House of Music
เปิดบ้านหลังใหม่ Format BKK ที่รวม Gadhouse ทุกรุ่นกับการสร้างคอมมิวนิตี้ของคนรักเสียงเพลง
ท่ามกลางความพลุกพล่านของย่านอารีย์ แหล่งรวมคาเฟ่และร้านอาหารสุดชิค หากขับรถเข้ามาในซอยเจริญพร 1 จะให้ความรู้สึกสงบเหมือนหลุดมาอีกโลก ด้วยบรรยากาศที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นเมืองใหม่ที่ร่วมสมัย และเมืองเก่าสุดคลาสสิก
ท่ามกลางบ้านเรือนบริเวณนั้น มีบ้านหลังหนึ่งที่เปิดประตูเข้าไป เราจะได้พบกับบรรดาเครื่องเล่นแผ่นเสียงของ Gadhouse ครบทุกรุ่น หูฟังจากแบรนด์ดังอย่าง AIAIAI สารพัดลำโพงจาก Audio Pro และแผ่นเสียงวงในตำนานที่ควรค่าแก่การสะสม พร้อมสไตล์การตกแต่งร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนไปในยุค ’60s-’70s
เล่ามาถึงตรงนี้บางคนอาจจะเดาถูกแล้วว่าเรากำลังพูดถึงบ้านหลังใหม่ของ Format BKK พื้นที่ที่เป็นดั่ง music community ให้คนรักเสียงดนตรีได้มาพักผ่อน ฟังเพลง พูดคุย ทดลองใช้เครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ เสมือนมานั่งเล่นบ้านเพื่อน
หลังจาก Format BKK ประกาศปิดบ้านหลังเดิมในซอยเอกมัย 12 ไปเมื่อต้นปี ก็พร้อมเปิดบ้านต้อนรับสาวกผู้รักในเสียงดนตรีและแผ่นเสียงอีกครั้ง เพิ่มเติมคือมีกิจกรรมและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเสียงเพลงให้มาร่วมสนุกกัน
เราจึงถือโอกาสเปิดประตูมาดูบ้านหลังใหม่ พร้อมพูดคุยกับเจ้าบ้านอย่าง ‘เพชร–วัชรพล เตียวสุวรรณ์’ เจ้าของร้าน Format BKK หรือที่หลายคนรู้จักกันในฐานะผู้ปลุกปั้นแบรนด์ Gadhouse ถึงการเปิดพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นมากกว่าร้านขายสารพัดสิ่งเกี่ยวกับดนตรี แต่เป็นการสร้างคอมมิวนิตี้ที่ไม่ว่าจะฟังเพลงแบบไหนก็มาเอนจอยกันได้ทุกคน

จากวันแรกที่เปิดร้านมาจนถึงวันนี้ คุณยังมีความตั้งใจเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
เหมือนเดิมตรงไอเดียของ Format จะเป็นคอนเซปต์ที่เราอยากจะสร้างคอมมิวนิตี้ อยากจะสร้างพื้นที่ให้กับคนที่ชอบฟังเพลง อาจจะไม่ต้องฟังเพลงแนวเดียวกัน ก็มารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ก็เลยใช้ชื่อร้านว่า Format เพราะเราไม่ปิดกั้นรูปแบบใดๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นรูปแบบไหนก็มาแฮงเอาต์กันได้ มาแชร์แนวเพลงที่ฟังได้
เพิ่มเติมคือพอเราย้ายร้านแล้วมีพื้นที่มากขึ้น ก็อยากจะชวนกลุ่มคนอื่นๆ มาทำกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เพราะตอนอยู่ที่เอกมัยพื้นที่น้อยเลยไม่ค่อยได้จัดเวิร์กช็อป จะเป็นแนวมีเครื่องดื่มและเป็นไนต์ไลฟ์ซะมากกว่า

