เมื่อโลกตกหลุมรัก ‘ชา’ อีกครั้ง

ญี่ปุ่นผลิตชาไม่ทันขาย ชาจีนบุก SEA แล้วชาไทยอยู่ตรงไหนในเวทีโลก 

จากกระแสชาไทย ชาผลไม้สไตล์จีน ไปจนถึงมัทฉะ เราอาจรู้สึกว่าชากลับมาได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วการกลับมาเฟื่องฟูของชาเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ที่ได้รับผลโดยตรงจากเมกะเทรนด์สุขภาพและอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย

ตั้งแต่ปี 2024 ถึงปี 2025 อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของชา ที่เครื่องดื่มเก่าแก่ชนิดนี้กลับมายืนเคียงข้างกาแฟได้อย่างสง่างาม ไม่เพียงแต่แบรนด์ต่างชาติที่ตบเท้ากันเข้ามาปักหลักในไทย แต่แบรนด์ไทยมากมายก็มีเวทีเฉิดฉาย

ใน ISSUE TEA POP ครั้งนี้ Capital จึงขอพาไปสำรวจว่าชาเติบโตและครองใจผู้คนทั้งไทยและทั่วโลกยังไงบ้าง แล้วอะไรทำให้ผู้คนกลับมาตกหลุมรักชาได้อีกครั้ง

1. ตลาดชาเติบโตต่อเนื่องจากเมกะเทรนด์สุขภาพ

ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่ามูลค่าตลาดชาทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ 51.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.1% ต่อปี จนแตะ 69 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 โดยชาดำครองตลาดสูงสุดที่ 41.3% รองลงมาคือชาเขียว 22.8% และชาผลไม้/ชาสมุนไพร 19.5%

การเติบโตนี้เกิดจากกระแสเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกหันมาลดการบริโภคกาแฟและน้ำตาล ชาจึงกลายเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ‘ชาเขียว’ ที่ถูกมองว่าเป็น clean caffeine หรือคาเฟอีนที่ช่วยให้ตื่นตัวโดยไม่ใจสั่น และยังดีต่อสุขภาพในระยะยาว

2. ‘มัทฉะ’ สัญลักษณ์ของความเฮลตี้และมีเทสต์

ในโลกโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok หรือ Instagram มีรีวิวคาเฟ่มัทฉะเปิดใหม่จำนวนมาก บ้างก็เห็นคนโพสต์ภาพมัทฉะทั้งในสตอรี่และหน้าฟีดของ Instagram เรียกว่ามัทฉะได้กลายเป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เพียงดื่มดี แต่ดื่มแล้วยังดูดี มีเทสต์ด้วย

อันที่จริงความนิยมของมัทฉะไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไทยเท่านั้น รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกชาเขียวของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นกว่า 2.5 เท่า โดยมัทฉะคิดเป็นกว่า 70% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ที่น่าสนใจคือความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้มัทฉะเกรดพรีเมียมจากเมืองอุจิ (Uji Matcha) ขาดตลาดในช่วงปลายปี 2024

หลายร้านต้องจำกัดจำนวนการซื้อ หลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ซื้อกลับประเทศจนสินค้าหมด ขณะที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย มัทฉะก็ถูกนำไปขายต่อในราคาสูงกว่าเดิม 2–3 เท่า ส่วนในตลาดต่างประเทศอย่างสหราชอาณาจักรก็มีการเติบโตสูง โดยยอดขายชาเขียวและมัทฉะเพิ่มขึ้นกว่า 200%

กระแสมัทฉะนี้ไม่เพียงเป็นผลจากเทรนด์สุขภาพ แต่ยังกลายเป็น soft power ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ที่ผลักให้ชาเขียวและมัทฉะกลายเป็นเครื่องดื่มระดับโลกได้เลยทีเดียว

3. ชาไทยในตลาดโลก กับ ‘ชาตรามือ’ แบรนด์ที่ผลักดันให้ชาไทยเป็น Soft Power

หากมองชาในแง่สินค้าเกษตรกรรม ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่ามูลค่าการส่งออกชาไทยและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มจาก 70 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 73 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดยตลาดหลักยังคงเป็นอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย

แต่ในเชิงวัฒนธรรม ‘ชาไทยสีส้ม’ ก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ในปี 2023 เว็บไซต์ TasteAtlas จัดให้ชาไทยติดอันดับ 7 ของเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลก และในปี 2024 ก็อยู่ที่อันดับ 9 ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองศูเปอร์สตารร์สาวชาวไทย LISA ก็ได้เปิดตัว ‘Lisa Thai Tea’ เครื่องดื่มเทสต์ดีกับซูเปอร์มาร์เก็ต Erawon ในสหรัฐฯ จนเกิดกระแสชาไทยฟีเวอร์

