Home of Fighter

Fairtex บ้านของเหล่านักสู้ระดับตำนาน กับแม่ไม้ธุรกิจที่ใช้ผลักดันมวยไทยสู่ระดับโลก

เสียงคมหมัดทะลุทะลวงแหวกอากาศดังชัดเจน สลับเสียงหน้าแข้งฟาดกระสอบทรายหนักแน่น เสียงออกอาวุธตรงหน้ามีที่มาจากบรรดาคนไทยและต่างชาติที่เข้ามาเรียนรู้ ‘มวยไทย’ ที่ ‘Fairtex Training Center’ ศูนย์ฝึกซ้อมของค่ายมวยระดับท็อปอย่าง Fairtex ที่ก่อตั้งโดย บรรจง บุษราคัมวงษ์ โปรโมเตอร์ระดับตำนาน ที่ตั้งอยู่ ณ ถนนพัทยาเหนือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 

ยอดแสนไกล แฟร์เท็กซ์, แสตมป์ แฟร์เท็กซ์, นักรบ แฟร์เท็กซ์, ฟ้าสดใส แฟร์เท็กซ์ ฯลฯ ชื่อเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของบรรดานักสู้ที่ค่ายระดับตำนานนี้ปลุกปั้น ก่อนภายหลังจะสร้างชื่อในฐานะแชมป์เปี้ยนผู้กวาดรางวัลจากกีฬามวยไทยและคิกบ็อกซิ่ง ทั้งในเวทีระดับประเทศและระดับโลก

จากค่ายมวยเล็กๆ ย่านสวนพลู จนถึงตอนนี้ Fairtex ยืนระยะครบรอบ 67 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งในยุคที่กีฬามวยถูกมองว่ามาคู่กับการพนันขันต่อ จนถึงยุคที่ถูกยกให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ประจำชาติ ภายใต้การบริหารของ เปรม–อริยะวัฏ บุษราบวรวงษ์ ซีอีโอคนปัจจุบันและบุตรชายของ บรรจง บุษราคัมวงษ์ 

ในเรื่องดีเอ็นเอความเป็นนักสู้ของ Fairtex คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะเครื่องหมายยืนยันความสำเร็จคือเข็มขัดแชมป์เปี้ยนทุกเส้นที่ประดับไว้บนกำแพง hall of frame ถึงกระนั้นแค่แชมป์อย่างเดียวคงไม่มากพอที่จะทำให้ค่ายมวยแห่งนี้ยืนระยะมามากกว่า 5 ทศวรรษ แต่จำเป็นต้องมี ‘business model’ ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์กับยุคสมัยที่กีฬากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน

เราจึงเดินทางไปยังค่ายมวย Fairtex พัทยา เพื่อพูดคุยกับอริยะวัฏถึงโมเดลการบริหารธุรกิจค่ายมวยแห่งนี้ ที่มีมากกว่าแค่เรื่องราวบนสังเวียนผ้าใบ แต่ต้องมีความโมเดิร์นมากพอที่จะมัดใจคนรักกีฬาหมัดมวยทั่วโลก 

หากพร้อมแล้ว เราไปขึ้นสังเวียนนี้พร้อมกัน

ROUND 1
Fairtex ธุรกิจที่ถูกสร้างด้วยความรักในกีฬาหมัดมวย

“ตั้งแต่จำความได้ผมก็โตมากับเสียงเตะเป้าในค่ายมวยของพ่อ”

อริยะวัฏเริ่มย้อนความให้เราฟังถึงชีวิตที่โตมากับค่ายมวยย่านบางพลีของผู้เป็นพ่อ ซึ่งนับเป็นบ้านหลังที่ 2 ของ Fairtex หลังย้ายมาจากแถวสวนพลู กรุงเทพฯ 

