Heinz Culture
เมื่อฝรั่งอยากทำน้ำปลา จากอดีตผลไม้ปีศาจ สู่ซอสประจำบ้านที่ Heinz เข้ามาปฏิวัติ
ketchup หรือซอสมะเขือเทศที่ถูกปรุงรสมักจะบรรจุอยู่ในขวดใส หรืออาจจะอยู่ในซอง ในหลอดปั๊มตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด นอกจากการที่พวกมันจะอยู่บนโต๊ะอาหาร ใช้เสริมรสแทบจะได้กับอาหารทุกอย่างแล้ว แม้แต่ในประเทศไทยแบบเราๆ ซอสมะเขือเทศก็กลายเป็นเครื่องปรุงสามัญประจำบ้าน
แทบทุกบ้านต้องมีเจ้าซอสมะเขือเทศติดบ้านไว้ บางเมนูของไทยก็มีประวัติศาสตร์เชื่อมโยงกับเจ้าซอสมะเขือเทศนี้ เช่น ข้าวผัดอเมริกัน ที่เกี่ยวข้องกับอาหารยุคสงครามที่มีทหารและวัฒนธรรมจากอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง
เจ้าซอสมะเขือเทศที่มีอยู่ทุกที่ และกระจายไปทั่วโลกจึงเป็นอีกซอสที่เราเห็นว่ามันแสนจะธรรมดา แต่เพื่อเป็นการต้อนรับเดือนฮาโลวีน คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์จะพาไปสำรวจมิติอีกด้านในขวดและซอสมะเขือเทศสีแดงฉาน จากเรื่องราวของซอสที่เชื่อกันว่ามีที่มาจากซอสจีน
ที่สำคัญคือก่อนที่เจ้ามะเขือเทศจะกลายเป็นซอสรสอร่อย พวกมันเคยถูกตราหน้าว่าเป็นผลไม้พิษของปีศาจ ก่อนที่แบรนด์สำคัญคือไฮนซ์ จะใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์ มาปรับจนซอสบรรจุขวดกลายเป็นตัวแทนจากวิทยาศาสตร์และสุขอนามัย
นี่คือความสนุกที่จะเติมรสให้ซอสมะเขือเทศของคุณรุ่มรสไปด้วยเรื่องราวยาวนาน จากไร่มะเขือเทศ ถึงโรงงานที่โปร่งใสของไฮนซ์
kecap / ke-chiap ซอสลับแบบเอเชีย
ข้อเสนอที่น่าประหลาดใจที่สุดของ ketchup คือการสืบสาวไปว่ารากของ ketchup มาจากซอสที่มาจากประเทศจีน รวมถึงกลุ่มซอสหมักที่แพร่กระจายอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้านเรานี่แหละ
ก่อนที่ ketchup จะหมายถึงซอสมะเขือเทศปรุงรส หลายร้อยปีก่อน เชื่อว่าคำว่า ketchup ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ke-chiap ซึ่งบ้างก็เชื่อว่าจีนรับอิทธิพลการทำซอสที่หมักจากปลาไปจากเวียดนาม ต่อมา ซอสหมักจากน้ำปลากลายเป็นเครื่องปรุงสำคัญที่จะติดไปกับเรือสำเภาของจีน ก่อนที่เจ้าซอสหมักนี้กระจายตัวกลับในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นในประเทศกลุ่มมาเลเซียและสิงคโปร์
กลุ่มวัฒนธรรมมลายูเรียกซอสหมักนี้ว่า kecap เป็นซอสสำคัญในการปรุงรสของครัวในแถบเอเชีย
ทีนี้ ในช่วงศตวรรษที่ 18 อังกฤษเริ่มเดินทางเข้ามาในพื้นที่คาบสมุทรมาลายูและมะละกาแล้ว ก็เลยได้รู้จักกับอาหารและซอสสำคัญของอาหารการครัว เจ้าซอสนี้ถือเป็นของแปลก และเป็นเครื่องปรุงที่เต็มไปด้วยรสชาติ ยิ่งเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมอาหารของอังกฤษดั้งเดิมในขณะนั้น
