Damn Good Collaborations

เปิดตู้ Guss Damn Good ค้นวิธีคอลแล็บกับหลากแบรนด์จนได้เป็นไอศครีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราว

“เราอยากเปิดความรู้สึกโคตรดีให้กับคน ที่กัสส์เราเชื่อว่าไอศครีมมีความรู้สึก และสามารถส่งผ่านกันได้ เลยเป็นคอนเซปต์ว่าเราทำไอศครีมที่มีเรื่องราว

“หลายครั้งที่คนเดินเข้ามาหาเรา แล้วบอกว่าไอศครีมกัสส์เยียวยาเขาในวัน bad day และในวันสำคัญของเขาอย่างวันแต่งงานหรือวันเกิดก็จะมีกัสส์อยู่ด้วย แปลว่าเขาจำกัสส์จากโมเมนต์ของเขาได้ กัสส์ก็เลยอยู่ในไลฟ์สไตล์ อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญของเขา”

นี่คือคำบอกเล่าจาก ระริน ธรรมวัฒนะ และ นที จรัสสุริยงค์ สองผู้ก่อตั้ง Guss Damn Good แบรนด์ไอศครีมสัญชาติไทย ที่เก่งกาจเรื่องการคราฟต์รสชาติที่สดใหม่ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ และถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ให้กับทุกคนที่ได้ลิ้มลอง

ในบรรดา 160 รสชาติของ Guss Damn Good บางรสชาติเกิดจากการคอลแล็บร่วมกับศิลปินและแบรนด์ต่างๆ กว่า 60 แบรนด์ ที่มาสร้างสีสันให้ตู้ไอศครีมของพวกเขา เต็มไปด้วยรสชาติที่หลากหลาย แต่ยังคงลายเส้นของกัสส์ไว้ได้ดี

“เราไม่เรียกว่าการคอลแล็บเป็นกลยุทธ์ เราได้มาเพราะแบรนดิ้งเรามันชัด เรื่องการ Activate Damn Good Feeling ไอศครีมมีความรู้สึก และทุกรสของเรามีเรื่องราว พออะไรต่างๆ มันชัด เราเลยมีโอกาสได้คอลแล็บกับแบรนด์เหล่านั้น” ระรินเผย

ก่อนที่กัสส์จะตัดสินใจคอลแล็บกับแบรนด์ไหน ระรินและนทีจะเข้าไปพูดคุยกับแบรนด์ที่ติดต่อเข้ามาด้วยตัวเองถึงจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าอยากคอลแล็บเพื่ออะไร เรื่องราวที่แบรนด์อยากถ่ายทอดคืออะไร และกัสส์จะช่วยเขายังไงได้บ้าง

“วิธีการทำงานของเราคือเอาเรื่องราวมาเปลี่ยนเป็นความรู้สึก และเอาความรู้สึกมาเปลี่ยนเป็นรสชาติ แต่ความยากอยู่ที่พอไอศครีมมันพูดไม่ได้ ความรู้สึกที่สื่อสารออกมาจึงต้องเป็นความรู้สึกเดียว ทำให้ใจความหลักของแบรนด์ที่สื่อสารออกมาต้องชัดเจนมากๆ

“หลายแบรนด์ก็มีเรื่องราวที่อยากบอกเล่ามากมาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องไกด์เขาว่าถ้าอยากได้รสชาติที่ดูสนุกมันจะไปพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นไม่ได้นะ หรือความรู้สึกปลอดภัยจะไปพร้อมกับความรู้สึกอยากค้นหาไม่ได้นะ” นทีเล่าให้เราฟัง

ถึงแม้ไอศครีมในโปรเจกต์คอลแล็บแต่ละครั้ง จะวางขายที่หน้าร้านของกัสส์เป็นเวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น แต่ก็ส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว ทั้งทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุกเมื่อได้ลุ้นว่าแต่ละครั้งจะเจอกับรสชาติอะไรใหม่ๆ บ้าง นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ด้วย  

คอลัมน์ X Change ในครั้งนี้ เราจึงพามาเปิดเบื้องหลังการคอลแล็บที่ Guss Damn Good ได้เปลี่ยน ‘เรื่องเล่า’ ของเหล่าแบรนด์และศิลปิน มาคราฟต์เป็น ‘ไอศครีมที่มีเรื่องราวและความรู้สึก’ ซึ่งทำให้แบรนด์ของกัสส์​สดใหม่ หอม อร่อยเหมือนดั่งรสชาติไอศครีมของพวกเขา

