The Hawk(er)
Hawker Center กับการแก้ปัญหาผังเมืองและโรคระบาด จนสิงคโปร์กลายเป็นเมืองหลวงสตรีทฟู้ดโลก
เอ่ยถึงสิงคโปร์ บางคนคิดถึงภาพความเป็นระเบียบและความสะอาดสะอ้านของบ้านเมืองที่หมดจดมองไปทางไหนไม่มีขยะให้เห็นแม้แต่ชิ้นเดียวบนถนน Orchard Road ถนนเส้นใหญ่ใจกลางเมือง ความเข้มงวดในการรักษาความสะอาดนี้เลยเป็นเหตุให้รัฐบาลสิงคโปร์ออกกฎแบนการเคี้ยวหมากฝรั่งในปี 1992 เพื่อขจัดปัญหาการคายกากหมากฝรั่งไม่เป็นที่และค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสียถึงปีละ 150,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณเกือบ 4 ล้านบาท) ต่อปีในการทำความสะอาดซากหมากฝรั่งตามพื้นถนน
หรือบางคนอาจคิดถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและแข็งแกร่งเข้มงวด เพาะบ่มผู้คนให้เป็นปัญญาชนระดับโลก โดยระบบการศึกษาของสิงคโปร์ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดจากองค์กร OECD (The Organization for Economic Coorperation and Development–องค์กรที่รวบรวมสมาชิกไว้ 37 ประเทศเพื่อจุดประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจ) เพราะโดยเฉลี่ยแล้วเด็กนักเรียนในสิงคโปร์มีทั้งทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ดีโดดเด่นกว่าชาติอื่นๆ อีก 37 ประเทศที่ร่วมเป็นสมาชิกของ OECD
หรือภาพจำอีกอย่างของประเทศสิงคโปร์คือความเจริญก้าวหน้าทันสมัยของตึกรามบ้านช่อง ผสมผสานด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติทั้งคนจีน มาเลย์ อินเดีย ถ้าคุณเดินเล่นบนเกาะแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์กแล้วคิดว่าได้พบเจอคนหลากเชื้อชาติมากมายเสียเหลือเกิน คุณจะพบความรู้สึกเดียวกันเมื่อคุณเดินเล่นในท้องถนนของสิงคโปร์
ใดๆ ทั้งหมด สิ่งสำคัญที่ดูเหมือนว่ากำลังเป็นซอฟต์พาวเวอร์ลูกใหม่ของสิงคโปร์หาใช่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ 5-6 ปีให้หลังมานี้ เมื่อไหร่ที่พูดถึงสิงคโปร์คนทั่วไปมักเริ่มคิดถึง วัฒนธรรมสตรีทฟู้ดที่ตั้งอยู่ในศูนย์อาหารแบบกลางแจ้งหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า hawker center กันทั่วทั้งสิ้น
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/shutterstock_472641256-1024x683.jpg)
ถามว่า hawker center นี้เป็นซอฟต์พาวเวอร์และเป็นหน้าเป็นตา เป็นความภูมิใจของคนสิงคโปร์ขนาดไหน? ก็ขนาดที่ว่า ลี เซียน ลุง (Lee Hsien Loong) นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ประกาศเอาไว้ในปี 2018 ว่าจะเอาวัฒนธรรมแบบ hawker culture ยื่นขอเป็นมรดกโลกแบบจับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage of Humanity) กับ UNESCO และการยื่นขอนั้นก็ประสบความสำเร็จในปี 2020
สำหรับคนที่เคยเดินทางไปเยือนสิงคโปร์คงรำลึกภาพจำได้ไม่ยากถึง hawker center ศูนย์อาหารกลางแจ้ง มีโต๊ะเรียงรายให้นั่งรับประทาน คุณสามารถเพลิดเพลินสนุกสนานกับการจับจ่าย สั่ง ชิมได้ตามแต่สะดวก
สำหรับคนที่ไม่เคยเดินทางไปที่สิงคโปร์ ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Crazy Rich Asians ภาพยนตร์รอม-คอมสร้างจากนิยายขายดีของเควิน ควาน (Kevin Kwan) มีฉากที่แสดงให้เห็นถึงความเอร็ดอร่อยและสนุกสนานของพระ-นาง เมื่อไปกินข้าวที่ hawker center กับเพื่อนๆ จนเราแทบอยากจะซื้อตั๋วบินไปสิงคโปร์ตามไปกินอาหารที่ hawker center เหมือนพวกเขาเลยทีเดียว
