documentary มากมาย รวมถึงเรื่องอย่าง The Last Dance ที่บอกเล่าเรื่องราวขวบปีสุดท้ายของไมเคิล จอร์แดน กับทีมชิคาโก บูลส์ ที่กลายเป็นการจุดประกายครั้งใหญ่
ในฝั่ง WWE พวกเขาก็ต้องเคลียร์ตัวเองเช่นกันเพราะมีสัญญาถ่ายทอดสดผูกพันกับผู้ให้บริการทั่วโลกมากมาย แต่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจับมือกับ Netflix ให้ได้ จึงเคลียร์ตัวเองอย่างขาวสะอาด จนสุดท้ายสามารถบรรลุข้อตกลงบันลือโลกได้เมื่อเดือนมกราคม 2024
WWE ลงนามร่วมกับ Netflix ในการนำรายการหลักทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Raw, Smack Down, NXT จนถึง 4 รายการใหญ่ WrestleMania, Royal Rumble, Summer Slam และ Survivor Series ออกอากาศบน Netflix ที่เดียวเป็นระยะเวลา 10 ปี ในมูลค่ามหาศาลถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นเงินไทยบ้านเรา 1.69 แสนล้านบาท!
โดยช่วงที่ผ่านมา Netflix ก็ได้เริ่มลองของกับการถ่ายทอดสดกีฬา (live sport) บนแพลตฟอร์มของตัวเอง อย่างรายการกอล์ฟ Netflix Cup, รายการเทนนิส Netflix Slam และไม่นานมานี้กับมวยหยุดโลก เจค พอล VS ไมค์ ไทสัน
คำถามว่า WWE จะได้อะไรจากความร่วมมือครั้งนี้?
อย่างแรกคือจำนวนผู้ชมที่คาดหวังได้ว่าจะสูงขึ้นกว่าเดิม เพราะฐานสมาชิกของ Netflix ทั่วโลกมากถึง 282 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก และสมาชิกเหล่านี้สามารถรับชมได้โดยไม่มีการคิดค่าบริการเพิ่มเติมแต่อย่างใด (ยกเว้นบางแพ็กเกจที่จะมีโฆษณาแทรกบ้าง)
ในวันเปิดตัววันแรกเมื่อ 6 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา Netflix เปิดเผยว่ามีจำนวนผู้ชมสดๆ ถึง 4.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 2.6 ล้านครัวเรือน ซึ่งสูงกว่าผู้ชมเฉลี่ยของรายการ Raw ในปี 2024 นับเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เคยทำไว้ 1.2 ล้านคนถึง 116% และแน่นอนว่าสูงกว่าผู้ชมรายการ Raw โดยเฉลี่ยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่นั้น บนโซเชียลมีเดียแฮชแท็ก #WWERaw ก็ติดเทรนด์อันดับ 1 ในสหรัฐฯ, บราซิล, ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร และ #RawonNetflix ก็ติดเทรนด์ในบราซิล, เม็กซิโก, สเปน และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
วันนั้นวันเดียวมีผู้ชมคอนเทนต์ Raw ในวันแรกสูงถึง 223 ล้านคน สูงกว่าทุกเอพิโสดของ Raw ในปี 2024
เรียกว่าเป็นตัวเลขที่ทำให้ผู้บริหารของ WWE รวมถึง Netflix ยิ้มกว้าง เพราะมองเห็นโอกาสที่สดใส เมื่อสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้คนสนใจ และพวกเขาทำได้สำเร็จแล้ว
โดยเฉพาะฝั่ง WWE ที่ดีใจเป็นพิเศษเพราะเป็นเหมือนการพาตัวเองไปเดินแจกนามบัตรให้ทุกคนอีกครั้ง และเป็นย่านที่มีคนรุ่นใหม่เต็มไปหมด โดยที่ตอนนี้ทุกคนสามารถดู WWE ได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะมันอยู่บนมือของเราเอง
“สวัสดีครับ ผมชื่อ WWE ผมเล่นมวยปล้ำสนุก มาดูผมกันเยอะๆ นะ”
ขณะที่ Netflix เองก็ต้องการเปิดตลาดใหม่ๆ เพราะลำพังการฝากความหวังกับซีรีส์ หนังอย่างเดียวไม่ต่างอะไรจากการผูกเชือกมัดมือตัวเอง ถึงตลาดกีฬาจะเป็นสนามที่พวกเขาไม่คุ้นเคยแต่ก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น โดย WWE คือคอนเทนต์กีฬาจริงจังครั้งแรก และจะมีอีกมากมายตามมาแน่นอน โดยก่อนนี้ก็ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกหญิงปี 2027 และ 2031 มาเป็นที่เรียบร้อย
ถามว่ามีโอกาสไหมที่ Netflix จะซื้อลิขสิทธิ์กีฬาสุดฮิตในระดับโกลบอลอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, รถแข่ง F1, บาสเกตบอล NBA หรืออเมริกันฟุตบอล NFL ในอนาคต? ตอนนี้ยังบอกได้ว่าไกลตัว เพราะยุทธศาสตร์ของ Netflix จะเน้นไปที่รายการรองแต่มีเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ
แต่ Never Say Never ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยครั้งนี้ก็ถือเป็นการลงสนามครั้งแรกที่น่าสนใจ
เล่ามาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนได้ดูการจับคู่แท็กทีมของสองขาใหญ่ขึ้นมา
ต่างเป็นนักมวยปล้ำที่เก่งในทางของตัวเองซึ่งแตกต่างกัน แต่สามารถผสมผสานลีลาการปล้ำเข้ากันได้อย่างน่ามหัศจรรย์
แน่นอนว่ามีความท้าทายที่รอคอยอยู่สำหรับทั้ง WWE และ Netflix โดยเฉพาะการพยายามรักษากระแสความนิยม เพิ่มความนิยม สร้างการรับรู้ ไปจนถึงเรื่องของการพัฒนาคุณภาพการแข่งขัน การเขียนบท การเล่าเรื่อง การแสดงบนเวที โปรดักชั่น และการคิดคอนเทนต์แวดล้อมต่างๆ
ทำยังไงจะให้คนรุ่นใหม่รักมวยปล้ำเหมือนรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา นี่คือคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่ตอนนี้อยู่บนเวทีแล้ว ไม่มีคำว่ากลัวหรือเกรงแล้ว
เข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย พวกแกทั้งหมดน่ะ!
อ้างอิง
- about.netflix.com/en/news/wwe-raw-wrestles-up-4-9m-global-views-for-netflix-debut
- variety.com/2025/tv/news/wwe-monday-night-raw-netflix-debut-paul-levesque-1236269872
- cbc.ca/news/entertainment/netflix-wwe-raw-1.7424649
- bbc.com/news/articles/c8xjzxwxxq0o
- nytimes.com/athletic/6035603/2025/01/05/netflix-wwe-raw-interview
- inc.com/jeff-haden/how-did-wwe-become-a-most-valuable-sports-brand-a-most-innovative-company-by-betting-on-and-disrupting-itself.html
- sportspro.com/news/netflix-wwe-raw-streaming-launch-january-2025