ท่ามกลางเสียงเตะเป้าซัดกระสอบของบรรดานักมวยวัยหนุ่มวันแล้ววันเล่า บังเกิดเป็นความคุ้นชินจนเด็กน้อยในตอนนั้นนิยามว่าเสียงเหล่านั้นอภิรมย์แทบไม่ต่างจากเสียงกล่อมนอน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 Fairtex จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ ถึงกระนั้น กว่าที่จะก่อร่างสร้างตัวเป็นค่ายมวยจริงๆ ต้องใช้เวลาถึง 17 ปี (2518) โดยระหว่างทางบรรจงตัดสินใจเปิดบริษัท แฟร์เท็กซ์ การ์เมนต์ส แฟกตอรี ธุรกิจผู้ผลิตสิ่งทอ เพื่อเป็นเงินทุนสำคัญในการบริหารค่ายมวย

ส่วนสาเหตุที่บรรจงตัดสินใจเปิดธุรกิจค่ายมวยนี้ มาจากความหลงใหลส่วนตัวตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งยังเป็นศาสตร์ป้องกันตัวจากการโดนเด็กรุ่นที่โตกว่ารังแก บรรจงจึงตั้งเป้าอยากเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการมวยไทยมาโดยตลอด 

อริยะวัฏเล่าให้เราฟังต่อว่า 30 กว่าปีที่แล้ว ถือเป็นยุคทองของวงการกีฬามวยไทย ไม่ว่าจะเวทีเล็กหรือใหญ่ ข้างสนามทั้งสี่ฟากล้วนเต็มไปด้วยแฟนมวยรุมล้อม ด้วยความที่พ่อพาไปคลุกคลีในสนามมวยบ่อยเข้า นานวันจึงกลายเป็นความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้โดยปริยาย 

“30 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะสนามมวยเวทีลุมพินีหรือราชดำเนินก็มีคนเชียร์เต็มสนาม แต่สำหรับผมจะคลุกคลีกับเวทีลุมพินีมากกว่า เพราะคุณพ่อเป็นโปรโมเตอร์ที่นั่น ช่วงนั้นถือเป็นยุคทองของมวยไทย อย่างค่าตัวนักมวยบางคนได้ถึงหลักแสนซึ่งถือว่าเยอะมาก 

“แต่มันก็มีเรื่องของการพนัน เรื่องของมาเฟียเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นด้านมืดที่ถามว่ามีไหม ก็ต้องตอบว่ามีจริง ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียวเขาเลยไม่อยากให้เรายุ่งเกี่ยววงการนี้เท่าไหร่ เขาเลยตัดสินใจส่งเราไปเรียนต่างประเทศ”

แม้จะย้ายไปเรียนต่อไกลถึงเมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐฯ แต่เส้นทางระหว่างมวยและอริยะวัฏกลับมาบรรจบกัน เมื่อบรรจงที่ย้ายตามมาใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ตัดสินใจเปิดค่ายมวย Fairtex ที่นั่น เหตุนี้อริยะวัฏจึงได้ใกล้ชิดกับกีฬามวยที่รักอีกครั้ง 

และต่อมาในปี 2523 Fairtex สาขาหลักที่ไทยยังเป็นค่ายมวยเจ้าแรกๆ ในประเทศที่เปิดรับฝึกสอนมวยไทยให้ชาวต่างชาติ จึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าค่ายมวยแห่งนี้เป็นหัวหอกสำคัญในการบุกเบิกมวยสู่สายตาชาวโลกทั้งในประเทศและนอกประเทศ  

จนกระทั่งอายุ 30 ปี อริยะวัฏได้กลับมาช่วยที่บ้านบริหารธุรกิจอีกครั้ง เขาดูแลในฝั่งโรงงานสิ่งทอที่หันมาผลิตอุปกรณ์กีฬามวยเพิ่มเติม เจ้าตัวอธิบายว่าจุดเด่นของอุปกรณ์กีฬามวยที่ผลิตโดยแฟร์เท็กซ์ คือความพิถีพิถันที่แทบจะทำด้วยกรรมวิธีแฮนด์เมดทุกขั้นตอน 

ด้วยคุณภาพของสินค้าทำให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก ทำให้มีการส่งออกในประเทศ 60% และส่งออกนอกประเทศ 40% และกลายเป็นรากฐานที่สำคัญของแบรนด์พอๆ กันกับการทำค่ายมวย

