Girly Pop Academy
เบื้องหลังการทำร้านมัลติแบรนด์ให้ฮิตติดกระแสป๊อปคัลเจอร์ของ Daddy and the muscle academy
เสื้อยืดที่โรเซ่วง BLACKPINK ใส่ลงสตอรีในอินสตาแกรม สมุดที่วง NewJeans ใช้ ไปจนถึงเสื้อผ้าแฟชั่น Y2K เครื่องเขียน สติ๊กเกอร์ และของใช้กระจุกกระจิกอีกมากมาย คอลเลกชั่นทั้งหมดนี้สามารถหาได้ที่ Daddy and the muscle academy
ปีที่ผ่านมานับว่า เทรนด์ Y2K กลับมานิยมอีกครั้งในรอบหลายสิบปี แต่มีร้านมัลติแบรนด์ในไทยสไตล์วินเทจป๊อปที่ทำสไตล์นี้มานานแล้วก่อนที่เทรนด์นี้จะแมส และหลังจากที่ทำธุรกิจมาราว 8 ปีความฮิตที่หน้าร้านสาขาหลักอย่างสยามสแควร์ก็ไม่เคยแผ่วลงเลย มีสาวๆ เข้าร้านแน่นแทบจะตลอดเวลาโดยเฉพาะวันหยุด จนตอนนี้มีแบรนด์พาร์ตเนอร์ที่ฝากวางขายในร้านรวมทั้งหมดราวกว่า 200 แบรนด์
วันนี้ ลูกศร–ศรุติ ตันติวิทยากุล เป็นตัวแทนของผู้ร่วมก่อตั้ง Daddy and the muscle academy มาเล่าถึงเคล็ดลับการทำธุรกิจมัลติแบรนด์ให้อยู่ในกระแสได้ตลอดเวลาโดยยังอิงจากความชอบของตัวเอง ทั้งเธอและ ทิน แสงทวีป ต่างเป็น Co-founder ที่จบด้านดีไซเนอร์และมีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจ ลูกศรเก่งด้านแฟชั่นดีไซน์ ส่วนทินถนัดกราฟิกดีไซน์และดูแลทิศทางลายเส้นทั้งหมดของแบรนด์
จากความชอบและความถนัดส่วนตัวสู่การลุกขึ้นมาทำธุรกิจของดีไซเนอร์ ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการเปิดร้านที่สยามสแควร์ซึ่งเป็นย่านฮิตของวัยรุ่นใจกลางเมืองโดยมีชาวต่างชาติแวะมาไม่ขาดสายและคอยมอนิเตอร์เทรนด์ใหม่เพื่อออกคอลเลกชั่นให้ป๊อปอยู่เสมอ
เราจึงเดินทางไป Daddy and the muscle academy เพื่อพูดคุยถึงเบื้องหลังความสำเร็จของร้านมัลติแบรนด์ขวัญใจคนยุคใหม่ที่ทำร้านให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองมาได้อย่างยาวนานไม่ว่ากระแสวินเทจจะมาหรือไปก็ตาม
Pop Collections On Trend
ก่อนที่เทรนด์ Y2K จะเป็นกระแสนิยมในช่วงที่ผ่านมา ย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ลูกศรในวัย 20 ต้นมีความชื่นชอบในสไตล์วินเทจยุค 90s และก่อตั้ง Daddy and the muscle academy ร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งกลายเป็นร้านสไตล์วิจเทจป๊อปที่ป๊อปปูลาร์กับสาวๆ ทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น
ลูกศรเล่าว่าช่วงแรกทั้งเธอและทินเริ่มจากความชอบในวินเทจแนวหวาน แต่พอระยะเวลาผ่านไปสไตล์วินเทจของร้านก็ปรับเปลี่ยนให้กว้างขึ้นตามเทรนด์