คำว่า ketchup เริ่มปรากฏขึ้นเป็นสูตรอาหาร ในที่นี้คือสูตรเครื่องปรุงตั้งแต่ราวทศวรรษ 1720 ตำราการเรือนสำคัญเช่น The Compleat Housewife ของ Eliza Smith ตำราอาหารของกุลสตรีของอังกฤษ ตีพิมพ์ในปี 1724 ปรากฏสูตร ketchup ซึ่งคือซอสที่ปรุงขึ้นโดยมีปลาแอนโชวีเป็นพื้นฐาน
ในสมัยนั้นคำว่า ketchup จึงค่อนข้างมีความหมายกว้าง คือหมายถึงซอสที่หมักขึ้นโดยจะมีพื้นเป็นปลาหรือไม่ก็ได้ โดยทั่วไปหมายถึงซอสที่หมักขึ้นจากหลากหลายวัตถุดิบ ขึ้นกับว่าจะมีส่วนผสมหลักคืออะไรเช่นถั่ววอลนัตดอง เห็ด ซอสในขณะนั้นถ้าดูวิธีการหมักมักจะหมักกับไวน์และเครื่องเทศ ซึ่งค่อนข้างคล้ายกับซอสเปรี้ยวหรือวูสเตอร์ไชร์ซอส

หลังจากนั้น มีอีกร่องรอยที่ชี้ว่าอังกฤษน่าจะได้รับอิทธิพล คือพยายามทำซอสหมักซึ่งน่าจะได้อิทธิพลจากสุมาตรา คือจากเมือง Bencoulin (อินโดนีเซียในปัจจุบัน) พื้นที่รกรากของบริติชอินเดียในปี 1684 ตำราอาหารในปี 1732 สูตร ketchup in Paste ซึ่งบอกว่ามีเมือง Bencoulin เป็นที่มาของวิธีทำเครื่องปรุง ketchup ในตอนนั้นนั่นเอง
หลังจากนั้นเกือบร้อยปี คือในศตวรรษที่ 19 ที่ ketchup จะเริ่มมีมะเขือเทศเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญ และมีสูตรการทำค่อนข้างใกล้เคียงกับที่เรารู้จักในปัจจุบัน คือมีการผสมมะเขือเทศเข้ากับรสหวาน เปรี้ยวจากน้ำส้ม ผสมกานพลู ขิง และอื่นๆ ซึ่งค่อนข้างแพร่หลายในอเมริกา เช่นมีปรากฏในหนังสือ Archives of Useful Knowledge, Vol. 2 ในปี 1812 เขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน
มะเขือปีศาจ ผลไม้สีแดงต้องห้าม
ก่อนที่เราจะผสมมะเขือเทศลงเป็นหนึ่งในสูตรซอสลับ และก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นซอสหลักที่ยึดความหมายของคำว่า ketchup ในปัจจุบัน เราต้องย้อนไปเล่าเรื่องเจ้ามะเขือเทศ ที่มีความวุ่นวายพอๆ กับการพยายามเลียนวิธีการหมักซอสของโลกตะวันออก ด้วยว่าเจ้ามะเขือเทศสีแดงสด เคยถูกมองว่าเป็นพิษ กระทั่งเป็นพืชต้องห้ามของภูตผีปีศาจที่คนยุโรปและอเมริกันหวาดกลัว
จุดเริ่มความหลอกหลอนของมะเขือเทศคือใบและลำต้นของมะเขือเทศมีสารพิษในกลุ่ม glycoalkaloids แบบเดียวกับในมันฝรั่งดิบหรือมันฝรั่งที่งอก ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวของพืชจากแมลงรบกวน
ย้อนไปในองค์ความรู้เกี่ยวกับพืชของโลกตะวันตก เช่นตำราสมุนไพรอิตาเลียนจากปี 1544 ระบุว่ามะเขือเทศเป็นพืชกลุ่ม nightshade พืชหัวที่เติบโตได้ดีในเวลากลางคืน ร่วมวงศ์กับแมนเดรก ซึ่งถือว่าเป็นพืชของแม่มด ใช้ปรุงยา เป็นพืชที่มีพิษและกระตุ้นบาป ในตอนนั้นพืชที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นมะเขือยาว