ROUND 2
ต่อยอดสู่ Fairtex Sports Club & Hotel สรวงสรรค์ของคนรักมวยไทย

อย่างที่เกริ่นนำในตอนต้นว่าบ้านหลังปัจจุบันของ Fairtex อยู่ที่พัทยาเหนือ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแลนด์มาร์กอย่างวงเวียนปลาโลมา 

จุดประสงค์ของการย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแค่ย้ายมาสร้าง training center ในพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฝึกซ้อมของนักมวยในสังกัด แต่ยังเอื้อต่อการต่อยอดอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นคือ Fairtex Sports Club & Hotel ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างค่ายฝึกซ้อมมวยและโรงแรมด้วยกันนั่นเอง

“พัทยาเป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกมาพักผ่อน ข้อดีคืออยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีสถานที่เที่ยว มีที่ช้อปปิ้ง มีนักท่องเที่ยวมาตลอด ไม่ใช่แค่ช่วงไฮซีซั่น เดี๋ยวนี้ยังมีจัดงานเทศกาลสำคัญๆ เช่น มิวสิกเฟสติวัล, สงกรานต์เฟสติวัล, พัทยามาราธอน ฯลฯ มวยไทยเองก็เป็นอีกกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต้องการ เราเลยอยากทำที่พักให้นักท่องเที่ยวเข้ามาฝึกซ้อมหรือซึมซับบรรยากาศมวยไทยของจริง”  

ในฐานะการเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว Fairtex Sports Club & Hotel มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะห้องพักกว้างขวาง เตียงคิงไซซ์นุ่มๆ เฟอร์นิเจอร์หรู สระว่ายน้ำ ห้องบริการอาหาร ฯลฯ แต่ที่มากกว่านั้น คือการวางสัดส่วนพื้นที่ฝึกซ้อมและเทรนนิ่งสำหรับคนที่อยากมาลองเรียนมวยไทยจริงๆ

“ตอนที่เราเริ่มทำ Fairtex Sports Club & Hotel แรกๆ เราทำเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นตลาด niche แต่ปัจจุบันมวยไทยกลายเป็นเทรนด์กีฬาที่ได้รับความนิยม เราเลยปรับเปลี่ยนทิศทางให้ตอบโจทย์กับการเป็น sport leisure และ sport tourism”

อย่างที่อริยะวัฏว่าไว้ เมื่อมวยไทยกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์กีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจ ภายในพื้นที่ของ Fairtex Sports Club & Hotel จึงถูกปรับให้มีขนาดเหมาะสมมากขึ้น จากตอนแรกที่มีเวทีมวยแค่ 4 เวที ก็ขยับขยายเป็น 9 เวที 

ขณะที่รูปแบบการฝึกสอนเน้นเป็นรูปแบบตัวต่อตัวเพื่อให้นักเรียนที่เป็นมือใหม่ไม่รู้สึกเกร็ง ได้มีเวลาซึมซับศาสตร์ของมวยไทยอย่างแท้จริง และเพื่อให้ครูมวยได้มีเวลาปูพื้นฐานการฝึกสอนมากพอ ส่วนอุปกรณ์นั้นมีเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะนวม เฮดการ์ด สนับเข่า สนับศอก ฟันยาง และกระจับ

“ก่อนจะรับมาฝึกสอน เทรนเนอร์จะต้องถามทุกครั้งว่าเป้าหมายในการมาเรียนรู้ของคุณคืออะไร เคยซ้อมมวยไหม มีรายการที่ต้องขึ้นชกหรือเปล่า เพราะบางคนที่สมัครมาจริงจังถึงขั้นลาออกจากงานมาเป็นนักมวยอาชีพก็มี” 

เหตุนี้ Fairtex จึงมีการวางโปรแกรมฝึกซ้อมจริงจังสำหรับผู้ที่ต้องการเทิร์นโปร หรือเป็นนักมวยมืออาชีพจริงๆ ที่บินมาเก็บตัวก่อนลงแข่งขัน ซึ่งความจริงจังไม่ได้อยู่แค่บนสังเวียนผ้าใบ แต่หมายถึงโปรแกรมการกิน การนอน และการเวตเทรนนิ่ง ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด โดยที่นี่มีครูมวยมากถึง 20 ชีวิตเพื่อให้พอรองรับกับจำนวนนักเรียนที่มา ที่เลือกลงเรียนตั้งแต่หลักวันจนถึงหลักเดือน