Guss Damn Good X Wet n Wild
เปิดโลกการคอลแล็บกับแบรนด์ดัง

หนึ่งในโมเดลธุรกิจของ Guss Damn Good คืออยากทำรสชาติไอศครีมร่วมกับแบรนด์อื่นๆ อยู่แล้ว แต่ในช่วงแรก ทั้งคู่ไม่เชื่อว่าจะมีแบรนด์ไหนที่อยากได้รสชาติไอศครีมเป็นของตัวเอง 

กระทั่งในงานเปิดตัวกัสส์ครั้งแรกที่ Winter Market Fest ของแสนสิริ ที่กัสส์ได้คอลแล็บกับ แพรี่พาย บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง เพื่อทำไอศครีมรสชาติ Galaxy of Pearypie ครั้งนั้นเองที่ทำให้ Wet n Wild ได้รู้จักกัสส์และติดต่อเข้ามา

“ตอนนั้นยังงงอยู่เลยว่าจะทำไอศครีมให้แบรนด์ลิปสติกยังไง แต่สุดท้ายเราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องของสตอรี ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไหน ทุกคนมีสตอรีที่อยากจะเล่า มีสิ่งดีๆ ที่อยากจะบอกอยู่แล้ว 

“การคอลแล็บกับแบรนด์ดังครั้งแรกอย่าง Wet n Wild เราเลยตีความจากเรื่องของเขาที่เป็นแบรนด์ลิปสติกสัญชาติอเมริกา ที่ราคาจับต้องได้ในคุณภาพที่ดี เป็นเฉดสีที่คนอเมริกาใช้จริง และสีของเขาก็ได้รับรางวัลมากมาย เราก็คิดต่อว่าอะไรที่คนอเมริกาชอบกินและมีติดตู้เย็น ดูจับต้องง่ายเหมือนลิปแบรนด์นี้ จนได้ออกมาเป็นรสครีมชีสและเชอร์รี”

หลังจากที่ระรินได้เล่าวิธีคิดรสชาติไอศครีมจากการคอลแล็บกับแบรนด์ดังเป็นครั้งแรก นทีก็เสริมถึงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากการก้าวเข้ามาสู่โลกของการคอลแล็บ

“ตอนนั้นเราตั้งชื่อว่ารส Wet n Wild เพราะตอนแรกเรายังงงอยู่ เราไม่คิดว่าจะมีใครมาคอลแล็บอีก ก็เลยเป็นชื่อแบรนด์ไปเลย แต่พอมีแบรนด์ติดต่ออยากมาคอลแล็บอีกเรื่อยๆ เราก็คิดได้ว่าจะไม่ตั้งชื่อรสไอศครีมตามชื่อแบรนด์แล้ว เพราะถ้าทุกแบรนด์อยู่ในตู้เราแล้วเป็นชื่อแบรนด์อย่างเดียว มันก็จะไม่สื่อสารกับผู้คน แล้วทำให้ brand promise ของเราที่ว่าจากเรื่องราวสู่รสชาติก็จะไม่แข็งแรง

“อีกอย่างตอนแรก เราไม่คิดค่าทำรสชาติไอศครีมให้กับแบรนด์ หรือถ้าคิดก็คิดถูกมากๆ เพราะมองว่าเป็นค่า R&D แต่หลังๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่ นี่คือการคอลแล็บ เป็นการใช้แบรนดิ้งของกัสส์ เพราะฉะนั้นมันมีมูลค่า แล้วทำให้เรามองเห็นว่าการคอลแล็บมีศักยภาพที่ไปได้อีกไกลและเป็นทางที่ทำให้แบรนด์เราวิ่งไปข้างหน้าได้”

Guss Damn Good X Sundae Kids
รสชาติจากคอมิก 5 เรื่อง ที่ยอดสั่งจองเต็มตั้งแต่วันแรก

 “Sundae Kids ติดต่อเราเข้ามาว่าอยากคอลแล็บร่วมกัน เพราะในแต่ละปีนอกจากโปรเจกต์ที่เขาต้องทำแล้ว จะมีโปรเจกต์ที่ทำ เพราะอยากทำ เป็นการทำเอามันโดยไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง เราก็ชอบเขาอยู่แล้ว เลยตกลงที่จะคอลแล็บด้วย