“สไตล์ของเราจะปรับเปลี่ยนมาจากฟีดแบ็กจากลูกค้าค่อนข้างเยอะ พอได้ดาต้ามาจากการขาย เราก็จะเอามาวิเคราะห์กันว่าคนน่าจะชอบแบบนี้ อันไหนขายดี ด้วยความโชคดีที่ร้านเราตั้งอยู่ที่สยามสแควร์ เราก็จะรู้ก่อนเลยว่าช่วงนี้ลูกค้าอินกับอะไร”
right timing หรือจังหวะเวลาที่ใช่เป็นปัจจัยสำคัญที่ลูกศรบอกว่ามีส่วนว่าคอลเลกชั่นหนึ่งจะแจ้งเกิดหรือไม่ “เป็นเรื่อง timing และความเข้าใจของคน ณ ตอนนั้นว่าคนชอบอะไร เสพอะไร อินกับอะไร การเอาคอลเลกชั่นสมัยก่อนกลับมาทำในตอนนี้มันอาจจะไม่เวิร์กแล้ว หรือถ้าเอาคอลเลกชั่นตอนนี้ไปทำคนละช่วงเวลา คนก็อาจจะไม่เก็ต”
สำหรับสินค้าที่ออกแบบเอง การออกคอลเลกชั่นใหม่จะอยู่ที่ทุกๆ 2 เดือนครึ่งโดยอิงจากเทรนด์ที่คนกำลังนิยมในช่วงนั้น “อย่างล่าสุดเทรนด์สปอร์ตกำลังมา ซึ่งจริงๆ ก็จะมีหลายแบรนด์ทำชุดสปอร์ตกันเยอะมากในช่วงหนึ่ง เราก็มาคิดว่าจะเล่าเรื่องยังไงให้เป็นสปอร์ตในแนว Daddy มันก็จะมีความแตกต่างในแบรนด์ที่เราทำ”
ความสปอร์ตในสไตล์ของแบรนด์คือการใส่ดีเทลความกุ๊กกิ๊กเข้าไป อย่างการใส่ผ้าลูกไม้ เล่นแถบ silhouette เล่นลายและคัตเอาต์ต่างๆ กับเสื้อผ้าสไตล์สปอร์ตให้ดูมีความแฟชั่นมากขึ้น
หรือเมื่อเห็นว่าเทรนด์บัลเลต์กำลังเป็นกระแส ลูกศรและทินก็จะมานั่งคุยกับทีมว่ามีอะไรที่สามารถพลิกมุมมาเล่าบนสินค้าได้ไหมในมุมมองของร้าน และใส่กิมมิกเหล่านี้ในแต่ละคอลเลกชั่นโดยยังคงตัวตนความวินเทจของแบรนด์ไว้
“ในสไตล์วินเทจยุค 90s ที่เราชอบอยู่แล้ว เราก็จะปูทางเล่าสตอรีมาตั้งแต่ต้นในคาแร็กเตอร์การ์ตูนของเรา อย่างน้อง Wendy ที่เป็นเด็ก เราก็จะสร้างเรื่องราวให้มีเพลงที่เขาฟัง มีไดอารี แล้วเราก็ออกแบบ Wendy’s diary เวลาเราขายสมุด เล่าเรื่องในแบบวินเทจที่เราชอบมาเรื่อยๆ พอวันหนึ่งที่เทรนด์ Y2K มา มันก็ไม่ได้ยากเลยกับการที่เราจะทำคอลเลกชั่นขึ้นมาแล้วเอากิมมิกบางอย่างมาใส่”
ด้วยความที่ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนเป็นคนขี้เบื่อทำให้ไม่อยากนำเสนอสินค้าซ้ำเดิม แต่พยายามอัพเดตเทรนด์และเล่าเรื่องในมุมใหม่ตลอดเพื่อให้ลูกค้ามีความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
Cute with Twisted Gimmick
หลายคนเมื่อเห็นโทนสีชมพูทั้งร้านที่สยามอาจเข้าใจว่าคาแร็กเตอร์ของแบรนด์คือผู้หญิงหวานแหววแต่ลูกศรบอกว่าความจริงแล้วตัวตนที่แท้จริงที่เธออยากสื่อคือความน่ารักแบบเสียดสีที่ซ่อนอยู่ในโลกสีพาสเทล ตั้งแต่ชื่อร้าน Daddy and the muscle academy ที่ได้จากชื่อหนัง LGBTQ+ จากฟินแลนด์ซึ่งสอดแทรกความขี้เล่นไปจนถึงการสร้างคาแร็กเตอร์การ์ตูน 4 ตัวของร้านที่เป็นตัวแทนของสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งทุกคนในยุคบุกเบิก ได้แก่ คุณพ่อผู้เล่นกล้าม คุณแม่ที่มีความออร์แกไนซ์ ลูกสาวทั้งสองได้แก่ Wendy ตัวแทนเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่ในวัย first love และน้อง Lucy น้องเล็กที่เป็นตัวป่วนสาย trouble maker ของบ้าน