“อย่างเด็กต่างชาติ 2 คน ที่เพิ่งเดินผ่านไป เขาขอพ่อแม่มาซ้อมที่นี่นานเป็นเดือน เพราะเขาชอบมวยไทยมากๆ” อริยะวัฏบอกกับเราด้วยรอยยิ้ม

ROUND 3 
เสน่ห์ของเสื้อผ้าและอุปกรณ์มวยที่ไม่ได้อยู่แค่บนสังเวียน

Fairtex มาจากคำ 2 คำ คือ ‘fair play’ ที่หมายความว่า การเล่นอย่างขาวสะอาด และคำว่า ‘textile’ ที่หมายความว่า สิ่งทอ 

ดังนั้นความตั้งใจของค่ายมวยระดับตำนานนี้จึงไม่ได้ยึดติดอยู่แค่บนสังเวียน แต่แสดงออกผ่านเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาที่ผลิตในนาม Fairtex Equipment สะท้อนผ่านอัตราการเติบโตด้านรายได้เฉลี่ยปีละ 53% โดยปี 2566 คือปีที่ทำรายได้ได้มากถึง 580 ล้านบาท 

นอกจากที่พัทยา รีเทลช็อปของ Fairtex ยังกระจายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวใจกลางกรุงเทพฯ เช่น เมกาบางนา, เดอะมอลล์บางกะปิ, เซ็นทรัลเวิลด์, เทอร์มินอล 21 อโศก, สนามมวยลุมพินี ไปจนถึงหัวเมืองใหญ่ตามต่างจังหวัด เช่น สมุทรปราการ, ภูเก็ต และเชียงใหม่

อริยะวัฏเล่าว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Fairtex Equipment ที่เป็นบริษัทลูกของ Fairtex เติบโต ไม่ใช่แค่คุณภาพการตัดเย็บเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปรับดีไซน์สินค้าให้ทันสมัย อย่างกางเกงมวยที่คอลแล็บกับ PATTA แบรนด์สตรีทแวร์ชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์ หรือนวมมวยที่คอลแล็บกับ APPE ที่มาในลายพรางสุดคลาสสิก

“เราอยากทำให้สินค้าอย่างเสื้อยืดหรือกางเกงมวยไทยสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ เพื่อให้คนที่รักกีฬามวยไทยได้แสดงตัวตนออกมา เราเลยพยายามปรับลุคให้มีความเป็นสตรีทแฟชั่นมากขึ้น โดยที่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นไทย

“ขณะเดียวกันการคอลแล็บก็เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ ที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเราได้ เราเลยจับกับแบรนด์สตรีทแวร์ที่เขาอยากสร้างฐานแฟนกลุ่มใหม่ จากที่อยู่แค่ในสนาม ตอนนี้มันเลยกลายเป็นกระแสที่คนทั่วโลกเห็น หรือแม้แต่การให้ศิลปินชื่อดังอย่างมิลลิ สวมเสื้อผ้ากับอุปกรณ์มวยของเราขึ้นชกก็เป็นอีกวิธีการโปรโมตที่ดี ไม่ใช่แค่กับ Fairtex แต่เป็นการปลุกกระแสให้คนมาสนใจมวยไทยด้วย”

ซีอีโอ Fairtex เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาสินค้าให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งในอนาคตอาจเป็นมากกว่าเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์สวมใส่ออกกำลังกาย แต่เป็นของสะสมที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งทางเม็ดเงินและจิตใจ

“สิ่งสำคัญคือต้องพัฒนาสินค้าอยู่ตลอด สินค้าที่ออกมาต้องมีดีไซน์ตอบโจทย์กับเทรนด์ ให้คนที่ซื้อไปอยากใช้งาน อยากเก็บสะสมงานของเรา ซึ่งเรามองตลาดส่งออกใหญ่ๆ ไว้ที่ยุโรป อเมริกา และจีน เราไม่หยุดแค่ผลิตอุปกรณ์มวย แต่ยังมีอุปกรณ์กีฬา MMA เทควันโด และยิวยิตสู ซึ่งเป็นกีฬาต่อสู้ที่ผู้คนนิยม”