ตอนแรกที่ร้านของคุณอยู่ในซอยเอกมัย 12 อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้คุณตัดสินใจย้ายร้านมาอยู่แถวอารีย์
ช่วงนั้นหมดสัญญาพอดี เราก็เลยมองหาที่ใหม่ แล้วบังเอิญเจอที่นี่ พอมาดูสถานที่จริงก็ตัดสินใจได้เลยว่าจะย้ายมาที่นี่แหละ เพราะว่า space กว้างกว่าที่เอกมัย แล้วด้วยคอนเซปต์ของเราคืออยากให้เป็นบ้าน ทรงของร้านนี้ก็ดูเหมือนบ้านเลย และมีที่จอดรถด้วย ค่อนข้างตอบโจทย์มากๆ
อีกอย่างเราก็ชอบย่านอารีย์ที่บรรยากาศทำให้รู้สึกไม่เหมือนอยู่กลางเมือง แต่รู้สึกเหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลย ดูก้ำกึ่งระหว่างการเป็นย่านเมืองเก่ากับเมืองใหม่ ฝั่งถัดไปจากถนนพระราม 6 ก็จะเป็นโซนดุสิต ซึ่งเป็น old town ย่านเก่าแก่ ส่วนถัดมาฝั่งนี้ก็จะเป็นย่านใหม่ที่ค่อนข้างร่วมสมัย คิดว่าดูกลางๆ ดี ต่างจากย่านเอกมัยที่แออัดไปนิดหนึ่ง


ทำเลร้านเมื่อก่อนอยู่ติดถนน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเลือกมาอยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก
ตอนอยู่เอกมัย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น เราก็จะเห็นคนที่มาวอล์กอินเยอะ เหมือนสุ่มเดินเข้าร้านมา แต่ด้วยสินค้าของเรา niche หรือเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว เราไม่สามารถปิดการขายคนเหล่านั้นได้
เราก็เลยเก็บสถิติว่าลูกค้าส่วนมากเป็นคนที่ตั้งใจมาร้านเราหรือเดินผ่านหน้าร้านแล้วแวะ สรุปว่า 70% เป็นลูกค้าที่ตั้งใจมา ก็เลยคิดว่าถ้าเราย้ายไปที่ไหน ไม่จำเป็นต้องอยู่ริมถนนหรือว่าอยู่ในทำเลที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นก็ได้

มีบทเรียนอะไรบ้างไหมที่คุณได้รับจากร้านเดิม แล้วนำมาปรับในการเปิดร้านครั้งใหม่
คิดว่าเป็นเรื่องความชัดเจนของคอนเซปต์ร้าน ช่วงแรกๆ เรายังจับทางไม่ค่อยได้ ก็มีทั้งขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง มีทั้งบาร์ที่เปิดถึงเที่ยงคืน ตี 1 คนก็มองเราว่าเป็นบาร์มากกว่า แล้วเราก็เคยลองขายกาแฟ ทำเป็นคาเฟ่เล็กๆ ในร้าน ก็หาคนมาคิดสูตรให้ แต่เราไม่ได้ถนัดเรื่องนี้ ก็เลยไม่ได้เปิดเป็นคาเฟ่แบบสม่ำเสมอ
แต่พอหาจุดยืนของได้แล้วว่าเราจะเน้นในเรื่อง music community เป็นหลัก พอมาทำร้านใหม่ก็ทำคอนเซปต์นี้ให้มันชัดเลย แล้วก็มีเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ ติดร้านไว้ เพื่อให้คนเอนจอยเพิ่มขึ้นตอนมาลองสินค้าหรือทำเวิร์กช็อป

เวิร์กช็อปที่พูดถึงมีหน้าตาเป็นแบบไหน
การจัดเวิร์กช็อปเป็นสิ่งที่เราทดลองทำอยู่ เพราะอยากให้พื้นที่นี้จุดประกายไอเดียของผู้คนด้วย คอนเซปต์ของการจัดเวิร์กช็อปก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีเป็นหลัก และอยากช่วยปูพื้นฐานแบบสนุกๆ ให้คนมาเอนจอยกัน เหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องนั้นๆ อยู่แล้วแต่ยังไม่เคยเข้าไป
อย่างคนที่สนใจอยากเป็นดีเจ แต่ไม่มีเวลาเลย เราก็จัดเวิร์กช็อปสั้นๆ 2 ชั่วโมง ให้ลองมาเรียนการเป็นดีเจ 101 สมมติว่าการเป็นดีเจมี 10 บท เราก็ขอสอนบทแรก เพื่อให้คนมาลองเรียนดูก่อน เช่น การทำเสียง การสังเคราะห์เสียง แล้วถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบก็สามารถไปเรียนลงลึกต่อที่อื่นได้