ในประวัติศาสตร์ยุโรป เรื่องมะเขือเทศมีความซับซ้อน พวกมันเป็นผลไม้ที่เดินทางกลับมาจากทวีปอเมริกา แต่ในภาพรวมคือชาวยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษซึ่งส่อต่อไปยังอเมริกาในยุคอาณานิคม อาจจะมีการปลูกมะเขือเทศ แต่ไม่ใช่เพื่อการบริโภค ด้วยเชื่อว่าพวกมันมีพิษ ผลพิษของพวกมันทำให้ผู้มีอันจะกินป่วยไข้ ซึ่งความป่วยไข้จากมะเขือเทศของผู้ดีมีอันจะกินไม่ได้มาจากมะเขือเทศโดยตรง แต่มาจากเครื่องใช้เช่นจานหรือถาดซึ่งมักมีตะกั่วเจือปน เมื่อวางมะเขือเทศแล้ว กรดของมะเขือเทศทำให้ตะกั่วปนเปื้อนและทำให้เหล่าขุนนางผู้ดีเจ็บป่วย
ภาพของมะเขือเทศค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อยุโรปแผ่นดินใหญ่เช่นฝรั่งเศส และอิตาลีเริ่มนำมะเขือเทศมาทำอาหาร เริ่มเอามาทำพิซซ่า ความเชื่อมโยงสำคัญคืออเมริกา สำหรับอเมริกามีการปลูกมะเขือเทศเพื่อความสวยงามบ้าง มีมะเขือเทศปรากฏอยู่ทั่วไปแล้ว แต่ที่เมืองศูนย์กลางแม่มดคือซาเลม กลับเป็นพื้นที่สำคัญในการกู้ศักดิ์ศรีมะเขือเทศ รวมถึงเป็นเมืองที่ใช้ผลิต ketchup ในช่วงแรกด้วย
การปราบมะเขือเทศปีศาจที่ซาเลม
หนึ่งในตำนาน–ขอย้ำว่าคือตำนานที่เชื่อกันว่าทำให้อเมริกันชน หันกลับมาเชื่อว่าการกินมะเขือเทศปลอดภัย คือในปี 1820 มีเกษตรซึ่งในตอนนั้นเป็นนักเพาะพันธุ์พืชด้วยชื่อ Robert Gibbon Johnson เรื่องเล่าเล่าขานว่าในปีนั้นที่เมืองซาเลม จอห์นสันเรียกการไต่สวน และทำการกินมะเขือเทศจนหมดตะกร้าต่อหน้าศาล คณะลูกขุน และชาวบ้าน
ความเป็นตำนานตรงนี้นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นระบุว่าอาจจะเป็นเรื่องเล่าที่มีความจริงผสมกับการปรุงรส และเป็นเรื่องที่พบได้ในหลายท้องถิ่นของอเมริกา ส่วนหนึ่งคาดว่าตัวจอห์นสันน่าจะเป็นเกษตรกรที่ปลูกและผลักดันให้ผู้คนเชื่อมั่น และซื้อผลผลิตของตัวเอง ตรงนี้เองที่เรื่องเล่าท้องถิ่นชี้ว่าไม่ใช่แค่จอห์นสันเท่านั้นที่พยายามขายผลผลิต แต่ในหลายพื้นที่ก็มีชุมชนเกษตรกรที่พยายามขายของตัวเองปะปนอยู่ด้วย
กรณีของโรเบิร์ต จอห์นสัน เอง ไม่มีหลักฐานว่าการกระทำสร้างกระแสมากน้อยแค่ไหน แต่ตำนานปากต่อปากมีการถูกนำมาปัดฝุ่นเล่าใหม่โดยเฉพาะในยุคสื่อและความตื่นตัวเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชน เช่นในปี 1949 สถานีวิทยุนำเรื่องการพิสูจน์มะเขือเทศไปเล่าซ้ำ หรือที่เมืองซาเลมเอง ตั้งแต่ปี 1989-2022 มีการจัดเทศกาลมะเขือเทศประจำเมืองซาเลม ในงานมีการแสดงเหตุการณ์ของจอห์นสันซึ่งรวมถึงการกินมะเขือเทศเพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยตามตำนานด้วย