มองผิวเผินเพียงผ่านเราอาจคิดว่า hawker center อาจเป็นเพียงแค่ฟู้ดคอร์ตขนาดใหญ่ ที่รวบรวมร้านค้าไว้มากมาย ที่กระจายตัวอยู่ทั่วสิงคโปร์ จะมีอะไรพิเศษเกินไปกว่านั้นได้อีก แต่หากมองไปให้ลึกกว่านั้นนอกจากการเป็นศูนย์รวมร้านค้าอาหารและเครื่องดื่มมากมาย hawker center เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมวัฒนธรรมอาหารอันหลากหลายเอาไว้ คุณสามารถพบเจอร้านข้าวมันไก่ไหหลำอร่อยขั้นเทพ เส้นหมี่ลักซาเปอรานากันสูตรที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือแกงกะหรี่สูตรเข้มข้นหอมเครื่องเทศอินเดีย และทั้งหมดนี้มาในราคาที่จ่ายง่ายสบายกระเป๋า
ปัจจุบันมีศูนย์อาหาร hawker center มากกว่า 114 แห่งที่อยู่ในความดูแลของ NEA (National Environment Agency–หน่วยงานที่รับผิดชอบความสะอาดและยั่งยืนในสิงคโปร์) ศูนย์ hawker center แต่ละแห่งประกอบไปด้วยร้านอาหารมากมายหลายสิบร้าน ฉะนั้นการแข่งขันด้านรสมือจึงเข้มข้นเหมือนรสชาติของอาหาร เจ้าของร้านแต่ละร้านต้องพยายามอย่างยิ่งยวดในการรักษารสชาติและมาตรฐานอาหารของตัวเองไว้ให้ดีที่สุด ในวงเล็บตัวใหญ่ๆ ขีดเส้นใต้สองเส้นว่า ทั้งหมดนี้ยังต้องมาในราคาที่เข้าถึงได้อีกต่างหาก
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/shutterstock_1700692960-1024x768.jpg)
มาตรฐานความอร่อยของอาหารที่ขายใน hawker center ถูกยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและสปอตไลต์ของซีนอาหารทั้งโลกก็ถูกฉายมาที่ hawker center ของสิงคโปร์ในปี 2016 เพราะนั่นเป็นปีที่ 2 ที่ร้านอาหารใน hawker center ได้รับดาวมิชลิน ทั้งร้าน Hill Street Tai Hwa Pork Noodle และ Chan Hon Meng Hong Kong Soya Sauce Chicken Rice and Noodle (ต่อมาปรับชื่อให้เป็นที่จำง่ายโดยทั่วไปว่า Hawker Chan และได้เสียดาวมิชลินไปในปี 2021) จึงกลายเป็นว่าสิงคโปร์คือประเทศที่เป็นที่ตั้งของร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินที่ราคาถูกที่สุดในโลก โดยคุณสามารถจ่ายเงินไม่เกิน 3 ดอลลาร์ (ประมาณ 76 บาท) คุณก็สามารถกินอาหารที่ได้รับดาวมิชลินได้แล้ว
ลิลี่ คง (Lily Kong) ศาสตราจารย์ทางด้านสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Singapore Management University พูดถึง hawker center และวัฒนธรรม hawker ไว้อย่างน่าสนใจว่า hawker center เป็นมากกว่าศูนย์อาหารเพราะมันเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์และตัวตนความเป็นสิงคโปร์อย่างแท้จริง นอกจากมันจะรวบรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมเอาไว้ในศูนย์อาหารเหมือนกับประเทศสิงคโปร์ที่กอปรร่างสร้างขึ้นมาจากคนหลากหลายเชื้อชาติ hawker center ยังเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงการวางผังเมืองที่ถูกคิดและออกแบบมาเป็นอย่างดี (ไอเดียการออกแบบผังเมือง หรือ urban planning ของสิงคโปร์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุค 1820 โดยจุดประสงค์การออกแบบผังเมือง คือการใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในปัจจุบันและอนาคต)
จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมแบบ hawker เริ่มจากการเป็นหาบเร่แผงลอยและการหลั่งไหลอพยพของผู้คนมาจากแหลมมลายูในช่วงยุค 1900 เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น แรงงานในการจ้างงานเพิ่มขึ้น ความต้องการกินอยู่ก็สูงตาม ส่งผลพลอยให้จำนวนของร้านค้าอาหารหาบเร่รถเข็นเกิดขึ้นมากตามอุปสงค์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านไป 3 ใน 4 ของประชาชนชาวสิงคโปร์เกิดการกระจุกตัวขึ้นในบริเวณใจกลางเมือง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ทำให้การรวมตัวของรถเข็นขายอาหารเพิ่มจำนวนขึ้นตามความต้องการของกระเพาะอาหารของประชาชนชาวสิงคโปร์
เมื่อจำนวนรถเข็นหาบเร่ขายอาหารเพิ่มมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือ ความสะอาดและความไม่เป็นระบบระเบียบของร้านอาหารรถเข็นแผงลอยเหล่านี้ ทั้งการจัดการอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ถูกหลักอนามัยและการกำจัดขยะและของเสียจากการขายอาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน เรียกว่าไม่เป็นมิตรต่อคนเดินเท้าและไม่เป็นมิตรต่อสุขภาวะของลูกค้าร้านอาหาร
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/shutterstock_1492186445-1024x683.jpg)
แถมที่ร้ายที่สุดของการขาดระเบียบการขายอาหารแบบ hawker เหล่านี้คือ การนำมาซึ่งการระบาดของไข้ไทฟอยด์และอหิวาตกโรคในสิงคโปร์
โดยในปี 1950 มีเด็กนักเรียน 10 คน เสียชีวิตจากไข้ไทฟอยด์และจากการสืบประวัติการรับประทานพบว่าติดเชื้อมาจากการกินไอศครีมแบบหาบเร่ที่ขายบนถนน ส่วนปี 1970 เกิดการระบาดของไทฟอยด์ครั้งใหญ่อีกครั้งในสิงคโปร์ จนพบผู้ติดเชื้อ 76 ราย และจากการสุ่มตรวจของเจ้าหน้าที่พบเชื้อไทฟอยด์ในอาหารของร้านอาหารแบบรถเข็นแผงลอยกว่า 600 ร้านในย่านเกลัง
ซ้ำร้ายการเป็นร้านค้าหาบเร่รถเข็น หมายความว่าพวกเขามีอิสรเสรีในการเคลื่อนย้ายไปขายในย่านต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว นั่นทำให้คนขายอาหารแบบ hawker กลายเป็นพาหะนำโรคติดต่อชั้นดีที่ฉากหน้าอาจดูเหมือนนำพาของอร่อยมาให้ แต่ของแถมที่คนขายอาหารแบบ hawker บางคนนำพามาให้แก่ลูกค้าอาจหมายถึงเชื้อโรคตัวร้ายที่อาจถึงแก่ชีวิตของชาวสิงคโปร์ได้
สำหรับประเทศที่คำนึงถึงประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง ประเทศที่ตระหนักถึงแม้กระทั่งการใช้ทรัพยากรพื้นที่ให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในปัจจุบันและประชาชนในอนาคต การจะยอมให้ปัญหาโรคระบาดลอยนวลคงเป็นสิ่งที่ขัดต่อมโนสำนึก แต่การจะจัดการกับปัญหาโรคระบาดที่มาจากร้านค้าอาหารหาบเร่แผงลอย ก็คงเหมือนกับการจัดการกับปัญหาทุกอย่างบนโลก คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ปี 1965 รัฐบาลสิงคโปร์จึงมีแผนที่จะจัดสรรระบบระเบียบใหม่โดยกระจายคนไม่ให้กระจุกตัวเฉพาะแค่ในใจกลางเมือง การจะทำเช่นนั้นได้ รัฐบาลจึงเริ่มก่อสร้างย่านที่อยู่อาศัยใหม่นอกเมือง และช่วงปี 1970 การสร้างเคหะสถานและที่อยู่อาศัยนอกเมืองได้เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างศูนย์อาหารแบบ hawker center หรือก็คือศูนย์อาหารแบบเปิดโล่งที่รวบรวมร้านค้าอาหารรถเข็นต่างๆ ไว้
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/shutterstock_1634808673-1024x684.jpg)
จากร้านค้าอาหารที่เคยเป็นรถเข็นเร่ขายตามท้องถนนก็เกิดการลงทะเบียนร้านค้าเพื่อเข้ามาจับจองพื้นที่ทำมาค้าขายอย่างเป็นสัดเป็นส่วน และวัฒนธรรม hawker center ของสิงคโปร์ก็เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบันเราจึงมักเห็นศูนย์อาหาร hawker center ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งที่อยู่อาศัย หรือแหล่งย่านการค้าธุรกิจทั้งหมดทั้งมวลย้อนกลับไปที่เจตจำนงดั้งเดิมของการพัฒนาพื้นที่ของรัฐบาลสิงคโปร์ นั่นคือการคำนึงถึงการใช้พื้นที่ที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์และเกิดความสะดวกสูงสุดแก่ประชาชนในประเทศ