“เขาคิดเนื้อเรื่องมาก่อน แล้วกัสส์ก็ตีความจากเนื้อเรื่องออกมาเป็นรสชาติอีกที เหมือนเราดึงจุดเด่นของแต่ละคนมาใช้ อย่าง Sundae Kids ก็เก่งเรื่องการเล่าเรื่องผ่านภาพวาด เราก็ถนัดการตีความเรื่องเล่าออกมาเป็นรสชาติ ทำให้โปรเจกต์นี้เป็นสิ่งที่ทำแล้วใจฟูมาก” ระรินเล่าให้เราฟังด้วยดวงตาเป็นประกาย

การคอลแล็บในครั้งนี้ออกมาเป็นคอมิก 5 เรื่องที่เล่าถึง 5 โมเมนต์ความรัก มีตั้งแต่ ‘การสารภาพรัก’ ที่ใช้ความเปรี้ยวและความฝาดจากเปลือกมะนาว เพื่อบอกว่าการออกจากคอมฟอร์ตโซนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ‘รสชาติความคิดถึง’ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น นุ่มนวลจากน้ำตาลทรายแดงและซอสแอปเปิลคาราเมล มาจนถึง ‘การวาดอนาคตร่วมกัน’ ที่จะมีความเฟรช หวานอมเปรี้ยวจากฝักวานิลลาและแยมสตรอว์เบอร์รีอามาโอะ

นอกจากนั้น ยังมีความรู้สึกที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งอย่าง ‘การจับมือ’ ที่ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคย เลยเลือกใช้ช็อกโกแลต bittersweet กับเนยถั่ว และโมเมนต์สุดท้ายคือ ‘การคิดถึงความรู้สึกในวัยเด็ก’ ที่ยังไม่ผ่านเรื่องราวอันโหดร้าย จนได้มาเป็นแบล็กเคอร์แรนต์ และองุ่นสีม่วง ที่กินแล้วหวนนึกถึงเยลลี่สีม่วงรสองุ่นสมัยเด็กๆ

“พอเอามารวมกัน ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ทั้งได้อ่านและได้กินไปพร้อมกัน ทำให้กระแสตอบรับดีมาก ยอดสั่งจองเต็มตั้งแต่วันแรกที่เปิดพรีออร์เดอร์” นทีเล่าเสริมถึงการทำโปรเจกต์ในครั้งนี้ที่ทำให้พวกเขามีความสุขและภูมิใจที่ได้ทำ

Guss Damn Good X Scrubb
จากบทเพลงที่รักสู่รสชาติไอศครีม

“การคอลแล็บของกัสส์จะมีทั้งแบรนด์ที่ทักมาหาเรา แล้วก็คนที่เราชอบอยากทำด้วย อย่างโปรเจกต์นี้คือเราอยากทำ เพราะระรินชอบวง Scrubb มาก 

“พวกเราไปดูคอนเสิร์ต Scrubb กันที่เอ็มควอเทียร์ เราไม่รู้จักกับศิลปินเป็นการส่วนตัวมาก่อนด้วยนะ ระรินก็ยืนถือไอศครีมของกัสส์ไปแนะนำตัวกับพี่เมื่อย พี่บอล โชคดีที่พี่ๆ เขาเคยกินและรู้จักเรา” นทีเล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ให้เราฟัง

ก่อนที่ระรินจะพูดเสริมอีกว่า “ตอนนั้นเราเจอวัตถุดิบที่คิดว่าเหมาะกับเพลง See Scape ของ Scrubb ในท่อนที่ร้องว่า แค่ออกไปมองฟ้าและน้ำที่กว้างใหญ่ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า ซึ่งมันเข้ากับ lemon verbena เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งที่มีความเปรี้ยว ความหอม มีกลิ่นดิน หญ้า และฝน

“พอเราเข้าไปคุยพวกพี่เขาก็ตกลงอยากทำด้วย แล้วเขาก็เสนอไอเดียมาเยอะมาก จนออกมาเป็นโปรเจกต์ที่อยู่ในเดือน 7 ซึ่งตรงกับ ‘National Ice Cream Day’ หรือวันไอศครีมแห่งชาติของอเมริกา ที่เราตั้งใจจะมีโปรเจกต์ใหญ่ในเดือนนี้ของทุกปีอยู่แล้ว