เรามีจัดเวิร์กช็อปเรื่องประวัติศาสตร์ดนตรีในยุค ’80s-’90s ก็มีทั้งเด็ก จนไปถึงคนที่อายุ 40-50 ปีมาร่วมเวิร์กช็อป เพราะอยากรู้เรื่องเพลงสมัยก่อน เหมือนว่าทุกคนมีความสนใจเรื่องนี้ โดยไม่จำกัดอายุ หัวข้อเวิร์กช็อปเราแต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่กับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเราด้วย
นอกจากเวิร์กช็อปเรามีกิจกรรมให้คนมาครีเอตอะไรใหม่ๆ ด้วย อย่างการทำ Mini CD NFC ให้เลือกสร้างเพลย์ลิสต์เพลงและภาพหน้าปกเอง แล้วใช้เทคโนโลยี NFC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะใกล้ ที่ทำให้สื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองชิ้นที่อยู่ใกล้กัน ทำให้พอเอามาแตะกับโทรศัพท์ก็ฟังเพลงได้ด้วย บางคนก็ทำไปฝากเพื่อน ฝากแฟนบ้าง เราอยากจัดกิจกรรมให้คนได้มาละเลงความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ

คิดว่าการจัดเวิร์กช็อปและจัดกิจกรรมเหล่านั้นส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณยังไง
คิดว่าคนได้มาลองสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น เพราะปกติคนที่มาซื้อสินค้าในร้านเราจะเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน อย่างลูกค้าประจำจะเป็นคนที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่แล้ว ก็จะมาซื้อแผ่นเสียง อีกกลุ่มหนึ่งคือยังไม่มีเครื่องเล่น แต่สนใจอยากเข้าวงการนี้ก็จะมาลองเครื่องดูก่อน
ส่วนคนที่มาเวิร์กช็อปก็จะมีความหลากหลายมากกว่า บางคนเขาอาจจะไม่ได้รู้จักสินค้าเราเลย แต่มาเพราะสนใจหัวข้อเวิร์กช็อป ก็ทำให้เขาได้เข้ามาลองสินค้า ได้มาฟังเสียงก่อน ได้มาทดลองใช้เครื่อง ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเรามากขึ้นด้วย

ตอนนี้ในร้านมีสินค้าแบรนด์อะไรบ้าง และคุณมีวิธีเลือกสินค้าเข้าร้านยังไง
เราอยากให้ Format BKK เป็นหน้าร้านหลักของ Gadhouse จึงมีเครื่องเล่นของ Gadhouse ครบทุกรุ่นเลย มีหูฟังสัญชาติเดนมาร์กอย่าง AIAIAI มีลำโพงของ Audio Pro จะเป็นทั้งลำโพงที่ติดตามร้านและลำโพง portable หรือลำโพงพกพา มีแผ่นเสียงให้เลือกหลายแนว มีเทปคาสเซตเพลงเก่าๆ และแผ่น CD นอกนั้นก็จะเป็นเมอร์แชนไดส์หรือสินค้าที่เราผลิตมาขายในร้านนี้โดยเฉพาะ เช่น หมวก กระเป๋า
เราพยายามเลือกสินค้าให้หลากหลาย ไม่อยากให้คนรู้สึกว่ามาร้านนี้แล้วมีแต่แนวร็อก หรืออินดี้เกินไป เราเลือกของแบบกว้างๆ มีสินค้าแมสบ้างให้เข้าถึงได้ทุกคน ส่วนแบรนด์ที่เลือกมาก็เป็นแบรนด์ของบริษัทเราเอง และแบรนด์ที่นำเข้ามาจำหน่ายอยู่แล้ว ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ที่เราคิดว่าน่าสนใจ

ในมุมมองของคุณคิดว่าตลาดแผ่นเสียง จากเมื่อก่อนกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไง
ตั้งแต่โควิดเหมือนคนค้นหาสิ่งที่ทำในบ้านได้ ซึ่งการฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็เป็นอีกกิจกรรมที่ทำในบ้านได้ บางคนก็ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์สร้างสรรค์ผลงาน อย่างการเป็นดีเจ เพราะทุกวันนี้อุปกรณ์ราคาถูกลง มีอุปกรณ์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น หูฟังที่เหมาะกับดีเจโดยเฉพาะ ส่วนเรื่องดีไซน์ของอุปกรณ์ต่างๆ หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ดูปรับให้ดูมินิมอลมากขึ้น มีการทำเครื่องขนาดเล็กให้พกพาง่ายขึ้นด้วย