จากการสำรวจของ NEA (National Environment Agency) 91% ของประชาชนชาวสิงคโปร์พอใจหรือพอใจเป็นอย่างมากกับ hawker center ในปัจจุบัน โดย 99% ของประชากรพอใจกับราคาของอาหารที่ขายอยู่ใน hawker center, 98% ของคนสิงคโปร์พอใจกับคุณภาพของอาหารที่ขายใน hawker center หนำซ้ำคนสิงคโปร์ยังพิจารณาว่าศูนย์อาหาร hawker center คือสิ่งที่จำเป็นและสำคัญต่อการเลือกที่อยู่อาศัยรองจากการคมนาคมขนส่ง
สรุปก็คือ คนสิงคโปร์รักศูนย์อาหาร hawker center
นอกจากรัฐบาลสิงคโปร์จะเป็นผู้ก่อเริ่มโครงการ hawker center จนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสตรีทฟู้ดในสิงคโปร์ รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายต่างๆ มากมายที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการร้านอาหารหน้าใหม่เข้ามาตั้งโต๊ะและตั้งตัวขายอาหารใน hawker center ได้ เฉกเช่นเดียวกันกับการสนับสนุนกิจการสตาร์ทอัพอื่นๆ ที่เรามักได้ยินชื่อเสียงว่า ประเทศนี้เมืองนี้ช่างเป็นมิตรกับบริษัทเกิดใหม่และสตาร์ทอัพเสียเหลือเกิน
การสนับสนุนของรัฐบาลมีตั้งแต่การจัดคอร์สอบรมการเป็น hawker หรือที่เรียกว่า Hawker Development Program (HDP) จัดคอร์สขึ้นโดย NEA และ Skillfuture Singapore ซึ่งจะจัดอบรมตั้งแต่ทักษะการทำอาหาร ทักษะการทำธุรกิจเบื้องต้น รวมไปถึงการส่งไปฝึกงานกับ hawker ตัวจริง โดยทั้งหมดนี้มาในค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 กว่าดอลลาร์สิงคโปร์
แต่ถ้าคุณเป็นประชาชนชาวสิงคโปร์ รัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเงินค่าลงคอร์สเรียนนี้ส่วนหนึ่ง พูดง่ายๆ คือช่วยออกค่าเรียนให้ เฉลี่ยแล้วคุณจะจ่ายเพียงแค่ประมาณ 500 ดอลลาร์สิงคโปร์ และถ้าคุณอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป คุณจ่ายเพียงแค่ 200 ดอลลาร์สิงคโปร์เท่านั้น
หรือคุณกำลังจะบอกว่าค่าเรียนน่ะไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือคุณไม่มีเงินทุนพอจะไปจ่ายค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบอาหาร ค่าจ้างแรงงานลูกน้อง หรือก็คือคุณไม่มีทุนรอนจะเริ่มตั้งตัวเป็น hawker
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/image.jpeg)
ถ้าอย่างนั้น เรามีทางออกให้คุณ เพราะรัฐบาลสิงคโปร์ โดย NEA มีโครงการ The Incubation Stall Programme (ISP) ออกมาในปี 2018 โดยเป็นโครงการที่มุ่งเน้นสนับสนุนผู้ประกอบการอาหารหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นใน hawker center ในโครงการนี้ประชาชนหรือผู้มีถิ่นพำนักถาวรในสิงคโปร์สามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรมได้ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากทางโครงการ รัฐจะสนับสนุนตระเตรียมพื้นที่ให้คุณได้มีพื้นที่ขายอาหารใน hawker center โดยบูทที่คุณจะใช้ขายอาหารนั้นจะมีอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการทำอาหารเตรียมไว้ให้ พร้อมกับการลดค่าเช่าที่ถึง 50% ในระยะเวลา 9 เดือนแรก และในเดือนที่ 10-15 ก็ยังจะลดค่าเช่าให้คุณอีก 25% จากราคาค่าเช่าที่ตามท้องตลาด
