Turn on your Artitude

Lamptitude Reserve แบรนด์สำหรับคนที่หลงใหลโคมไฟ งานดีไซน์ และความเป็นอิตาลี

“ตาของมนุษย์จะวิ่งไปหาสิ่งที่สว่างที่สุดเสมอ สมมติคนอยู่ในพื้นที่มืด แล้วมีคนฉายไฟมา ตาจะวิ่งไปสิ่งที่ไฟนั้นฉายมาก่อน ดังนั้นโคมไฟที่เป็นวัตถุเดียวในบ้านซึ่งเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง ในภาษาของดีไซน์สิ่งนี้ถือว่าเป็น พระเอกของการตกแต่งเลย เพราะมันเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวที่อยู่บนอากาศและเปล่งแสง”

สาธิต ก่อกูลเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไลท์ จำกัด ผู้ก่อตั้งธุรกิจโคมไฟแบรนด์ Lamptitude พูดถึงความพิเศษของโคมไฟในทัศนะของเขา และนั่นทำให้แบรนด์ Lamptitude มีเป้าหมายในการขายโคมไฟคุณภาพดี ดีไซน์สวยหรู สำหรับการเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน สำหรับทุกหลังคาเรือนมาตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ทว่าอีกหนึ่งความฝันสำคัญที่เป็นเหมือนไมล์สโตนของคนรักโคมไฟและงานดีไซน์ คือการมีโอกาสได้จัดจำหน่ายโคมไฟจากแบรนด์ดัง จึงเป็นเหตุให้เขาเปิดตัว Lamptitude Reserve แบรนด์น้องใหม่ที่แยกออกมาจาก Lamptitude โดยมีจุดประสงค์เพื่อขายโคมไฟระดับโลก โดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศอิตาลี

น่าสนใจไม่น้อยว่าตลอดการทำงานกว่า 20 ปี Lamptitude ทำยังไงจนกลายเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการโคมไฟประเทศไทยได้ รวมไปถึงก้าวครั้งใหม่กับ Lamptitude Reserve ที่ขายโคมไฟระดับโลกอย่าง Flos, LUCEPLAN และ LODES ว่ามีความท้าทายยังไง ทำไมต้องเป็นแบรนด์อิตาลี และธุรกิจของพวกเขาจะเติบโตต่อไปยังไงหลังจากนี้

หลังจากทำ Lamptitude มายาวนาน ทำไมถึงอยากเริ่มต้นทำแบรนด์ใหม่อย่าง Lamptitude Reserve 

ต้องบอกว่า Lamptitude Reserve เป็นความฝันของผมกับทีมมานานแล้ว เป็นหนึ่งในไมล์สโตนที่เราอยากไปให้ถึงในชีวิตการทำงาน คือสมมติถ้าเป็นคนขายรถยนต์เราก็อยากขาย Porsche ขาย Ferrari ถ้าขายกระเป๋าก็อยากขาย Gucci, Chanel หรือ Louis Vuitton ขายโคมไฟเราก็อยากจะขายแบรนด์ Top 10 ที่ดีที่สุดในโลก เลยเปิดพื้นที่ตรงนี้เพื่อรองรับหรือ Reserve แบรนด์เหล่านี้ 

ซึ่งก่อนที่จะเริ่มทำตรงนี้ได้ ที่ผ่านมาเราต้องสร้างชื่อเสียง สร้างเครดิตกับแบรนด์ Lamptitude มาระดับหนึ่งก่อน เพื่อให้แบรนด์โคมไฟระดับโลกเขาไว้วางใจว่าเรามีศักยภาพมากพอที่จะขายสินค้าของพวกเขาได้ 

ทำไมก่อนหน้านั้นธุรกิจโคมไฟแบบนี้จึงไม่มีในประเทศไทยเท่าไหร่นัก

ยกตัวอย่างจากผมเองก็ได้ คือก่อนหน้านี้เมื่อ 10 ปีก่อนเราเคยทดลองเอาแบรนด์โคมไฟของอิตาลีมาขายแล้วนะ แต่มันไม่สำเร็จ ในวันนั้นเรายังไม่มีความรู้และประสบการณ์มากพอ ยังเข้าใจตลาดไม่ดีพอ คือวันนั้นเรากังวลเรื่องราคามากเกินไปเลยไม่ได้เอาแบรนด์อิตาลีที่ดีที่สุดมาจำหน่าย ดังนั้นพอทิศทางของการขายโคมไฟไม่ชัดเจน เราเลยไม่ประสบความสำเร็จ 