ตรงนี้เราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่วิทยาศาสตร์และวิทยาการเกษตรกรรม กรณีนี้คือการเป็นนักเพาะพันธุ์พืช รวมถึงถ้าเราย้อนไปที่ตำราที่เขียนถึงสูตรการทำ ketchup ที่มีมะเขือเทศ ผู้เขียนตำราจากปี 1812 ก็เป็นนักเพาะพันธุ์พืชด้วยเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงจากความรู้ต่อพืชพรรณและวงการเกษตร มีผลในการเชื่อมต่อมะเขือเทศเข้าสู่การเป็นส่วนประกอบของเครื่องปรุง ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นสูตรอาหารและการแปรรูปในครัวเรือนอยู่
ในราวทศวรรษ 1820 ครัวเรือนอเมริกันเองก็ไม่กลัวมะเขือเทศอีกต่อไป มีตำราอาหารมากมายที่ให้สูตรอาหารซึ่งใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบ พร้อมกันนั้น มะเขือเทศก็เริ่มเลื้อย ผลิดอกออกผล ในสวนในไร่ของเกษตรกร ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อผลผลิตมีเยอะ ด้วยลักษณะของมะเขือเทศในขณะนั้นที่ยังค่อนข้างเปราะบาง เน่าเสียง่าย ไม่ทนทาน รวมถึงความต้องการซอสในพื้นที่วัฒนธรรมอาหารตะวันตกที่จืดชืด การมี ketchup จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเติมชั้นเครื่องปรุงในครัวและเติมรสชาติอาหารให้เต็ม
ตรงนี้เองที่บริษัท Heinz ของ Henry John Heinz เริ่มต้นขึ้น ในการคิดการปรุง ketchup สูตรมะเขือเทศขึ้น โดยมีการใช้น้ำส้มสายชู น้ำตาล และเกลือ รวมถึงใช้ขวดแก้วใส เพื่อยืดอายุให้กับซอสจากมะเขือเทศที่เน่าเสียง่าย

ความโปร่งใสของขวดแก้ว และอาหารปลอดภัยของไฮนซ์
ชะตาของมะเขือเทศ รวมถึงมะเขือเทศในนามของซอส ketchup ค่อนข้างผกผัน หลังจากทศวรรษ 1820 เมื่อคนไม่กลัวมะเขือเทศ และ ketchup ที่ใช้มะเขือเทศเป็นองค์ประกอบหลักของซอส ยังถือเป็นของใหม่ ในทศวรรษถัดมาคือ 1830 เกิดกระแสตรงข้ามคือเกิดความคิดว่าซอสจากมะเขือเทศมีผลทางยา
เช่นในปี 1834 หมอจอห์น คุก เบนเน็ต คิดค้นมะเขือเทศ ketchup ขึ้นในฐานะยา โดยเชื่อว่าสารอาหารจากมะเขือเทศที่ถูกบดและเปลี่ยนรูปเป็นของกึ่งเหลวสามารถรักษาโรคเช่นท้องเสีย ดีซ่าน ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานการแพทย์ มีการใช้กระทั่งร่วมรักษาอหิวาต์ จุดเด่นของการรักษาด้วย ketchup ทางการแพทย์ มักได้ผลที่ดีกว่าวิธีอื่นๆ คืออย่างน้อยที่สุด ไม่ใช่ยาที่ทำร้ายผู้ป่วย ยาร่วมสมัยในช่วงนั้นมักจะประกอบไปด้วยสารอันตรายเช่นโคเคน ปรอท ตะกั่ว
ในกลางศตวรรษที่ 19 คำว่า ketchup ยังมีความหมายถึงซอสหมักทั่วไป แต่เริ่มมีการทำ ketchup การแพทย์เพื่อรักษาผู้คนในฐานะยา จุดเดียวกันคือการเน่าเสียของมะเขือเทศซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจ ตรงนี้เองที่ Henry John Heinz เข้ามาเป็นผู้ปฏิวัติวงการซอสมะเขือเทศ และสร้างสุดยอดซอสที่มีทุกครัว และเป็นตัวแม่ของซอสอื่นๆ คือนำไปผสมและออกลูกออกหลานได้มากมาย