เวลาทำลวดลายบนสินค้าต่างๆ ลูกศรจะเล่าเรื่องราวความขี้เล่นของคาแร็กเตอร์เหล่านี้และใส่กิมมิกความกวนลงไปในสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ดีไซน์เอง หากมองแวบแรกอาจเห็นแค่สินค้าสายหวานสำหรับผู้หญิง แต่ถ้ากลับมาสังเกตดีๆ อีกทีจะเห็นรายละเอียดที่แสบซ่าในการครีเอตสินค้า เช่น
เสื้อยืดที่ทำภาพการ์ตูนล้อกับการ์ตูนตาหวานแต่ชูนิ้วกลาง
เสื้อที่เขียนว่า Fragile และข้างล่างมีตัวอักษรเล็กๆ เขียนว่า Please care
เสื้อลายคาแร็กเตอร์ฝาแฝดที่คนหนึ่งส่องกระจกแต่ข้างในกระจกเป็นฝาแฝดอีกคนหนึ่งที่มีสีผิวต่างกัน
“มันจะมีความความน่ารักนะแต่มันไม่ได้น่ารักจริงๆ มันมีความเสียดสีบางอย่างซ่อนไว้
ในความน่ารักกระจุ๋งกระจิ๋ง”
เบื้องหลังแรงบันดาลใจในผลงานของลูกศรนั้น นอกจากข้าวของและไลฟ์สไตล์สายวินเทจที่ซึมซับมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว ยังเป็นวัฒนธรรม ซอฟต์คัลเจอร์และไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในเทรนด์และไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวของ ‘คาวาอี้’ เท่านั้น แค่เห็นอะไรรอบตัวก็สามารถหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำคอลเลกชั่นได้หมด
อย่างสมุดบันทึกและโปสเตอร์วินเทจที่ทำเลียนแบบยุคก่อน ซึ่งนอกจาก house brand แล้วลูกศรก็ตั้งใจให้แบรนด์อื่นๆ ที่เลือกมาวางขายที่ร้านล้วนเป็นแบรนด์ที่มีความพิเศษในแบบของตัวเองเช่นกัน
“เกณฑ์อย่างหนึ่งเลยที่น่าจะเป็นเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของ Daddy คือสินค้าต้องมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร เป็นสินค้าที่ออกแบบเองแล้วก็มีความคราฟต์และทำมือหรือสร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเอง อย่างสติ๊กเกอร์โดยนักวาดภาพประกอบมากมายที่อยู่ในร้านเรา”
ด้วยความที่สินค้าในร้านมีมากถึง 200 แบรนด์และมีหลากหลายหมวด ความหลากหลายนี้ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ส่งผลให้แต่ละแบรนด์พยายามครีเอตความคิดสร้างสรรรค์ที่ทำให้สินค้าดึงดูดความสนใจลูกค้า
อย่างแบรนด์ bringhome.thebacon ที่ทวิสต์รูปแบบกล่องใส่เครื่องเขียนสำหรับเด็กด้วยการทำกระป๋อง และเทียนหอม Summerstuff.marine ที่ออกแบบกลิ่นพิเศษเป็นกลิ่น Daddy’s store โดยเฉพาะ