วันนี้พวกเราเลยเปลี่ยนแผนใหม่ จะทำ Lamptitude Reserve ก็ต้องขายโคมไฟแบรนด์ที่ดีที่สุดเท่านั้น ต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง คนไทยรู้จัก งานของแบรนด์ต้องออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับโลก 

แต่ถึงทำขนาดนี้การขายโคมไฟก็ยังเป็นเรื่องยากนะ โคมไฟมันเป็นเหมือนลูกเมียน้อย เป็นสิ่งที่เขาจะตัดออกจากงบประมาณตกแต่งบ้านเป็นอย่างแรก ดังนั้นลูกค้าที่เขาจะให้ความสำคัญกับโคมไฟแบรนด์ดังๆ แล้วยอมลงทุนมีน้อยมาก หลัก 0.0001% เอง ตรงนี้เลยเป็นปัญหาในธุรกิจโคมไฟที่ทำให้ไม่มีใครกระโดดเข้ามาลุยเท่าไหร่นัก

ดังนั้นสิ่งที่ทีมของผมต้องทำกันคือต้องพยายามดึงกลุ่มค้าเดิมจาก Lamptitude ที่มีเยอะมาก ให้เขาเข้าใจว่า  Lamptitude Reserve คืออะไร นำเสนอให้เขาได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจผลงานดีไซน์ระดับโลกบ้าง ซึ่งหากเขาเห็นแล้วชอบ เห็นแล้วถูกใจ ราคายังอยู่ในงบประมาณที่เขาตั้งไว้ เขาก็อาจจะซื้อติดไม้ติดมือกลับไปบ้างก็ได้

ในวันนี้ Lamptitude Reserve มีแนวทางธุรกิจที่ชัดเจนคือเลือกจำหน่ายแบรนด์โคมไฟจากประเทศอิตาลีเท่านั้น คุณสนใจอะไรในประเทศนี้

ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสเดินทางไปประเทศอิตาลีบ่อยมาก ไปเพื่อศึกษาให้เข้าใจเลยว่า แต่ละประเทศเขามีผู้ผลิตโคมไฟยังไง แบบไหนเหมาะกับประเทศไทยมากกว่า ผมจึงได้รู้ว่าทำไมแบรนด์จากอิตาลีจึงแตกต่างจากที่อื่นอย่างชัดเจน

ผมว่าประเทศอิตาลีเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่มีความคิดสร้างสรรค์และศิลปะ คือผมมีเพื่อนอิตาลี แล้วเขาจะชอบเล่าว่าประเทศเขาไวน์ดีที่สุด สปาเกตตี้ดีที่สุด รถยนต์ก็ดีที่สุด อะไรก็ดีที่สุด ผมก็จะคิดว่าเพื่อนคนนี้ขี้โม้จริงๆ แต่พอได้เดินทางไปอิตาลีบ่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจว่า คนที่นั่น เวลาทำอะไร เขาทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ทุกอย่างเขาเริ่มตั้งคำถามจาก Why (ทำทำไม) ไม่ใช่ What (ทำอะไร) หรือ How (ทำยังไง) ดังนั้นถ้าเขาหาคำตอบได้ชัดเจนแล้วว่าจะทำสินค้าสักชิ้นทำไม เขาจะทำออกมาได้ดี ได้ตรงความต้องการมากที่สุด

แล้วยิ่งในแวดวงโคมไฟ อิตาลีคือประเทศเดียวในยุโรปที่ยังเป็นผู้ผลิตเอง เพราะหากไปดูสินค้าจากประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่สวยๆ เขาไม่ใช่ผู้ผลิตเอง เขาให้ต่างประเทศเป็นคนทำให้ เช่นจีนหรือฝรั่งเศส ซึ่งบางทีก็คืออิตาลีด้วยซ้ำ 

ซึ่งความพิเศษของการผลิตในอิตาลีคือความคราฟต์ สมมติเวลาจะผลิตแก้วหนึ่งใบ ประเทศจีนอาจใช้วิธีผลิตมา 5 ใบ แล้วทิ้งไป 4 ใบ เหลือสัก 1 ใบที่ใช้งานได้ แต่สำหรับอิตาลีคือผลิต 100 อันต้องสมบูรณ์แบบทุกอัน 

