Malee
Malee แบรนด์ไทยที่ส่งออก 30 ประเทศ มี 3 โรงงาน 1 ฟาร์มนม และเตรียมเป็นบริษัท wellness
ถ้าพูดถึงแบรนด์ไทยที่ไปไกลระดับโลก หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า Malee คือหนึ่งในนั้น แบรนด์น้ำผลไม้ที่เราคุ้นเคยกันดี วันนี้ส่งออกไปกว่า 30 ประเทศ มี 3 โรงงานและ 1 ฟาร์มโคนมในเครือ (แถมยังเป็นผู้ผลิตนมโชคชัยด้วยนะ)
วันนี้ Malee ไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงแบรนด์น้ำผลไม้อีกต่อไป แต่ตั้งเป้าเป็น Global Wellbeing Company หรือบริษัทที่ส่งมอบสุขภาวะระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบในปี 2571 โดยมีคีย์หลักคือ ‘Beyond Fruit to Global Wellbeing’ ซึ่ง Malee ทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เราขอพาไป Recap พร้อมๆ กัน
จัดพอร์ตสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย
Malee เน้นพัฒนาสินค้าจากความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยมีสเปกตรัมสินค้าตั้งแต่ enjoy หรือเพื่อความเพลิดเพลินไปจนถึงสินค้าที่มีคุณประโยชน์สูง ปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าทั้งน้ำผลไม้พรีเมียม ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในไทย, น้ำมะพร้าวที่คว้าเบอร์หนึ่งในไทยมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2568, ผลไม้กระป๋อง, นมวัว, เครื่องดื่ม plant-based และเครื่องดื่มอัดแก๊ส
ภายใน 3 ปี ที่ Malee วางแผน บริษัทจะขยายสินค้าสู่หมวดหมู่ใหม่ๆ โดยเน้นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (functional drink) ที่ยังคงความอร่อยและสดชื่น ตอบเทรนด์โลกที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น
สร้างนวัตกรรมของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด
หลายบริษัทใช้วิธีซื้อ active ingredients จากผู้พัฒนา แต่เมื่อ Malee มองว่าจะเป็นมากกว่าบริษัทผลิตน้ำผลไม้ และมุ่งสู่การเป็นบริษัทสุขภาพระดับโลกแล้ว Malee เลือกที่จะลงทุนในนวัตกรรมด้วยตนเอง หมุดหมายสำคัญคือการก่อตั้ง MAS (Malee Applied Science) หน่วยธุรกิจไบโอเทค (biotech) ที่ครอบคลุมด้าน agritech, foodtech, biotech และ neurotech
MAS ทำหน้าที่คิดค้น active ingredients ลิขสิทธิ์เฉพาะ ตั้งแต่น้ำมะพร้าว Malee Coco มีสูตรที่ผสม Lycosos ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไปจนถึง Power Plant ที่มีส่วนผสมของ Innogutz ที่ช่วยดูแลลำไส้และมีอายุการเก็บรักษานานขึ้นในอุณหภูมิห้องจนได้รับรางวัลนวัตกรรม
นอกจากผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แบรนด์ตนเองได้แล้ว MAS ยังสร้างนวัตกรรมไปขายให้บริษัทอื่น หรือนำไปใช้กับ OEM ได้อีกด้วย MAS ยังมีหน้าที่ในการนำผลิตภัณฑ์เหลือใช้หรือวัสดุเหลือใช้จากการผลิตมาสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท ช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิต เรียกว่าทำหนึ่ง ได้หลายต่อ
ตั้งเป้าการขยายให้ชัด แล้วสื่อสารการตลาดหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างการรับรู้
Malee ให้ความสำคัญกับงบประมาณการตลาดในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ เนื่องจาก Malee ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 40% ให้สูงขึ้นไปอีกในอนาคต