ROUND 4
ยืนหยัดด้วยความเป็น ‘ครอบครัว’

ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่จนถึงระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินไป มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนสัมผัสได้ คือความสบายใจ

ความสบายใจในที่นี้เกิดจากบรรยากาศ ‘เป็นกันเอง’ และ ‘ความจริงใจ’ จากบุคลากรตัวเล็กๆ ครูมวย ไปจนถึงนักมวยอาชีพในสังกัด ผ่านรอยยิ้มและคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่าที่นี่เป็นมากกว่าค่ายมวย แต่คือบ้านหลังหนึ่งที่พร้อมต้อนรับแขกเหรื่อ

อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คืออริยะวัฏดูสนิทสนมกับพนักงานและนักกีฬาทุกคน สามารถพูดจาหยอกล้อ แสดงความสนิทสนม ปราศจากการวางมาดเหมือนบรรดาตัวละครนายหัวที่ปรากฏในละครโทรทัศน์ ซึ่งซีอีโอ Fairtex บอกกับเราว่านี่เป็นบรรยากาศที่เขาตั้งใจสร้าง เพื่อให้มวลความสบายใจนี้ส่งต่อจากพนักงานและครูมวยสู่บรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือน

“หลายคนเขาชอบเรียกผมว่าเสี่ยเปรม ผมบอกอย่าเลย เรียกแค่คุณเปรมก็พอ อยากเป็นคนที่ทุกคนอยากเข้าหา ต้องไม่ถือตัว พยายามเข้าใจหัวอกของทุกๆ คน คนงานบางคนอยู่กับเรามา 10 ปี 20 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ จนตอนนี้เป็นรุ่นลูกที่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน เรามองว่า Fairtex คือครอบครัวที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

อริยะวัฏกล่าวต่อว่ากลุ่มที่ต้องเอาใจใส่มากที่สุดคือนักมวยดาวรุ่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นกำลังหลักของค่ายในอนาคต โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาหรือการวางตัวนอกสนาม เพื่อไม่ให้บรรดานักมวยวัยหัวเลี้ยวหัวต่อหลงระเริงไปกับแสงสีหรือชื่อเสียงจนหมดอนาคต

“นักมวยไทย โดยเฉพาะนักมวยวัยรุ่น มักมาคู่กับปัญหา 2-3 อย่าง ไม่เหล้ายา ก็การพนัน หน้าที่ของเราถ้าเจอนักกีฬาเกเร คือต้องสั่งสอนชี้นำเขาให้ได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างทะเลาะกับแฟนก็ต้องให้คำปรึกษาเขาได้

“นักมวยวัยรุ่นไม่ต่างจากม้าพยศ ถ้าไม่อธิบายให้เขาเข้าใจว่าผิดยังไงเขาก็ยิ่งดื้อ สิ่งที่คุณพ่อและผมบอกกับนักมวยเสมอคือ คุณต้องไม่หลงระเริง ถ้าคุณอดทน ตั้งใจ อนาคตคุณจะออกมาเป็นยังไง เพราะบางสิ่งถ้าพลาดแล้วมันพลาดเลย ถ้าโชคดีคุณอาจพอมีเวลากลับมาแก้ไข แต่ถ้าโชคร้ายคุณเสียแล้วเสียเลย

“ตอนนี้คุณพ่ออายุ 82 แกยังมาค่ายสั่งสอนเด็กๆ ด้วยตัวเองอยู่เลย” เขาเล่าพลางหัวเราะ 

คงจะจริงอย่างที่อริยะวัฏกล่าวมา เพราะนอกจากข้างฝาผนังที่มีรูปของนักมวยที่ประสบความสำเร็จและถ้วยรางวัลมากมาย ยังมีประโยคหนึ่งติดไว้เป็นเครื่องเตือนใจเด่นชัด ใจความว่า 