อีกส่วนที่สำคัญคือความละเมียดละไมและศิลปะ ผมยกตัวอย่างโคมไฟ Volume ที่ผลิตโดยแบรนด์ Snøhetta ที่เป็นแก้วกลมหลายอันวางเรียงกัน คือโคมไฟอันนี้เขาใช้เวลา 2 ปีครึ่งเลยนะ ในการผลิตเขาต้องวัดแล้ววัดอีกว่ามุมไหน องศาไหน แก้วกลมที่มี 3 ไซส์ ถึงจะเรียงออกมาแล้วสวยที่สุด ซึ่งงานเหล่านี้ผลลัพธ์ที่ได้คือ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีมันก็ยังดูสวย ยังดูร่วมสมัยอยู่ 

โคมไฟจากประเทศอิตาลีมีความแตกต่างและพิเศษต่างจากที่อื่นยังไง

คนยุโรปเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับแสง ไม่ใช่แค่โคมไฟนะ รวมไปถึงพวกแสงธรรมชาติด้วย คือเขามองว่าแสงคือต้นกำเนิดของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลก แล้วในวงการตกแต่งบ้านเขาถึงกับมีประโยคประมาณว่า ถ้าแสงในบ้านคุณไม่ดี ชีวิตคุณจะดีได้ยังไง ขนาดนั้นเลยนะ 

ซึ่งมันแตกต่างจากคนไทย ที่เวลาแต่งบ้านเขาแถมโคมไฟแบบไหนให้ก็เอาไว้ก่อน จะแสงสีขาว แสงสีเหลืองก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก โครงการบ้านหรือคอนโดที่แพงๆ ผมก็ยังไม่ค่อยเห็นเขาแถมโคมไฟดีๆ ให้กับลูกค้าเลย

ดังนั้นธุรกิจโคมไฟในอิตาลีจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ แล้วทุกครั้งที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือจริงจังมาก ถ้าทำออกมาไม่ดี คือมีรู้สึกอายกันเองในระหว่างวงการเลยนะ

ในวันนี้ Lamptitude Reserve จำหน่ายโคมไฟจากแบรนด์อะไรบ้าง

อันดับหนึ่งเลยคือแบรนด์ Flos ที่ถือเป็นแบรนด์โคมไฟอันดับหนึ่งของโลก มีชื่อเสียงมาก เป็นแบรนด์อิตาลี 100% ที่คนอิตาลีภูมิใจ เป็นเหมือน Porsche เหมือน Ferrari ของโลก 

นอกจากนี้ก็ยังมีแบรนด์อื่นๆ อย่าง Luceplan ที่เป็นดีไซเนอร์ของ Flos แล้วแตกแยกออกมาทำแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งจะออกผลงานมาที่ค่อนข้างโมเดิร์น หรืออย่างแบรนด์ Lodes ที่งานแก้วเรียบๆ มีราคาย่อมเยา ใช้วัสดุเรียบง่าย แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานของอิตาลี

อะไรที่ทำให้ Flos กลายเป็นแบรนด์โคมไฟอันดับหนึ่งของอิตาลี

ผมเคยคิดว่า Flos ดังได้เพราะเขาขายชื่อดีไซเนอร์อย่างฟิลิปส์ สตาร์ก (Philippe Starck) แต่ตอนหลังเพิ่งรู้ว่าผลงานที่มีชื่อเสียงจริงๆ กลับไม่ใช่งานของดีไซเนอร์ดังเสมอไป แต่มันจะเป็นผลงานที่มีความครีเอทีฟและแตกต่างจากที่เป็นมา เช่นโคมไฟที่ชื่อ Wireline มีลักษณะเป็นเส้นๆ ทำมาจากยาง หรือ Arrangements ที่เหมือนต่างหูประกอบกัน รวมถึง Coordinates ที่ลักษณะโคมไฟเป็นเส้นๆ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการโคมไฟ

แต่ก็ต้องยอมรับว่าดีไซเนอร์ก็ยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ Flos เป็นเบอร์หนึ่งอยู่ คือนอกจากฟิลิปส์ สตาร์ก อีกคนที่ผมอยากพูดถึงคืออาคิเล่ (Achille) ที่เป็นเหมือนบิดาของวงการแสงไฟเลย ซึ่งมีผลงานกับ Flos ที่มีชื่อเสียงมากๆ อย่างเช่น Floor Lamp รวมถึงงานหลายๆ ชิ้นของเขาก็ถูกนำไปวางในพิพิธภัณฑ์หลายที่ และก็ยังคงขายดีอยู่แม้จะผ่านมาแล้ว 50 ปี 

ศิลปะ งานออกแบบ หรือนวัตกรรมต่างๆ มันสำคัญกับโคมไฟยังไง

คือผมอยากให้มองแบบนี้นะ ว่าตาของมนุษย์จะวิ่งไปหาสิ่งที่สว่างที่สุดเสมอ สมมติคนอยู่ในพื้นที่มืด แล้วมีคนฉายไฟมา ตาจะวิ่งไปหาสิ่งที่ไฟนั้นฉายมาก่อน 

ดังนั้นโคมไฟที่เป็นวัตถุเดียวในบ้านซึ่งเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง ในภาษาของดีไซน์สิ่งนี้ถือว่าเป็นพระเอกของการตกแต่งเลย เพราะมันเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวที่อยู่บนอากาศและเปล่งแสง ดังนั้นโคมไฟในแต่ละบ้านก็จะบอกคาแร็กเตอร์ของเจ้าของบ้านได้

อีกอย่างที่อยากพูดถึงคือ โคมไฟที่สวยเวลาปิดมันต้องสวยด้วยนะ เพราะว่าเวลาเราอยู่บ้านจริงๆ ลูกค้ากว่า 99% ไม่เปิดไฟในชีวิตประจำวัน จะเปิดโชว์เวลาเพื่อนบ้านมาเท่านั้น จะเปิดแค่บางดวงที่ใช้งานเท่านั้น ดังนั้นโคมไฟที่งานดีไซน์ดีตอนปิดก็ยังต้องสวย ต้องเปิดก็ยิ่งต้องสวย

จะตัดสินยังไงว่าโคมไฟแบบไหนดีหรือไม่ดี

สำหรับผมเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในหนึ่งปีมีโคมไฟกว่าหมื่นแบบที่ผลิตออกมา แต่รุ่นไหนที่มันยังอยู่คงทน 40-50 ปี ยังมีคนสนใจ ยังดูสวยงาม ยังเข้ากับยุคสมัย แบบนั้นถือว่าดีสำหรับผม

ในวันนี้ Lamptitude Reserve มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจาก Lamptitude ยังไง

ที่แตกต่างคือกลุ่มเป้าหมาย ถ้าพูดถึง Lamptitude ลูกค้าอาจจะเป็นคลาส A แต่ Lamptitude Reserve จะเป็นลูกค้ากลุ่ม A++ ซึ่งพวกเราไม่เคยมีลูกค้ากลุ่มนี้มาก่อน กับอีกกลุ่มคือสถาปนิกที่ดูแลบ้านระดับร้อยล้านบาท ซึ่งส่วนนี้เราวางเป้าหมายให้อยู่ที่ 10% ของยอดขายทั้งหมด

ความยากในการทำธุรกิจโคมไฟสำหรับคุณคือเรื่องอะไร

สำหรับผมเองคือเรื่องสถานที่ในการทำโชว์รูมเพราะทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายแพงมาก โดยเฉพาะการจัดการให้ตรงกับเงื่อนไขของทางแบรนด์ เพื่อให้ยอมปล่อยสินค้ามาให้เราขาย ทั้งเรื่องรูปแบบสถานที่และการสต็อกสินค้า 

อย่างทาง Flos เองก็จะมีช็อปของตัวเองให้เอามาตั้งในโชว์รูมที่ต่างๆ เลย แล้วทางแบรนด์จะมาตรวจสอบโชว์รูมทั่วโลกเลยว่าช็อปของเขาเป็นยังไงบ้าง เป็นไปตามมาตรฐานไหม แต่สำหรับ Lamptitude Reserve เอง วันที่ทีมงานของ Flos บินมาดูสถานที่ เขาบอกว่าพื้นที่ของเราไม่ต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม เพราะมันสวยอยู่แล้ว เขาชอบที่โชว์รูมเรามีพื้นที่กว้าง เพดานสูง 8 เมตร เลยทำให้โคมไฟดูโดดเด่น เรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจที่แบรนด์ระดับ Flos ชมโชว์รูมของ Lamptitude Reserve 

