กว่าจะเป็น 'หงส์ไทย'
เบื้องหลังการปั้นแบรนด์ยาดมสมุนไพรของเก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม
ยิ่งใช้ ยิ่งนาน ยิ่งหอม คือซิกเนเจอร์ของยาดมหงส์ไทย
ยาดมหงส์ไทย หรือที่ใครๆ เรียกติดปากว่า ‘ยาดมกระปุกเขียว’ เติบโตมาแล้ว 17 ปี โดดเด่นตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกตัวช่วยที่เราเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้มีติดตัวแน่ๆ เหนื่อยล้าแค่ไหน แค่หยิบหงส์ไทยขึ้นมาสูดปื๊ดสักทีนึง สมองก็ปลอดโปร่ง โล่งแน่ๆ
สรรพคุณของยาดมดีขนาดไหนคนที่เคยใช้คงไม่ต้องบรรยายมาก แต่หากถามว่าหงส์ไทยนิยมขนาดไหนนะหรือ ก็ขนาดที่ว่าศิลปินดังๆ รวมถึงศิลปินระดับโลกอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ยังมียาดมหงส์ไทยติดตัว จนพลอยทำให้สินค้าขาดตลาดเพราะแฟนๆ แห่ไปซื้อตาม
กว่าสินค้านอกกระแสอย่างยาดมหงส์ไทยจะกลายมาเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแส ฮิตติดลมอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกว่าจะเป็นที่รู้จัก เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม เจ้าของผู้ก่อตั้งต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย
1. ค้นพบพรสวรรค์การขายตอนเป็นทหาร
ธุรกิจยาดมหงส์ไทยของธีระพงศ์เป็นรูปเป็นร่างตอนที่เขาอายุสามสิบ แต่ก่อนหน้านั้นเขาผ่านสารพัดประสบการณ์มาอย่างทุลักทุเล เขาเคยทำอาชีพทั้งเมสเซนเจอร์ที่โรงพิมพ์ ทำงานถ่ายภาพ ทำโบรชัวร์ และตัดสินใจไปอยู่วัด 1 เดือน แต่จุดเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ธีระพงศ์ค้นพบพรสวรรค์ในการขาย การพูด คือตอนไปเป็นทหารซึ่งต้องไปอยู่ร้านค้าในกองร้อยและต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าที่กำหนด
“เราโดนให้ไปอยู่ร้าน PX ซึ่งเป็นร้านค้าของกองร้อย และต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าคนเก่า คนเก่าทำไว้ 1,200 บาท เราเข้าไปทำก็กลายเป็น 6,000 บาท, 8,000 บาท เยอะสุดก็ 30,000 กว่าต่อเดือน ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในตอนนั้น”
2. ทำธุรกิจขายแคบหมูมาก่อน
หลังออกจากการเป็นทหาร ธีระพงศ์เริ่มทำธุรกิจแรกด้วยการขายแคบหมูและน้ำพริก โดยฝากขายตามร้านโชห่วย แม้ธุรกิจแคบหมูและน้ำพริกจะไปได้ดีในช่วงแรก แต่ทว่าธุรกิจก็ค่อยๆ ดิ่งลง
3. ลงเรียนทำพิมเสนน้ำเพราะอ่านเจอในมุมสร้างอาชีพในหนังสือพิมพ์
หลังจากนั้นเขาบังเอิญไปอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เจอมุมสร้างอาชีพสอนทำพิมเสนน้ำ เขาจึงไปลงคอร์ส และเริ่มลองทำพิมเสนน้ำเป็นครั้งแรก และเพราะว่าธีระพงศ์ไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจของหงส์ไทยจึงไม่มีในตำราเล่มใด ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ลอง และพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
ธีระพงศ์บอกกับเราว่า “เราไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจจึงไม่ได้มีตำรา ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แนวการทำธุรกิจของเราเลยอาจจะแปลกๆ หน่อย บางคนบอกมันจะเป็นไปได้เหรอ แต่ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หงส์ไทยทำธุรกิจไปสุด และเดินทางมาถึงเส้นเหมือนกัน”
ตอนนั้นเหมือนธุรกิจพิมเสนน้ำของเขาจะไปได้ดี ขายแบบเทน้ำเทท่า แต่ทว่าคู่แข่งที่มีมากขึ้นและตัดราคากันก็ทำให้ไปไม่รอด ไม่เพียงแค่พิมเสนน้ำของธีระพงศ์ที่ไปไม่รอด แต่ทั้งตลาดตอนนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน
พิมเสนน้ำของหงส์ไทยออกจากตลาดไปอยู่หลายปี ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งจากการตามหาของลูกค้าที่ตามหาตลอดช่วงที่หายไป การกลับมารอบใหม่นี้ในช่วงปี 2548-2549 ยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวก็ถือกำเนิดขึ้น
4. ชื่อหงส์ไทย มาจากรูปปั้นหงส์ที่เจอระหว่างทางตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด
ส่วนชื่อของหงส์ไทยนั้น ธีระพงศ์บอกว่า “ได้มาจากตอนที่เราไปทำงานสารคดี ลงไปที่ภูเก็ตครั้งแรกเจอรูปปั้นหงส์ระหว่างทาง คิดว่าหงส์ตัวนั้นสวยมาก เวลาเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ตครั้งไหนๆ เลยเฝ้ามองตลอด พอมาทำพิมเสนน้ำ ตอนจะตั้งชื่อเลยนึกถึงหงส์ตัวนั้น ก็เลยตั้งชื่อแบรนด์ว่าหงส์ไทย”
5. ช่วงแรกใช้วิธีเดินเร่ขายก่อนจะกระจายไปทั่วประเทศ
หงส์ไทยไม่ใช่แค่ทำธุรกิจแบบแค่ออกผลิตภัณฑ์ เพิ่มไลน์โปรดักต์ใหม่ เพื่อยอดขายที่มากขึ้นอย่างเดียว แต่หงส์ไทยทั้งเปลี่ยนวิธีการขายจากเคยเดินเร่ขายในช่วงแรก ก็ปรับกลยุทธ์เป็นการวางขายตามร้านขายสมุนไพร ร้านสะดวกซื้อ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
6. ช่วงแรกผลิตได้วันละ 10 ชิ้น ตอนนี้ยาดมกระปุกเขียวผลิตได้เดือนละ 300,000 ชิ้น
การทำธุรกิจของหงส์ไทยเจอปัญหามาเยอะตลอดช่วง 8 ปีแรก โดยเป็นเรื่องของคน พนักงานเข้าๆ ออกๆ กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ใช้เวลาหลายปีจนวันนี้หงส์ไทยแข็งแกร่งเพราะผ่านมรสุมมาทุกยุค พนักงานจาก 20 คน ตอนนี้มีกว่า 200 คน และปีนี้น่าจะมีพนักงานถึง 300 คน ทำให้จากที่เริ่มทำเองคนเดียวผลิตสินค้าได้วันละ 10 ชิ้น ตอนนี้ยาดมกระปุกเขียวผลิตได้เดือนละ 300,000 ชิ้น
7. หงส์ไทยใช้วิธีการพัฒนากลิ่นด้วยการหาค่ากลางจนได้กลิ่นที่ลงตัว
ลึกซึ้งไปกว่านั้นเพราะกว่าผลิตภัณฑ์หงส์ไทยจะออกมาแต่ละชิ้น ธีระพงศ์หยิบเอาดาต้ามาใช้เช่นกัน ดาต้าที่ว่านี้คือฟีดแบ็กและคำวิจารณ์ของลูกค้าตำหนิว่ากลิ่นไม่หอม ก็เอามาปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอด
“กลิ่นเป็นศาสตร์ เมื่อเราหาค่ากลางได้ ทำให้ยาดมหงส์ไทยเป็นยาดมที่ทุกกลุ่มดมได้ ยาดมกระปุกสีเขียวเป็นกลิ่นสากล กระปุกสีเหลืองเป็นกลิ่นเฉพาะ ส่วนกระปุกสีขาวกลิ่นมาตรฐาน ทุกอย่างพัฒนาแล้วกลิ่นต้องดีกว่าเดิม”
8. หงส์ไทยพัฒนามาแล้วมากกว่า 500 รอบ
จากการพัฒนากลิ่นให้เป็นเอกลักษณ์มาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกใจที่ยาดมกระปุกเขียวสุดฮิตที่ขายดีที่สุดของหงส์ไทยนี้จะถูกปรับปรุงพัฒนามาแล้ว 30 รอบ และผลิตภัณฑ์ของหงส์ไทยทั้งหมด 50 กว่ารายการนี้ถูกพัฒนารวมทั้งหมดกว่า 500 รอบไปแล้ว
9. ยึดหลัก ‘ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่ต้องไม่ลดคุณภาพ’
สิ่งที่แตกต่างของหงส์ไทยอีกเรื่องคือคุณภาพ ‘ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลดคุณภาพ’ ที่ทำให้หงส์ไทยยืนระยะอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ หลักการทำธุรกิจโดยปกติทั่วไปต้องคิดถึงต้นทุน ทำแล้วมีกำไร แต่วิถีการทำธุรกิจของธีระพงศ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อว่าการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคคือสิ่งที่ควรทำที่สุด
เขายังบอกอีกว่า สินค้าที่วางขายในตอนนี้มี 5 ผลิตภัณฑ์ที่ทำแล้วขาดทุนตั้งแต่วางขายเลย แต่หงส์ไทยก็เลือกที่จะทำและวางขายอยู่ดี เพราะแม้ว่าสินค้าทั้งห้าตัวนี้จะขาดทุน แต่เมื่อรวมกับทั้งหมดที่มีหักลบกันแล้ว หงส์ไทยแค่กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง
นั่นหมายความว่าหงส์ไทยเลือกที่จะแตกต่าง และพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น และไม่อยู่ในตลาดที่เป็นตัวเลือกและแข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนนอกตลาด และทำตลาดของหงส์ไทยเองที่เมื่อลูกค้ามาซื้อแบรนด์หงส์ไทยแล้ว จะไม่กลับไปซื้อแบรนด์อื่นในตลาดอีก
10. เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ณ ตอนนี้ ธีระพงศ์บอกว่าคือยุคที่หงส์ไทยพร้อมที่จะขึ้นไปยืนอยู่ในท็อป 10 ของตลาดยาดมในไทย และตั้งเป้าว่าไม่เกินปี 2568 จะต้องมีโรงงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม ที่ตอนนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่างแล้ว