นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

วิกฤตประกันภัยสหรัฐฯ เมื่อไฟป่า LA อาจทำให้บริษัทประกันภัย เสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์ 

ช่วงเวลานี้ คงไม่มีข่าวคราวใดน่าสนใจไปกว่าข่าวไฟป่า ทั้งในประเทศไทยเองที่เกิดไฟป่าที่เขาลอยในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเสียดอ้า ห่างจากเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 10 กิโลเมตร ปัจจุบันเสียหายไปแล้วกว่า 1,700 ไร่ และอีกข่าวไฟป่าที่ถูกพูดถึงระดับโลกอย่างลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากรายงานของ Euro News นอกจากพบผู้เสียชีวิตแล้วยังมีสิ่งปลูกสร้างกว่า 1,000 หลัง ที่ถูกไฟไหม้ราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้ประชาชนราว 130,000 คน ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งอพยพ 

สำหรับกรณีสหรัฐอเมริกาที่ไฟป่าลุกลามมายังพื้นที่อยู่อาศัย หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือประเด็นประกันภัยบ้านเรือน เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่การประกันภัยเฟื่องฟูไม่น้อย ชนิดที่ประชาชนคนใดไร้ซึ่งประกันภัยก็อาจหมดตัวไปกับค่ารักษาพยาบาล และสารพันปัญหาจากเรื่องพื้นฐานต่างๆ ในชีวิต การทำประกันสุขภาพ ไปจนถึงประกันให้ทรัพย์สินของตนเองอย่างบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญจำเป็น

แม้ไฟป่ารอบนี้จะไม่ได้ส่งผลต่อพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าไฟป่า Camp Fire ปี 2018 แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับความเสียหายคือเขตชุมชนที่มีประชากรหนาแน่น ทั้งความเสียหายยังกระจุกอยู่ที่โซนคนมีสตางค์อย่าง Pacific Palisades ความน่าขนลุกคือ AccuWeather ระบุว่าประกันอาจไม่คุ้มครองโซนดังกล่าวซึ่งเคยเกิดไฟไหม้ใหญ่ไปแล้ว ทั้งยังติด Top 5 พื้นที่ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ที่เสี่ยงไฟป่าที่สุด รวมถึงยังมีทรัพย์สินราคาสูงมาก 

การเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ ซากๆ เหล่านี้ส่งผลให้บริษัทประกันภัยวิกฤต อย่างในฤดูไฟป่าเมื่อปี 2017-2018 อุตสาหกรรมประกันภัยในแคลิฟอร์เนียยังสูญเสียผลกำไรสะสมนานถึง 20 ปี นั่นทำให้ในปี 2023 บริษัทประกันภัยรายใหญ่ 7 ใน 12 แห่ง ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในแคลิฟอร์เนีย หยุดหรือจำกัดการออกกรมธรรม์ใหม่ หนึ่งในนั้นคือบริษัทใหญ่อย่าง State Farm ที่เมื่อหยุดให้บริการประกันภัยสำหรับบ้านและอพาร์ตเมนต์กว่า 72,000 แห่ง ตามรายงานของ San Francisco Chronicle กล่าวว่าบริษัทเสียส่วนแบ่งการตลาดใน Pacific Palisades ไปเกือบ 70% 

ไม่เพียงเรื่องไฟป่า แต่ในรัฐอื่นๆ อย่างฟลอริดา และลุยเซียนา ที่เกิดเฮอริเคนบ่อยก็ประสบปัญหาตลาดประกันภัยไม่มั่นคง ชนิดที่รัฐลุยเซียนาต้องใช้เงินสนับสนุนจากรัฐหลายล้านดอลลาร์เพื่อดึงดูดบริษัทประกันภัยกลับมา

สำหรับไฟป่าครั้งนี้ JPMorgan คาดว่าความเสียหายที่ครอบคลุมโดยประกันภัยอาจเกิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้นหากยังไม่สามารถควบคุมไฟได้ มากกว่าไฟป่า Camp Fire ที่อยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงอย่างนั้นประชาชนก็ควรได้รับความคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สิน นั่นทำให้รัฐบาลและบริษัทประกันภัยต้องปรับปรุง ต้องออกกฎเฉพาะกิจในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวคือต้องรื้อโครงสร้างราคาประกันให้สอดคล้องกับความเสี่ยง  

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีไฟป่าที่ไทยหรือลอสแอนเจลิส คาดว่าน่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์มากกว่าการระอุขึ้นมาเอง นอกจากการจริงจังกับการควบคุมอุณหภูมิโลกให้ไม่สูงไปมากกว่านี้เพื่อลดอัตราการเกิดไฟป่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น

อย่างในแคลิฟอร์เนียได้มีการออกกฎระเบียบ เช่น การห้ามสร้างบ้านในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า การใช้หลังคาที่ทนไฟ หรืออย่างในยุคที่ AI พัฒนารวดเร็ว ภาครัฐและเอกชนสามารถติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยคาดการณ์ไฟป่า 

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าที่ใด ทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งเรื่องสภาพอากาศและระบบนิเวศ ไปจนถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ เหตุการณ์ไฟป่าเหล่านี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญจำเป็นในการเร่งเปลี่ยนผ่านธุรกิจให้กรีนมากขึ้น ทั้งเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย และเพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าเมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวิกฤต

You Might Also Like