Lamptitude Reserve มีแผนการตลาดในการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ยังไงบ้าง 

ต้องอธิบายตามตรงว่า เราทำการตลาดกับผู้ออกแบบ ดีไซเนอร์เป็นหลัก จึงเป็นเรื่องยากมากในการใช้วิธีหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ อย่างเช่นการยิงโฆษณาในโซเชียลมีเดีย มันแทบไม่ต่างกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเลย เพราะการหาคนที่มีกำลังซื้อ ชอบดีไซน์ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับโคมไฟเป็นเรื่องยากมาก 

ดังนั้นการหาผ่านสถาปนิกที่มีกลุ่มลูกค้า ผ่านคนที่ต้องการโคมไฟเลยจะเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์กว่า 

สำหรับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ คุณมองเรื่องนี้ยังไง

มีหลายคนมาปรึกษาผมบ่อยนะ ว่าทำเฟอร์นิเจอร์ ออกแบบโซฟามา แล้วโดนเลียนแบบจะทำยังไงดี คือผมจะบอกเขาว่าการที่คุณถูกลอกเลียนแบบ ในมุมหนึ่งให้ยินดีว่าคุณประสบความสำเร็จแล้ว ผมเคยคุยกับแบรนด์อิตาลีบางเจ้า เวลาเขานำเสนอเขาพูดอย่างภาคภูมิใจเลยว่า สินค้าชิ้นนี้ถูกเลียนแบบมากที่สุดในโลก แต่ก็ยังขายได้ถึง 3 ล้านชิ้น แปลว่ามันประสบความสำเร็จมาก มันดีมากในมุมของเขา

สิ่งที่จะสื่อคือ คนที่เขาจะซื้อสินค้าเลียนแบบกับคนที่จะซื้อสินค้าจริง ไม่ใช่คนเดียวกันอยู่แล้ว ผมจะบอกคนที่ทำดีไซน์ว่าอย่าไปกลัวคู่แข่งที่เลียนแบบเลย กลัวคู่แข่งที่เขาทำอะไรใหม่ๆ ออกมาดีกว่า บางครั้งเราเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินไป ผมว่ามันหนักสมอง ผมว่าเราสนใจเรื่องการสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาดีกว่า 

แล้วเรื่องราคาที่ค่อนข้างสูงของโคมไฟต่างประเทศมีผลกระทบต่อธุรกิจของคุณไหม

ทุกวันนี้เวลาผมพาลูกค้าจาก Lamptitude ไปดูสินค้าใน Lamptitude Reserve คือผมก็ไม่ได้ซีเรียสว่าเขาต้องมาแล้วซื้อกลับไป แค่พามาดูเหมือนเดินแกลเลอรีศิลปะ มาดูว่าความคิดสร้างสรรค์ของอิตาลีเป็นยังไง เป็นแบบไหน ซึ่งบางทีก็อาจมีลูกค้าซื้อกลับไปสักชิ้นหนึ่ง 

เพราะจริงๆ เรื่องนี้ผมมองว่ากำไรทางธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องผลกำไร เพราะตั้งแต่ทำ Lamptitude Reserve สิ่งที่พวกผมได้ประโยชน์มากที่สุดคือได้เรียนรู้ ได้ศึกษาแบรนด์ระดับโลก แล้วนำไปพัฒนาผลงานของเราต่อ ดังนั้นเรื่องราคาที่มันอาจส่งผลเรื่องยอดขายคงไม่ใช่ผลกระทบของทางแบรนด์เท่าไหร่

สำหรับประเทศไทยทิศทางของตลาดโคมไฟเป็นยังไงบ้าง

ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า เอาง่ายๆ เลยคือย่านถนนทองหล่อที่ตั้งของร้าน สมัยก่อนมีร้านเพื่อนบ้านที่ขายโคมไฟเยอะมาก แต่ทุกคนก็ล้มหายตายจากไปหมดเลย เพราะว่าด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามเศรษฐกิจ ทำให้ร้านเหล่านี้อยู่ไม่ได้ ทำให้ร้านขายโคมไฟล้มหายลงไปหมด แต่กลับกันร้านขายโคมไฟที่ราคาถูกลงมาก็มีมากขึ้น 