ในบรรดาแบรนด์ชาไทยที่ยืนหนึ่งและเรียกได้ว่าเป็นผู้ผลักดันให้ชาไทยเป็น Soft Power ก็คือชาตรามือ ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 80 ปี ปัจจุบันมีสาขาในต่างประเทศกว่า 114 แห่งใน 10 ประเทศ และตั้งเป้าขยายเป็น 130 สาขาภายในปี 2025 พร้อมรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทในปี 2024 โดยชาตรามือยังวางเป้าเติบโตอีก 20% และมุ่งสู่การเป็น Global Brand ผ่านการส่งออกชาไทยไปกว่า 23 ประเทศทั่วโลก

ถึงอย่างนั้น เราอาจพูดได้ไม่เต็มปากนักว่าชาไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลกแบบมัทฉะ แต่เราอาจกล่าวได้ว่ากระแสความนิยมชา และการขยายไปต่างประเทศของชาตรามือและแบรนด์อื่นๆ ก็ช่วยทำให้ชาไทยเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้นซึ่งไม่แน่ว่า รสชาติชาไทยที่คนไทยหลงรัก อาจถูกปากคนทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีก็เป็นได้

4. ตลาดชาไทยพรีเมียม เมื่อผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพื่อคุณภาพ

เราอาจคุ้นกับชาไทยหวานๆ ส้มๆ มานานแสนนาน แต่กระแสสุขภาพและความใส่ใจในคุณภาพก็ทำให้เกิดตลาดใหม่อย่างชาไทยพรีเมียม

แบรนด์ใหญ่ๆ เช่น ชาตรามือหันมาเปิดตัวชาไทยไร้สี และชาไทยคอมบูฉะ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลีกเลี่ยงสีผสมอาหาร ขณะเดียวกัน แบรนด์รุ่นใหม่ก็นำเสนอชาไทยในรูปแบบใหม่ อย่าง Karun Thai Tea กับชาสลัชชี่ที่มาพร้อมประสบการณ์ หรือจะเป็น Chongdee ชาใต้ท้องถิ่นเสิร์ฟพร้อมขนมเคียง สะท้อนว่าผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์และรสชาติที่แตกต่าง

5. ชาจีนสไตล์ใหม่ กับการบุกตลาดไทย

อีกหนึ่งคลื่นที่น่าจับตาคือแบรนด์ชาจีนแนวใหม่ (New-Style Tea) รายงานจาก EqualOcean และ China Daily ชี้ว่าแบรนด์ชาจีนกำลังขยายสาขาในไทยมากขึ้น โดยมองไทยเป็นเหมือนสนามทดลอง ก่อนต่อยอดไปยุโรปและอเมริกาเหนือ สาเหตุหลักๆ มาจากที่ตลาดภายในจีนอิ่มตัวมากขึ้น

ส่วนเหตุผลที่ไทยเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจเพราะความต้องการของผู้บริโภคสูง คนไทยเปิดใจให้กับแบรนด์ใหม่ได้ง่าย ต้นทุนการขยายสาขาในไทยอาจถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับจีนเอง ที่สำคัญคือ ประเทศไทยก็เป็นอีกตลาดที่ตลาดชาเติบโต โดยเฉพาะชาผลไม้ ชาไข่มุก และมัทฉะ

อย่าง Chagee ที่เพิ่งเปิดสาขาที่สูงที่สุดในโลกบนตึกมหานคร โดยใช้ใบชาจากฟาร์มออร์แกนิกในยูนนาน ส่วน Naixue’s Tea เน้นชาผลไม้และชานมพรีเมียมเสิร์ฟพร้อมเบเกอรี่คุณภาพ การเข้ามาของแบรนด์เหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มการแข่งขัน แต่ยังช่วยขยายตลาดชาในไทยให้เติบโตจากเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม (niche) สู่เครื่องดื่มหลักของคนรุ่นใหม่

จากมัทฉะ ถึงชาไทย และชาผลไม้จากจีน ‘ชา’ กลายเป็นเครื่องดื่มที่สะท้อนทั้งสุขภาพและวัฒนธรรมของโลกยุคนี้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะในฐานะพืชเศรษฐกิจ เครื่องดื่มแฟชั่น หรือ Soft Power ชากำลังเติบโตไปทั่วโลก และประเทศไทยก็กำลังเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางสำคัญ

สำหรับแบรนด์ไทย แม้ต้องเผชิญการแข่งขันเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาเมนูใหม่ รสชาติใหม่ หรือบริการที่มีมูลค่าเพิ่มเติม โดยยังต้องมีจุดแข็งที่ทำให้แตกต่างจากท้องตลาดให้ได้
.
อ้างอิง

Writer

พิลาทิสและแมว

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like