แว่วว่าเงินสนับสนุนจากรัฐตรงนี้ทั้งค่าปรับปรุงพื้นที่ให้พร้อมสำหรับการขายอาหารในศูนย์อาหาร hawker center และเงินค่าช่วยเหลือค่าเช่าใน ปีแรกๆ ของการก่อร่างสร้าง hawker มือใหม่ คนสิงคโปร์มักมีคำเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า เป็นการใช้เงินของ อากง เปรียบเหมือนอากงที่ให้เงินหลานมาเป็นเงินขวัญถุงลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวก้อนแรกในการทำธุรกิจ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าไม่มีเงินลงทุน คงเป็นคำที่ใช้การไม่ได้ในการกล่าวอ้างว่าเป็นอุปสรรคของความฝันถ้าคุณอยากจะเป็น hawker ในสิงคโปร์
เงื่อนไขในการสมัครเป็นผู้ค้าขายอาหารใน hawker center ในสิงคโปร์มีข้อแม้อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น เช่น
- คุณต้องเป็นประชาชนชาวสิงคโปร์หรือเป็นผู้พำนักถาวรและมีอายุมากกว่า 21 ปีขึ้นไปที่ผ่านการอบรม Food Safety ขั้นที่ 1
- ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกยึดใบอนุญาตการเป็น hawker และไม่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องร้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย
- คุณต้องไม่เป็นเจ้าของร้านอาหารใน hawker center มากกว่า 2 ร้าน ตรงนี้รัฐบาลน่าจะมีแนวคิดโดยตรงที่อยากจะสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่จำกัดเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีพลังทางการเงินการลงทุนมากกว่าเท่านั้น
แต่อย่างที่เกริ่นไปว่าการแข่งขันใน hawker center นั้นค่อนข้างเข้มข้นและแข็งขัน เนื่องด้วยตัวเลือกนั้นมีมากมายสำหรับผู้บริโภค ดังนั้นใช่ว่าทุกคนที่ก้าวเท้าเข้ามาในธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จ เช่น สองหนุ่ม Jason Koh และ Cleavon Tan เจ้าของร้าน Ah Lemak ที่ขายข้าว Nasi Lamak แบบฟิวชั่นใน hawker center ต้องปิดตัวลงหลังขาดทุนไปกว่า 45,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในเวลาเพียงแค่ 5 เดือนหลังเปิดร้าน
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2023/03/shutterstock_1154965564.jpg)
ทั้งโรคระบาดโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้คนออกมากินข้าวนอกบ้านน้อยลงในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนัก ทั้งสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ทำให้ราคาวัตถุดิบในการประกอบอาหารพุ่งสูงขึ้น hawker หลายต่อหลายคนจำต้องกัดลิ้นกลืนเลือด ทำในสิ่งที่ตนเองไม่อยากจะทำมาก่อน นั่นคือการปรับขึ้นราคาขาย มองดูแบบคร่าวๆ ราคาที่ปรับขึ้นอาจฟังดูไม่มากมาย เช่น คุณ Lie Kam Fatt เจ้าของร้านของหวานแบบจีนที่ขายบัวลอยงาดำ หรือถั่วแดงร้อนจำต้องปรับราคาขึ้นชามละ 0.36 เซนต์ เงินเพียงแค่ไม่ถึง 1 ดอลลาร์อาจฟังดูไม่มากสำหรับใครบางคน แต่เงินเพียงแค่สตางค์แดงเดียวก็ถือว่ามีค่ามากแล้วสำหรับคนรายได้ต่ำ หรือสำหรับผู้สูงอายุบางคนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพใด
สาเหตุหลักอย่างที่ว่าไปคือ ราคาวัตถุดิบถีบตัวสูงขึ้น การถีบตัวสูงขึ้นของวัตถุดิบนั้นเรียกได้ว่ามหาโหดเลยทีเดียว เช่น อัลมอนด์ที่เคยใช้เป็นเบสในการให้รสหวานและรีดน้ำนมออกมาจากตัวเมล็ดถั่วเคยมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 7 ดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ในช่วงปี 2022 ราคาอัลมอนด์ขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 14 ดอลลาร์สิงคโปร์