วินัยที่แย่ ‘จะทำลายพรสวรรค์’ ที่มี

วินัยที่ดีจะ ‘สร้างพรสวรรค์’ ให้คุณ

การที่คุณเห็นบางคนทำบางอย่างได้ดีกว่าคนอื่น อาจไม่ใช่เพราะเขามีพรสวรรค์แต่เกิด แต่เป็นเพราะวินัยต่างหากที่กำเนิดความสามารถให้เขา

ROUND 5
ขับเคลื่อนวงการมวยไทยด้วย ‘ดีเอ็นเอ’ ของนักสู้

“นอกจากโมเดลธุรกิจที่ว่ามา มีอะไรอีกที่ Fairtex ให้ความสำคัญมาโดยตลอด” ผู้เขียนถามอริยะวัฏหลังคุยเรื่องโมเดลธุรกิจของ Fairtex จบ 

ซีอีโอ Fairtex หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาหนักแน่นว่าสิ่งสำคัญที่ค่ายมวยระดับตำนานนี้ให้ความสำคัญคือการทำให้วงการมวยไทยนั้นดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้ไล่ตั้งแต่การปรับภาพลักษณ์วงการมวยไทยให้เป็นกีฬาที่แข่งขันกันด้วยศักดิ์ศรี ตัดสินแพ้ชนะโดยปราศจากเรื่องการพนันมาเอี่ยว หรือการล้มมวยก็ตาม 

แม้แต่เรื่องกฎกติกาการแข่งขันเอง ก็เป็นอีกสิ่งที่เขามองว่าสามารถปรับแก้ไขได้ตามความเหมาะสม ตามความต้องการของคนดูที่เปลี่ยนไปตามกระแส sportstainment ที่ต้องการเสิร์ฟอรรถรสรวดเร็ว   

“ผมเข้าใจนะว่าคนมวยรุ่นเก่าอยากให้มวยไทยคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มวยไทยเองก็ต้องปรับตัวตามไปด้วยโดยที่ยังไม่ลืมรากเหง้า เช่น ถ้าเราจะให้คนดูดูรำไหว้ครูครบทั้ง 12 คู่ คนดูก็อาจจะเบื่อ งั้นเราเก็บพิธีไหว้ครูไว้ในคู่ไฮไลต์ดีไหม หรือมวยไทยที่ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 5 ยก ถ้าเรามีการตัดสินที่เด็ดขาดถูกต้อง ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่จะหันมาเปิดใจกับกีฬานี้มากขึ้น”

อีกจุดที่น่าสนใจคือการที่ Fairtex จับมือเป็นพันธมิตรกับ One Championship รายการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก ที่นอกจากจะยกระดับดีกรีความร้อนแรงบนสังเวียน เน้นการแข่งขันแบบหมัดต่อหมัด ถึงพริกถึงขิงแล้ว ยังมีการร่วมกันจัดรายการ Road to One เพื่อเปิดโอกาสให้นักมวยรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ และก้าวไปสู่การเป็นนักมวยอาชีพในอนาคต นับเป็นการต่อยอดจากความตั้งใจเดิมของ Fairtex ที่เน้นปั้นนักกีฬาดาวรุ่ง โดยเฉพาะนักมวยต่างจังหวัดที่ยังขาดโอกาสหลายด้าน

“ผมว่าคนมวยทุกคนต่างมีไอเดีย เพียงแต่เราต้องคุยกันจริงจังว่าจะเอาไอเดียเหล่านั้นมาพัฒนายังไงให้เกิดขึ้น จะส่งต่อ จะจุดประกายสิ่งเหล่านี้ไปถึงนักกีฬารุ่นใหม่ยังไง” อริยะวัฏกล่าว

“นิยามได้ไหมว่าสิ่งที่ Fairtex กำลังดำเนินอยู่คือดีเอ็นเอของแชมป์เปี้ยน” ผู้เขียนถามทิ้งท้าย

“ดีเอ็นเอแชมป์เปี้ยนหรอ ผมว่าสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ต้องเรียกว่า ‘ดีเอ็นเอของนักสู้’ มากกว่า ถ้าไม่สู้ รอแต่พึ่งดวงก็คงไม่มาถึงตรงนี้” อริยะวัฏกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like