ส่วนในกลุ่มของลูกค้าผมรู้สึกว่ากำลังเติบโตไปในทางที่ดี ทุกวันนี้ลูกค้ามีความรู้มากขึ้นโดยเฉพาะยุคโซเชียลมีเดีย ที่เสิร์ชหาข้อมูลเองเลย แตกต่างจากสมัยก่อนที่เราต้องอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ลูกค้าหน้าใหม่

มีบทเรียนหรือประสบการณ์ตรงไหนจาก Lamptitude ที่เอามาปรับใช้ใน Lamptitude Reserve บ้าง

บทเรียนที่ผมนำมาปรับใช้กับธุรกิจแทบทุกช่วงเวลาคือการปรับตัว ต้องเกริ่นก่อนว่าธุรกิจโคมไฟเป็นธุรกิจเก่าแก่ของที่บ้าน ซึ่งเจอกับสิ่งที่เรียกว่าการดิสรัปชั่น (disruption) แต่ผมอยากบอกว่าการดิสรัปชั่นมันมีมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามีในยุคสตาร์ทอัพ 

ดิสรัปชั่นครั้งแรกคือยุคคุณพ่อตอนผมอายุสิบกว่าๆ วันนั้นพอประเทศจีนเปิดประเทศ โรงงานคุณพ่อเจ๊งเลย เขาไปผลิตกันที่จีนหมด ทำให้พ่อต้องปรับตัวแทนที่จะสู้กับจีน ก็ต้องไปซื้อของจีนมาขายแทน โรงงานที่เคยผลิตก็ปิดตัวลง

ดิสรัปชั่นครั้งที่สอง ตอนผมเรียนจบมาเริ่มทำงาน ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรด ห้างแบบโฮมโปร เพิ่งเปิดโลตัส และบิ๊กซีก็เริ่มมา คุณพ่อผมเลยเอาโคมไฟจากจีนเข้าไปขายในนั้น ซึ่งผมก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าถ้าทำแบบนี้ต่อไปตายแน่ ถึงเราจะมีแบรนด์ที่เป็นแบรนด์ของคุณพ่อ แต่ถ้าเราไม่มีพื้นที่ มีร้านของตัวเอง เราก็จะถูกห้างประเภทนี้กระทืบตาย เพราะด้วยเงื่อนไขของการขายค่อนข้างโหด ผมเลยขอแยกตัวมาทำ Lamptitude เพราะเราเชื่อว่าต้องมีสถานที่ของตัวเอง ต้องมีทีมของตัวเอง จะไปยืมที่คนอื่นไม่ได้ 

เชื่อไหมว่าหลายสิบแบรนด์ที่เคยขายในห้างโมเดิร์นเทรด ทุกวันนี้เจ๊งหมดแล้ว รวมถึงแบรนด์คุณพ่อผมด้วย อันนี้คือดิสรัปชั่นในช่วงที่สอง ตอนผมเข้ามาทำงานแรกๆ 

ดังนั้นในวันนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงผมก็ไม่กังวลอะไรเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจคือการหากลยุทธ์ที่ดี ที่จะยังคงอยู่ไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า ในวันที่เราเริ่มทำ Lamptitude เราตั้งเป้าชัดเจนว่าจะเจาะไปที่ตลาดสินค้าโมเดิร์น สินค้าระดับไฮเอนด์ ต้องมีหลักการทำธุรกิจแบบนี้ มันเลยทำให้เราประสบความสำเร็จมา 20 ปี แล้วก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มันคือเรื่องของการที่เราจะทำอะไรและเลือกจะไม่ทำอะไร 

สำหรับคนที่เริ่มสนใจโคมไฟประเภทนี้ มีเรื่องอะไรต้องพิจารณาบ้าง 

เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคืองบประมาณ ซึ่งผมมองว่างบที่เหมาะสมสำหรับโคมไฟคือ 10-15% จากงบประมาณทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงคนไทยเขาแบ่งงบให้กับเรื่องนี้เพียงแค่ 5% เอง แล้วก็ไปลงทุนกับเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นมากกว่า