นับว่าโชคยังเข้าข้างเหล่าพ่อครัวชาว hawker ทั้งหลายที่คนส่วนใหญ่เข้าอกเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี และไม่เกี่ยงงอนเลยที่ราคาอาหารใน hawker center จะต้องปรับตัวขึ้น เพราะข่าวสารในโลกยุคดิจิทัลที่ช่วยให้ทุกคนเท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลกและทำให้ทุกคนเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เหล่าพ่อค้าใน hawker center ต้องเผชิญอยู่คืออะไร
ในขณะที่ hawker หลายคนแบกรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ไหวจนต้องขึ้นราคาอาหาร hawker บางคนยังคงเลือกที่จะแบกรับต้นทุนนั้นเอาไว้แก่ตัว เช่น คุณ Seetoh ที่ขายอาหารหลากหลายทั้งอินเดีย-ปากีสถาน และอาหารตะวันตกใน hawker center ยังคงไม่กล้าขึ้นราคาอาหาร เพราะเขาบอกไว้ว่า
“พวกเราชาว hawker ไม่กล้าขึ้นราคาหรอกครับ ถ้าพวกเราขึ้นราคา ลูกค้าเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็เจอร้านที่ถูกกว่าในราคา 50 เซนต์ ลูกค้าเขาก็เอาแล้วครับ”
เรียกได้ว่าการแข่งขันนั้นเข้มข้นดุดันแบบไม่เกรงใจกันจริงๆ ในศูนย์อาหาร hawker center อาจจะด้วยความเข้มข้นนี้ที่เคียวกรำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะลงตัว ทั้งคุณภาพ รสชาติ ความสะอาด และราคา จนทำให้สิงคโปร์และ hawker center กลายเป็นเมืองหลวงแห่งสตรีทฟู้ดของโลกไปโดยปริยาย
อ้างอิง
- eresources.nlb.gov.sg/history/events/57a854df-8684-456b-893a-a303e0041891#:~:text=The%20chewing%20gum%20ban%20was,to%20clean%20up%20the%20litter.
- ich.unesco.org/en/decisions/15.COM/8.B.6
- eresources.nlb.gov.sg/infopedia/articles/SIP_1637_2010-01-31.html
- eresources.nlb.gov.sg/infopedia/articles/SIP_1564_2009-09-08.html
- tnp.straitstimes.com/news/singapore/hawker-centres-still-top-choice-locals
- businessinsider.com/singapore-hawker-food-prices-higher-street-vendors-struggle-2022-8
- eats365pos.com/blog/post/singapore-s-struggling-hawkers-devise-new-way-to-stay-alive-247
- nea.gov.sg/docs/default-source/default-document-library/incubation-stall-programme—frequently-asked-questions-(faq)_oct-2022483bf83451eb497c9aaa6117d656d02c.pdf
- news.trust.org/item/20190115070037-ak4ze
- dollarsandsense.sg/business/guide-to-start-a-hawker-stall-business-in-singapore
- asiaone.com/lifestyle/we-will-be-back-stronger-young-hawkers-selling-fusion-nasi-lemak-close-5-month-old-stall-ah-lemak
- enterprisesg.gov.sg/industries/type/food-services/start-right
- ich.unesco.org/en/decisions/15.COM/8.B.6
- ater.com/2018/9/4/17817658/crazy-rich-asians-singapore-night-market-scene-location
- oecd.org/pisa/publications/PISA2018_CN_SGP.pdf
- nationalgeographic.com/travel/article/why-unesco-is-honoring-singapore-street-food#:~:text=Singapore’s%20iconic%2C%20but%20endangered%2C%20street,stand%20sells%20charcoal%20roasted%20duck.
- foodandwine.com/travel/singapore-hawker-stands-michelin-stars-where
- foodandwine.com/news/michelin-hawker-chan-stall-singapore-loses-star