จุดเริ่มของไฮนซ์ Henry John Heinz น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ตระกูลไฮนซ์เป็นครอบครัวธุรกิจอพยพจากเยอรมนีมาตั้งรกรากที่เพนซิลเวเนีย โดยเมื่ออายุราว 24-25 ปี เฮนรี่ ไฮนซ์ ก็รวมตัวกับเพื่อนเปิดบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นอาหารแปรรูป โดยเฉพาะการบรรจุฮอร์สแรดิชดองลงในขวดเพื่อจำหน่ายโดยใช้สูตรของแม่มาทำ

จุดเด่นที่สุดที่ถือว่าไฮนซ์เป็นผู้ริเริ่มคือการให้ความสำคัญกับความสะอาดและความปลอดภัย ด้วยการใช้ขวดหรือโหลแก้วใสในการบรรจุสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นทั้งความสะอาดและหน้าตาของผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งอยู่ภายในขวด
กิจการช่วงแรกของไฮนซ์ทำผลิตภัณฑ์ในทำนองเดียวกันจำหน่ายเช่น ซาวร์เคราต์ (กะหล่ำดอง) ผักดองอื่นๆ หรือน้ำส้มสายชู ซึ่งบริษัทแรกเจ๊งในปี 1875 แต่ไฮนซ์ไม่ยอมแพ้และร่วมหุ้นกับน้องชายและญาติๆ จุดเปลี่ยนสำคัญคือการออกผลิตภัณฑ์สำคัญ ketchup ซึ่งทำจากซอสมะเขือเทศ ช่วงแรกที่ขายซึ่งเริ่มในปี 1876 เรียกว่า catsup ก่อนจะเปลี่ยนการสะกดเป็น ketchup เพื่อแยกซอส ซึ่งทำจากมะเขือเทศ ออกจาก ketchup แบบอื่นๆ
ปรัชญาสำคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารของไฮนซ์คือความสะอาดและความโปร่งใส สำหรับบริษัทและผลิตภัณฑ์ของไฮนซ์ถือเป็นผู้กรุยทางในหลายด้าน ทั้งการสร้างกรรมวิธีผลิตที่ปลอดเชื้อ คิดค้นวิธีการลดการปนเปื้อนลงของโรงงานเช่นการให้พนักงานผ่านน้ำร้อนก่อนเข้าพื้นที่โรงงานหรือการมีการจัดการเรื่องเล็บและความสะอาดให้กับพนักงาน
ความใส่ใจเรื่องวิทยาการการผลิตอาหารและความสะอาด ไปไกลถึงขนาดที่ตัวไฮนซ์เองเป็นผู้ผลักดันกฎหมายอาหารและยาปลอดภัย (Pure Food and Drug Act) ในปี 1906
สร้างแบรนด์แรกให้ผลิตภัณฑ์อาหาร
นอกจากการใช้แนวคิดเรื่องวิทยาการในการผลิตและความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ไฮนซ์ยังถือเป็นผู้นำในการทำการตลาดสินค้าอาหาร หนึ่งในการตลาดสำคัญคือการแปะตัวเลขปริศนาว่า ‘57 Varieties’ ไว้ที่บริเวณคอขวด ซึ่งจะติดไว้แน่นอนที่ขวดซอสมะเขือเทศ และบางผลิตภัณฑ์ของไฮนซ์
ตัวเลขนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากการที่ไฮนซ์ไปมองเห็นโฆษณาร้านรองเท้าในนิวยอร์กซึ่งบอกว่ารองเท้าตัวเองมี 21 แบบ ความหลากหลายตรงนี้ทำให้ไฮนซ์จำแบรนด์นั้นได้ ทำให้เกิดความคิดว่าตัวเลขบางชุด และการแสดงความหลากหลายของสินค้าที่มีอีกมากมายจะฝังตัวตนของแบรนด์ลงในความรู้สึกของผู้ซื้อได้