“การคอลแล็บกันครั้งนี้ออกมาเป็น 4 รสชาติ จากเพลงโปรดของเรา นอกจากรส ‘See Scape’ แล้วก็จะมีรส ‘รอยยิ้ม’ ที่มีคุกกี้รอยยิ้มอยู่ข้างบน แล้วจากเอ็มวีเป็นความรักวัยมัธยม ก็เลยเป็นรสยาคูลท์ปีโป้ ที่สอดแทรกคัสตาร์ดรสยาคูลท์ 

“เพลง ‘คู่กัน’ ก็จะเป็นรสชาติที่กินแล้วเข้ากันอย่างรสฮอร์ลิกส์หรือมอลต์ จับคู่กับรสชาติของขนมปังบริยอชที่เข้ากันดีกับเนย ส่วนเพลง ‘ใกล้’ ก็จะมีความสปาร์กกัน ตามเนื้อเพลงว่า ใกล้จนอยากจะหยุดหายใจ ออกมาเป็นรสชีสเค้กกับซอร์เบต์ยูสุ และเพิ่มความสปาร์กกันด้วยลูกอมป๊อป ที่กินแล้วจะรู้สึกเป๊าะแป๊ะในปาก

“ที่เห็นลายถ้วยสวยๆ เหมือนภาพวาดบนผนังถ้ำ และลายบนของ merchandise อันนั้นพี่เมื่อยเป็นคนวาดเองหมดเลย เขาใส่ไอเดียให้เราสุดมาก ขนาดวันเปิดตัวรสชาตินี้ พี่ๆ เขาก็มาเล่นคอนเสิร์ตที่กัสส์ สาขาอารีย์ให้เราฟรี ซึ่งประกาศล่วงหน้าแค่วันเดียวคนก็มารอเต็มร้าน”

 นอกจากเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้ระรินและนทีใจฟูจากการคอลแล็บครั้งนี้แล้ว นทียังเล่าถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้

“โปรเจกต์นี้มีการทำ merchandise ออกมา และเป็นการทำกระเป๋าเก็บความเย็นเป็นครั้งแรกของกัสส์ เพราะเราคิดว่ามันเหมาะกับเพลง See Scape ที่ให้ออกไปมองฟ้าและดาว พร้อมพกกระเป๋านี้ใส่ของเก็บความเย็นไปด้วย 

“แต่ตอนนั้นเราคิดว่าไม่น่าจะมีคนสนใจมากเท่าไหร่ เลยทำมาแค่ 200-300 ใบ กลายเป็นว่าขายหมดใน 2 วัน พอจะผลิตเพิ่มก็ไม่ทันแล้ว ยิ่งทำให้เราเห็นว่าการคอลแล็บมันมีพลังมากกว่าที่เราคิด”

Guss Damn Good Grocery
โปรเจกต์ใหญ่ที่รวม 9 แบรนด์ดังคู่ครัวไทยไว้ด้วยกัน

“เราทำเพื่อฉลอง National Ice Cream Day ที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก Anya Hindmarch เป็นดีไซเนอร์กระเป๋าที่ครีเอทีฟและเราชอบเขามากๆ เขาทำไอศครีมโปรเจกต์ คือไปตั้งป๊อปอัพสโตร์ไอศครีมใจกลางลอนดอน แล้วคอลแล็บกับแบรนด์ที่คนรู้จักกันดี เช่น ไฮนซ์ ซอสมะเขือเทศ แบรนด์ซอสคัสตาร์ดที่ดังที่สุด โปรเจกต์นี้ถูกพูดถึงเยอะมาก ทุกสื่อลงข่าวกันหมด

“เราก็มาคิดว่าในไทยเองก็มีแบรนด์ที่คนรู้สึกผูกพันและโตมาด้วยกันในหลายๆ ยุค อย่างกล่องคุกกี้อาร์เซนอลที่มีกันเกือบทุกบ้าน การกินซอสภูเขาทองเหยาะไข่ปิ้ง กินมาม่าแบบดิบแล้วใส่เครื่องปรุง หรือตอนไม่สบายก็อมยาแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว

“เราก็คิดว่าถ้าเอารสชาติเหล่านี้มาทำเป็นไอศครีมก็น่าจะได้ เราเลยลิสต์แบรนด์ที่เราชอบทั้งหมดและติดต่อทุกแบรนด์ ซึ่งเขาตกลงหมดเลย ความยาก-ง่ายของแต่ละแบรนด์ก็ต่างกัน เราก็คุยชัดเจนว่าโปรเจกต์นี้เราจะเป็น R&D ทำไอศครีมให้ แล้วให้ทุกคนชิม เราก็ปรับจนแฮปปี้กันทุกฝ่าย ถ้วยทั้งหมดก็ทำให้ตรง CI ของแบรนด์ 100% เพราะเรารู้ว่าโลโก้และสีสำคัญกับทุกแบรนด์

“มีบางแบรนด์ที่เขาไม่เคยคอลแล็บกับใครเลยอย่างมาม่า เขาเล่าให้เราฟังว่าเคยทำไอศครีมอยู่หลายรอบแต่มันไม่ได้ เขากินแล้วไม่ชอบ แต่เขาเชื่อในรสมือของกัสส์ พอทำออกไปแล้วเขารู้สึกว่านี่แหละคือรสชาติที่ใช่ แล้วโปรเจกต์นี้มาม่าก็เป็นรสที่ขายดีที่สุด” ระรินเผย

โปรเจกต์นี้เป็นสิ่งที่เซอร์ไพรส์นทีมาก เพราะเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องการนำของคาวมาอยู่ในของหวานแล้วจะมีคนชอบ จริงๆ ก่อนหน้านี้กัสส์เคยทำรสห่านพะโล้แล้วกระแสตอบรับดีมาก แต่ด้วยระยะเวลาแคมเปญที่สั้นเกินไปเพียง 1 สัปดาห์ ทำให้หลายคนยังไม่ได้มาชิมก็เลิกวางขายซะแล้ว รอบนี้กัสส์เลยกลับมาทำรสของคาวอีกครั้ง โดยขยายเวลาวางจำหน่ายเป็น 2 เดือนเต็ม และตอกย้ำให้เขารู้ว่ามีคนที่ชอบกินของคาวและของหวานรวมกันอยู่จริงๆ

ระรินเล่าถึงเบื้องหลังการคิดรสชาติไอศครีมที่เป็นของคาว และเรื่องราวการโปรโมตที่เต็มไปด้วยความสนุกว่า “ของ ส.ขอนแก่น ตอนแรกเราจะทำเป็นรสแหนม แต่ยังหารสชาติที่ลงตัวไม่ได้ และโปรเจกต์นี้เรามีเวลาทำจำกัด เลยเปลี่ยนมาทำรสหมูหย็องที่มีคนเรียกร้องมาเยอะเหมือนกัน และรสชาติเข้ากับน้ำตาลมะพร้าวอย่างไม่น่าเชื่อ

“โปรเจกต์นี้ทั้งเราและแบรนด์ที่คอลแล็บด้วยสนุกกับการทำการตลาดมาก อย่างหน้าร้านก็จะมีจัด Golden Week ของแต่ละรสชาติ ถ้าเป็นของมาม่าใครซื้อรสนี้ในสัปดาห์นั้นก็จะแถมมาม่าแบบซองและพัดมาม่าไปด้วย

“ทางแบรนด์ก็จะโปรโมตในรูปแบบของเขา มีการไปคุยแพลนคอนเทนต์กันเอง เช่น Golden Week ของบาร์บีก้อนจบ เขาก็ส่งไม้ต่อให้มาม่า ภาพที่ออกมาในโซเชียลก็จะเป็นมาสคอตพี่ก้อนส่งไม้ต่อให้มาสคอตของมาม่า เป็นภาพที่น่ารักมาก”

ระรินยังเล่าปิดท้ายถึงภาพในอนาคตของกัสส์ว่า “เราไม่ได้มองการคอลแล็บว่าจะต้องทำกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว หรือปีนี้คอลแล็บกับ 9 แบรนด์แล้ว ปีหน้าจะต้องทำเยอะกว่านี้ มันไม่ใช่ เราแค่ตั้งใจกับสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสนุกไปกับมัน และต้องสื่อไปถึงใจของผู้คนตาม brand promise ของกัสส์คือจากเรื่องราวสู่รสชาติ”

Writer

นักเขียนที่อยากเปลี่ยนเรื่องธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก และมีแมวกับกาแฟช่วยฮีลใจในทุกวัน

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like