“แต่ละแบรนด์ก็จะมีกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อยู่ในร้านซ่อนเต็มไปหมดเลย มันก็เลยกลายเป็นแม็กเน็ตที่ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาในแต่ละครั้งได้ประสบการณ์ต่างกันกลับไป ของมันหลากหลายมาก แล้วแต่ว่าใครจะเลือกสิ่งไหนที่เข้ากับตัวเองกลับไป”
Magic in Retail Store
ก่อนเปิดหน้าร้านที่สยาม ลูกศรเริ่มเปิดร้านจากช่องทางออนไลน์ในยุคที่อินสตาแกรมเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ การก้าวมาเปิดหน้าร้านเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แจ้งเกิดและคนรู้จักเยอะ
“เราไม่ได้อยากนิยามตัวเองแค่ร้านมัลติแบรนด์ ในอนาคตแบรนด์เราอาจจะไม่ใช่แค่สโตร์ก็ได้ มันอาจจะเป็น Daddy hotel หรือ Daddy pet shop หรือ Daddy café ก็ได้ จุดหมายของแบรนด์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราได้กำไรเท่าไหร่หรือขยายอีก 10 สาขาแต่เป็นการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า”
ภาพร้านสีพาสเทลที่ตั้งอยู่กลางสยามโดดเด่นตั้งแต่ดิสเพลย์หน้าร้าน เมื่อเปิดประตูเข้ามาเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกสีพาสเทลสดใสที่เต็มไปด้วยสารพัดของกุ๊กกิ๊กวางเรียงรายอัดแน่น
ธีมของร้านจะผ่าครึ่งแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน “ด้านหนึ่งใช้ชื่อว่า Daddy and the muscle academy ที่มีความโฮมมี่ดูบ้านๆ หน่อย ตัวเฮาส์แบรนด์ที่ดีไซน์เองก็จะมีทั้งเสื้อผ้า เครื่องเขียน และแอ็กเซสเซอรีต่างๆ อีกฝั่งหนึ่งจะใช้ชื่อว่า STICKERLAND เป็นดินแดนสติ๊กเกอร์ที่เดินเข้ามาจะมีความเป็นมาร์ตนิดๆ”
ชั้น 1 นอกจากมีสินค้าสำหรับวางขายแล้ว ทุกมุมของร้านยังตกแต่งอย่างน่ารักเหมือนฉาบด้วยกลิตเตอร์สีชมพูให้ไม่เหลือพื้นที่ว่าง ตั้งแต่ตู้คีบตุ๊กตา ตู้ล็อกเกอร์โรงเรียนติดสติ๊กเกอร์ ห้องลองเสื้อที่ตกแต่งด้วยผ้าแพตช์เวิร์กจากผ้าเช็ดหน้าวินเทจลายดอกไม้
ชั้น 2 เป็นโซนตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ที่ถ่ายรูปแล้วสามารถลอกสติ๊กเกอร์มาติดได้จริงๆ เหมือนตู้ถ่ายรูปที่ฮิตในยุค 90s และร้านทำเล็บ Kantima Salon ที่เหมือนยกทุ่งดอกไม้และบรรยากาศความสดใสในร้านทั้งหมดไปอยู่บนเล็บ
นอกจากแจ้งเกิดในบรรดาลูกค้าไทยแล้ว ลูกศรอธิบายว่าเพราะหน้าร้านที่สื่อสไตล์แตกต่างชัดเจนนี้เองที่ทำให้ลูกค้าต่างชาติแวะมาเยี่ยมเยียนที่ร้านซึ่งตรงกับความตั้งใจแรกของลูกศรและทินที่อยากให้ไทยมีที่ช้อปปิ้งเป็น tourist destination ของชาวต่างชาติ