ตัวเลข 57 อันที่จริงเป็นตัวเลขจินตนาการล้วนๆ คือไฮนซ์แค่ใช้ตัวเลขนำโชคของตัวเองคือ 5 และตัวเลขนำโชคของภรรยาคือ 7 วางต่อกัน ตรงนี้ประจวบกับสินค้าอื่นๆ ของไฮนซ์มีจำนวนมากกว่า 60 อย่างไปแล้ว ซึ่งเลข 57 กลายเป็นเลขนำโชค กลายเป็นมรดกของแบรนด์ กลายเป็นตัวเลขกิจกรรม และกลายเป็นตัวแทนที่เหนือกาลเวลาของผลิตภัณฑ์ไฮนซ์

ความพิเศษของตัวเลขที่ดูไม่มีนัยอะไรลึกล้ำนี้ กลายเป็นว่าทุกที่ของทั้งตัวผลิตภัณฑ์ของไฮนซ์และพื้นที่โฆษณาอื่นๆ กลับมีตัวเลขเดียวกันยึดโยงตัวตนของแบรนด์เข้าสู่การรับรู้ของผู้บริโภค ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเช่นซอส ผักดอง ของกระป๋อง ถั่วอบ ถือเป็นของใหม่ และอาหารถือว่าไม่เคยได้รับการทำเป็นแบรนด์ และทำการตลาดมาก่อน
แค่คำว่า Varieties เป็นคำสั้นๆ ที่สะท้อนว่าผู้บริโภคสามารถเชื่อถือในความเชี่ยวชาญและความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และคุณภาพของไฮนซ์ได้ และความหลากหลาย ทั้งของสินค้าในเครือ รวมถึงการใช้งานที่หลากหลาย เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคอเมริกันชอบ
จากเรื่องราวของมะเขือเทศที่ถูกสาปของภูตผีปีศาจ การทำน้ำซอสที่อาจจะได้อิทธิพลจากเอเชีย และการเปลี่ยนความหมายของมะเขือเทศ จนการทำให้วัตถุดิบอาหารกลายเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งหลายส่วนสะท้อนการเกิดขึ้นของปรัชญาของบริษัทและอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การใช้วิทยาศาสตร์ การให้คำมั่นถึงความสะอาดปลอดภัย รวมถึงการทำการตลาดที่ถูกต้องเหมาะสม
ไฮนซ์จึงเป็นอีกผลผลิตของบริบทอาหารและวัฒนธรรมอเมริกัน ทำให้ซอสแบบจีนหรือเอเชีย กลายเป็นซอสที่มีความเป็นอเมริกันโดยสมบูรณ์ เป็นซอสที่กินง่าย เข้าใจง่าย แก้ปัญหาต่างๆ เช่นของที่จืดชืด ไม่อร่อย ให้อร่อยขึ้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และทำให้ ‘รสชาติแบบอเมริกัน’ กลายเป็นรสชาติของโลก
อ้างอิงข้อมูลจาก
- history.com/articles/ketchup-surprising-ancient-history
- smithsonianmag.com/arts-culture/brief-but-global-history-ketchup-180969725
- eighteenthcenturylit.pbworks.com/w/page/129974919/ketchup
- nationalgeographic.com/culture/article/how-was-ketchup-invented
- nationalgeographic.com/history/article/tomato-history-salem-new-jersey?
- nj.com/salem/2016/08/salem_county_rewind_hj_heinz_heyday_in_salem_more.html
- brucewilsonauthor.medium.com/was-ketchup-used-as-medicine-920f0a1ba1b4
- smithsonianmag.com/history/how-the-misrepresentation-of-tomatoes-as-stinking-poison-apples-that-provoked-vomiting-made-people-afraid-of-them-for-more-than-200-years-863735/?