ตลาดเป้าหมายหลักตอนนี้คือจีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง เพราะทั้งสี่ตลาดมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือความสนใจในเครื่องดื่มสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะจีน ที่ตลาดน้ำมะพร้าวและ plant-based โตเร็วมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ในแต่ละประเทศที่ไป Malee ไม่ได้ใช้สูตรธุรกิจแบบเดียวกันแต่ปรับพอร์ตสินค้าและการสื่อสารให้เหมาะกับรสนิยมท้องถิ่น เช่น ตลาดจีนใช้ Malee Coco เป็นตัวหลัก เพราะน้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่
วิธีการสื่อสารของ Malee ยังหลากหลาย ตั้งแต่การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและแฟร์ระดับนานาชาติ รวมถึงงาน THAIFEX ในประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและแสดงศักยภาพของผลิตภัณฑ์และบริษัท ไปจนถึงการใช้พรีเซนเตอร์ระดับภูมิภาค เช่น จางหลิงเฮ่อ ดาราจีนดาวรุ่ง มาเป็น Asia-Pacific Brand Presenter ให้กับ Malee Coco เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในตลาดต่างประเทศ และเมื่อเข้าไปในตลาดประเทศนั้นๆ ได้แล้ว Malee ยังเน้นให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้เข้าใจถึงคุณประโยชน์ของสินค้า
สร้างสมดุลระหว่าง own brand และ OEM
จุดแข็งของ Malee คือการสร้างสมดุลธุรกิจโดยมุ่งเน้นทั้งฝั่ง OEM ที่รับจ้างผลิต และฝั่งแบรนด์ตัวเอง
โดย Malee มีโรงงานใหญ่สามแห่ง ทั้งในไทยและเวียดนาม ที่ผลิตเครื่องดื่มได้ครบทุกแบบ ทั้งหมดผ่านมาตรฐานระดับโลกชนิดที่ถ้า Malee อยากส่งสินค้าไปขายที่ไหนก็ย่อมไปได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องใบรับรองมาตรฐาน
ลูกค้า OEM ของ Malee หลายรายเป็นแบรนด์ชั้นนำในตลาดต่างประเทศซึ่งช่วยให้ Malee มองเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคว่าชอบสินค้าแบบไหนข้อมูลพวกนี้กลายเป็นฐานความรู้ที่ต่อยอดกลับมาสู่ฝั่งแบรนด์ของตัวเองได้
ส่วนฝั่ง own brand อย่าง Malee และ Malee Coco นับเป็นการสร้างกำไร สร้างชื่อเสียง และสร้างการจดจำให้กับบริษัท โดย Malee ตั้งเป้าว่าภายในปี 2028 สัดส่วนรายได้ของแบรนด์เหล่านี้จะเพิ่มจาก 35% เป็น 55% ของพอร์ตทั้งหมด
สร้างระบบหลังบ้านให้แข็งแรง พร้อมรับการเติบโต ด้วยการใช้ AI Automatio
เพราะ Malee ทำทั้ง OEM และ own brand ระบบหลังบ้านจึงต้องพร้อมรองรับทั้งโปรดักต์ที่ต้องผลิตได้เร็วและได้คุณภาพตามสเปกลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะให้แบรนด์ได้ทดลองสูตรใหม่ๆ Malee จึงลงทุนใน automation และเทคโนโลยี เพื่อให้ผลิตได้เร็วขึ้น คุมคุณภาพได้ และลดการพึ่งแรงงานคน เรียกว่าเปลี่ยนโรงงานแบบเดิมให้กลายเป็น smart factory ที่พร้อมโตไปกับตลาดโลก
ในวันที่ตลาดเปลี่ยน ผู้เล่นใหม่ๆ กระโดดเข้ามาในสนามเดียวกัน และสิ่งที่เคยขายดีอาจกลายเป็นของธรรมดา สิ่งสำคัญจึงคือการกล้าที่จะถามตัวเองว่าเราจะเป็นอะไรต่อไป สำหรับ Malee นั้นเลือกที่จะไม่ยึดติดกับคำว่า ‘น้ำผลไม้’ แต่เลือกมองไปข้างหน้าว่าอะไรคือสิ่งที่คนทั้งโลกต้องการ