“พอเราทำสโตร์ ช่วงแรกก็ยังเป็นลูกค้าคนไทยอยู่ แต่เพราะที่นี่เป็นสยามก็เลยมีลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มมาบ้าง เริ่มจากมีลูกค้าชาวจีนมาถ่ายรูปกลับไปแชร์บอกเพื่อนๆ ในแอพพลิเคชั่นอย่าง Xiaohongshu (เสี่ยวหงซู) ที่คล้ายอินสตาแกรมของไทย พอคนไปแชร์เยอะๆ ก็เริ่มมีทั้งคนจีน ไต้หวัน ฮ่องกงกลับมา ลูกค้าจากทางฝั่งยุโรปและตะวันออกกลางก็มีบ้างเหมือนกัน จนก่อนโควิด-19 ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติคิดเป็น 50:50 เลย และช่วงนี้ลูกค้าต่างชาติก็เริ่มทยอยกลับมาแล้ว”
ออฟไลน์เป็นส่วนหลักที่ทำให้ภาพแบรนด์แข็งแรงจนเตะตาดึงดูดคน ส่วนออนไลน์เป็นส่วนเสริมที่ทำให้ไวรัลและเกิดการบอกปากต่อปาก โดยมีแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง Shopee, Lazada, Pinkoi เป็นช่องทางเสริมให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายมากขึ้น
“ร้านเราได้ word-of-mouth เยอะมาก คือถ้าให้เทียบว่าเราทำการตลาดแบบยิงโฆษณาไหม คือเราแทบไม่ได้ยิงและแทบไม่ใช้การตลาดแบบเสียเงินเลย มันไปได้ไกลและไปเร็วเพราะการที่คนมาแล้วได้สัมผัสประสบการณ์จริงกลับไปทำให้คนได้ซึมซับแล้วเอาไปพูดต่อได้
“มันอาจจะขัดกับตอนนี้ที่ทุกคนคิดว่าหน้าร้านไม่จำเป็นแล้ว ทุกคนก็ไปเน้นออนไลน์ แต่อย่างร้านของเราจะกลับกันที่คนเข้ามาหน้าร้านเพื่อมาเสพ เวลาที่คนช้อปออนไลน์มันอาจจะไม่ได้สนุกเท่ากับการได้มาเสพประสบการณ์ที่นี่ที่ไม่ได้แค่ของกลับไป แต่ได้ประสบการณ์เลือกซื้อของที่ดีต่อใจ”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาลูกศรบอกว่าสิ่งที่ลองทำแล้วต้องพับไปก็มีเหมือนกัน เช่น การเปิดร้านสาขาใหม่ที่หัวลำโพงในชื่อ Daddy Vintage and Souvenir Store ซึ่งเปิดได้ไม่นานก็เจอโควิด-19 ทำให้ต้องล้มเลิกไปแต่ก็ไม่เสียใจที่ได้ลองทำ เพราะยึดเป้าหมายหลักในระยะยาวที่อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า
Go Niche or Go Home
นอกจากเป็นผู้ร่วมก่อตั้งของ Daddy and the muscle academy แล้ว ลูกศรยังควบตำแหน่งผู้ร่วมก่อตั้ง Frank Garcon ร้านมัลติแบรนด์ที่เน้นสินค้ายูนิเซ็กซ์สำหรับผู้หญิงและผู้ชายซึ่งมีสไตล์และกลุ่มลูกค้าแตกต่างจากสายหวานโดยสิ้นเชิง
ในการปั้นร้านมัลติแบรนด์ให้เป็นขวัญใจวัยรุ่น เธอบอกว่าสิ่งที่ทำให้ร้านมีความแตกต่างและโดดเด่นคือ CI (corporate identity) หรืออัตลักษณ์ของแบรนด์ที่ต้องทำให้ชัดเจน
“การสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ออกไป วิธีที่จะทำให้คนเก็ตฟีลและเข้าใจสไตล์ของร้านเราได้คือ CI ต้องชัดมากก่อน โมเดลธุรกิจอาจดูคล้ายกัน แต่รายละเอียดจริงๆ ในทุกจุดจะต่างกันโดยสิ้นเชิง ลักษณะการสื่อสารออกไปของ Daddy and the muscle academy จะต้องเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงเล่าเรื่อง ส่วนของ Frank Garcon จะเป็นเพื่อนที่พูดภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมาย ร้านจะมีกลิ่นอายความเท่และความเป็นผู้ชาย เหมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่งไปเลย จุดสำคัญคือการสื่อสารให้ถึง”
จับกลุ่มเป้าหมายให้ถูก เล่าเรื่องให้ถูกกลุ่ม สื่อสารให้ชัด คือแก่นสำคัญในการเริ่มต้นทำมัลติแบรนด์ ซึ่งสไตล์ของ Daddy and the muscle academy ถือว่าเป็นธุรกิจที่จับตลาด niche แม้ไม่แมส แต่การไปให้สุดในตลาดเฉพาะกลุ่มของตัวเองนั้นทำให้ใครก็ตามที่ชอบความกุ๊กกิ๊กน่ารักแบบ 90s จะนึกถึง Daddy เป็นร้านแรก
“ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่จะเป็นลูกค้า Daddy แต่ผู้หญิงที่ชอบของกุ๊กกิ๊กทุกคนต้องเข้าร้านเรา ด้วยความเยอะของกลุ่มลูกค้าเลยทำให้ขนาดตลาดของร้านเท่ากับ Frank Garcon ที่แมสกว่า ถึงเราจะ niche แต่เราเก็บทุกคนที่ชอบสไตล์นี้ได้”
95% ของลูกค้าที่ร้านเป็นผู้หญิงซึ่งครอบคลุมหลายวัยและมีความชอบหลายแบบ ทั้งเด็กนักเรียนที่อยากได้เครื่องเขียนอย่างสติ๊กเกอร์ สมุดที่น่ารักดีต่อใจสำหรับจดเลกเชอร์หรืออ่านหนังสือสอบ ลูกค้าชาวต่างชาติที่อยากได้เสื้อผ้า กระเป๋า หมวกเทรนด์ Y2K กลับไปมิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าที่มีอยู่ ผู้ใหญ่ที่ยังชอบของกุ๊กกิ๊กและอยากย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ไปจนถึงเด็กที่มากับคุณพ่อคุณแม่
ยิ่งพอเปิดร้านมายาวนานหลายปี ลูกศรก็ได้เห็นความเติบโตของแฟนคลับที่เติบโตไปพร้อมกัน “พอเราเปิดเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ลูกค้าที่อยู่ ม.1 ในวันนั้น วันนี้เขาก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
“คนที่เพิ่งเรียนจบในตอนนั้น ตอนนี้เขาก็น่าจะอายุ 30 ปีแล้ว ความคิดของเขาหรือสิ่งที่เขาเจอ เพื่อนๆ ของเขาก็ต่างออกไปแล้ว ลูกค้าหน้าใหม่ที่เป็น young generation ก็จะผลัดเปลี่ยนเข้ามา แต่ถ้าเขานึกถึงความกุ๊กกิ๊กเบอร์นี้เมื่อไหร่ ยังไงเขาก็ต้องนึกถึงเรา”
Academy for Creators
หลายคนมักบอกว่าการทำธุรกิจต้องเริ่มต้นจากการคิดใหญ่แล้วจะไปได้ไกล ลูกศรเป็นตัวแทนของคนที่เริ่มจากแพสชั่นแล้วแปลงความชอบส่วนตัวให้อยู่ในโลกความเป็นจริงได้