ทุกวันนี้ที่เทรนด์นอสทัลเจียกำลังเป็นที่นิยม คนหันมาสนใจแผ่นเสียงกันมากขึ้น ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจคุณด้วยมั้ย
เหมือนเทรนด์นี้จะมีมาสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว เทรนด์กลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปในอดีต อย่าง 5 ปีที่แล้ว คนก็คิดว่าอะไรที่เคยนิยมในปี 2000 อย่างซีดี เทป กล้องดิจิทัล ก็กลายเป็นเทรนด์ Y2K ขึ้นมา เพราะเด็กรุ่นใหม่เห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านโซเชียล แล้วเขาไม่ทันกับไลฟ์สไตล์พวกนั้น ก็จะมองว่าเป็นสิ่งใหม่ และเริ่มกลายเป็นแฟชั่น
ตอนนี้เรามองว่าแผ่นเสียงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ไปแล้ว กลายเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่ง เป็นทางเลือกในการฟังเพลงอีกอย่างหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี และเป็นโมเดลธุรกิจที่เราทำให้กับร้านนี้และแบรนด์ของเรา โดยเฉพาะ Gadhouse ที่พยายามดึงยุคสมัยเก่าๆ กลับมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
อย่างหูฟังเฮดโฟนที่ชื่อว่ารุ่น Wesley เราเอาความนิยมในยุค ’80s ที่คนชอบฟังเพลงผ่านวอล์กแมนกับหูฟังมีสาย อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยทำ เพราะปกติเราจะทำแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงกับลำโพง แต่พอมาทำหูฟังเฮดโฟนแบบนี้ก็จะมีความเรโทรมากๆ ทำให้แตกต่างจากหูฟังรุ่นอื่นที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้


หัวใจสำคัญในการทำร้าน Format BKK คืออะไร
ความจริงใจกับลูกค้า ตั้งแต่สินค้าที่ขายต้องมีคุณภาพทั้งหมด และการบริการที่เวลาลูกค้าเข้ามาอยากให้เขารู้สึกเหมือนได้มาบ้านหลังหนึ่ง แล้วเราก็ทำเหมือนเวลาเพื่อนมาบ้าน ก็จะหยิบน้ำมาให้ ค่อยพูดคุยดูแลเขาให้ดีที่สุด ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้มาฟังเพลงที่บ้านเพื่อน และทำให้เกิดคอมมิวนิตี้ที่ทุกคนได้มาเป็นเพื่อนกัน ฟังเพลงด้วยกัน

ภาพ Format BKK ที่คุณอยากเห็นหลังจากนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง
เราอยากจะจัดกิจกรรมทุกเดือน เพื่อให้คนเกิดภาพจำว่าที่นี่มันมีอะไรเปลี่ยนไปตลอด อาจจะมี live session ที่อบอุ่นมากๆ โดยเราจะเชิญศิลปินทั้งในไทย ในเกาหลีมาไลฟ์เล่นดนตรีสดๆ ที่นี่ ตอนนี้ก็ทดลองโมเดลนี้กันอยู่ เผื่อในอนาคตมีเปิดขายบัตรให้มาฟังเพลงกันด้วย และคิดว่าถ้าช่วงสิ้นปีอากาศดีๆ อยากทำเป็นตลาดไวนิลเล็กๆ ที่ชวนร้านขายแผ่นเสียงมือสองมาเปิดบูทขายของที่นี่ก็น่าจะสนุกดี
ส่วนตัวร้านเรากำลังพัฒนาเป็น phase by phase ไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีโนเวตทุกอย่างทีเดียว อย่างเฟสแรกอันนี้ก็จะเป็นร้าน Format BKK ขายของที่เกี่ยวกับดนตรี
เฟสที่สอง ตรงพื้นที่ข้างๆ จะมีพาร์ตเนอร์มาเปิดเป็นร้านไวน์และร้าน bespoke suit ที่ให้บริการตัดสูท ตอนกลางวันอาจจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่มุมหนึ่งสัก 4-5 ตัว ให้คนหยิบแผ่นเสียงจากร้านเรามาฟังเพลงตรงนี้ เป็นเหมือน music library ที่เขาไม่ต้องซื้อ แต่ว่ามาฟังเพลงฟรีๆ ได้ เพื่อให้เกิดภาพคอมมิวนิตี้ที่คนมาเอนจอยกันเหมือนอยู่บ้านในพื้นที่แห่งนี้