แต่ผมอยากจะบอกว่า ถึงคุณจะตกแต่งบ้านให้สวยขนาดไหน แต่ถ้าสุดท้ายแสงไฟในบ้านไม่ดี มันก็ทำให้เฟอร์นิเจอร์คุณหมองนะ เพราะคุณต้องใช้สายตาในการมอง ในการตัดสินว่าอะไรสวย ไม่สวย ดังนั้นเรื่องแสงจึงสำคัญมาก 

ทุกวันนี้เวลาผมไปดูโครงการบ้านหรือคอนโด ที่เฟอร์นิเจอร์ แถมพื้นหินดีๆ แต่พอใช้ไฟดวงละ 200 บาท ผมรู้สึกเสียดายมาก คือถ้าให้ผมไปทำเรื่องไฟดีๆ ให้ จากบ้านมูลค่า 50 ล้านบาท อาจกลายเป็น 80 ล้านบาทได้เลยนะ แต่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าต้องมาซื้อโคมไฟราคาแพงจากอิตาลีทั้งหมด เราก็อาจจะแบ่งสัดส่วนก็ได้ อาจมีโคมไฟดีๆ ลงทุนกับมันหน่อยสักหนึ่งชิ้น แล้วก็มีโคมไฟอื่นๆ มาประกอบ

อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือการซ่อมบำรุง ทุกวันนี้โคมไฟมีหลากหลายรูปทรง ไม่ได้เป็นหลอดอย่างเดียวแล้ว ซึ่งโคมไฟประเภทนี้จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Driver หรือหม้อแปลงในการจ่ายไฟ ที่จะมีอายุขัยของมัน ดังนั้นในการซื้อโคมไฟ นอกจากดูเรื่องราคาแล้วก็อยากให้ดูความน่าเชื่อถือของร้านค้าด้วย ว่าเขามีบริการซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนให้ไหม

อย่างของ Lamptitude เอง เรามีบริการที่เรียกว่า LSI หรือ Lamptitude Service Insurance คือ 3 ปีแรกหลังจากซื้อสินค้า เราจะดูแลให้ฟรีถึงบ้านหากโคมไฟมีปัญหาหรืออุปกรณ์มีอะไรเสีย แต่หลังจากนั้นก็ยังคงดูแลให้ต่อเนื่อง แต่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย แต่ทั้งหมดคือลูกค้ามั่นใจว่าจะมีคนที่มีความรู้และพร้อมให้บริการ 

ในวันนี้ ที่มีแบรนด์ Lamptitude Reserve เกิดขึ้นมา มันตอบสนองตัวคุณในฐานะคนที่ชื่นชอบโคมไฟยังไงบ้าง

เหมือนความฝันเป็นจริงเลย ไม่ใช่แค่ตัวผมนะ ขนาดช่างไฟ เวลาผมอธิบายให้แกฟังว่าอันนี้คือเบอร์หนึ่งของโลก เขามือสั่นเลย แกะกล่องมาประกอบกันแบบประณีต ปีติ ยินดีกัน ช่างไฟที่เอาไปติดบ้านลูกค้าก็ถ่ายรูปมาให้ดู ก็มีความสุขไม่ต่างกัน คือเป็นเหมือนช่วงเวลาสำคัญของทีมงานด้วยที่มีโอกาสได้ขายสินค้าที่เป็นเหมือนเป้าหมายของพวกเรามาตลอด

แบรนด์ Lamptitude ใช้สโลแกนว่า Turn On Your Atitude มา 20 ปี แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามันกลับไม่มีอะไรที่ทำให้เราตื่นเต้นเท่าไหร่ในทีม ดังนั้นในวันที่ได้ทำ Lamptitude Reserve ได้แกะกล่อง ได้ติดตั้งไฟ ผมรู้สึกได้ว่าทุกคนกลับมามีแพlชั่น ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเห็นโคมไฟชิ้นต่างๆ มาประดับที่โชว์รูมของเรา 

มันก็เป็นไฟที่ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาของ Lamptitude ต่อไปว่าจะก้าวแบบไหน จะกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้หรือไม่ อะไรแบบนั้น  

Writer

KFC ฟิลเตอร์สตอรี่ไอจี และ Tame Impala คือสิ่งที่ทำให้ทุกวันนี้อยากมีชีวิตอยู่

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like