“เราเริ่มต้นจากไม่ได้ think big ว่า business model จะต้องเติบโตได้เท่าไหน เราทำกับเพื่อนแล้วเริ่มพัฒนาจากความชอบ เริ่มง่ายๆ เปิดไอจีกันเอง เริ่มขายกันเอง ช่วงแรกเราเป็นแอดมินเอง เปิดร้านก็เข้าเอง เราเลยโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นดีไซเนอร์ที่มาทำธุรกิจคือการคิดให้กลม 360 องศา เพราะการทำธุรกิจประกอบด้วยหลายส่วนทั้งภาษี บัญชี เรื่องตัวเลขทั้งสต็อกและดาต้ามากมายไปจนถึงเรื่องการบริหารจัดการคน
เรื่องไหนที่ไม่ถนัดอย่างบัญชีก็หาคนที่รู้จริงในด้านนั้นมาช่วย ส่วนการบริหารจัดการที่ยิบย่อยอย่างสต็อกที่มีสินค้าราวหมื่นชิ้นก็เซ็ทอัพระบบและทีมในการบริหารจัดการเพื่อช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ไม่ถนัด
“มันไม่ใช่แค่เราสร้างร้านมาสวยงามแล้วหลังบ้านเราจะทำยังไงก็ได้ ทั้ง front และ bank-end (หน้าบ้านและหลังบ้าน) รวมถึงเรื่องทีมก็ต้องแข็งแรงมากๆ การเป็นเจ้าของกิจการต้องใช้หลายทักษะมากๆ ต้องผสมทักษะการคุยกับคนและการบริหารจัดการต่างๆ โดยที่ความคิดสร้างสรรค์ของเราก็ยังต้องมีอยู่”
จาก day 1 ของ Daddy and the muscle academy ทุกวันนี้วงการครีเอเตอร์เติบโตขึ้นอย่างมาก มีแบรนด์เล็กๆ ทยอยเกิดใหม่ขึ้นมากมาย ทั้งสินค้าทำมือของศิลปินและงานออกแบบของดีไซเนอร์
ลูกศรมองว่าร้านของเธอเป็นเวทีหนึ่งที่เปิดโอกาสให้แบรนด์รายย่อยเหล่านี้ได้ฉายแสงและความภาคภูมิใจคือการเห็นศิลปินและแบรนด์ต่างๆ ที่เริ่มต้นทำมาด้วยกันเติบโตจนบางแบรนด์สามารถเปิดร้านของตัวเองได้ไปจนถึงมีชื่อเสียงโด่งดังหรือเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นในวงการของตัวเอง
“เราไม่ได้หวงและไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องมีร้านเราที่เดียว รู้สึกว่าการมีแบรนด์หรือนักวาด
ใหม่ๆ เป็นการเขย่าให้คนรู้สึกว่ามีแบรนด์ที่น่าสนับสนุนอีกมากมาย คิดว่ามันเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจของวงการสร้างสรรค์นี้ด้วยและแต่ละร้านมัลติแบรนด์ก็จะมีสไตล์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว”
ร้านมัลติแบรนด์จึงเป็นเหมือน Business Academy ที่สร้างพื้นที่ปล่อยของให้เหล่าครีเอเตอร์ที่ชอบสไตล์เดียวกัน ยิ่งมีแบรนด์เยอะ ก็ยิ่งคูณพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นแหล่งรวมแบรนด์ที่พิเศษอย่างเท่าทวีคูณ
Add to Cart : 5 สินค้าฮิตติดเทรนด์ของ Daddy and the muscle academy
- เสื้อยืด Rosie Rose เมื่อแฟนคลับซื้อเสื้อยืดรุ่นนี้ให้ศิลปินคนโปรดอย่างโรเซ่ blackpink แล้วโรเซ่ใส่ขึ้นคอนเสิร์ตจริง ทำให้เสื้อตัวนี้ขายถล่มทลายในชั่วพริบตาเดียว
- สมุด NewJeans Collect Book แต่เดิมสไตล์สมุดวินเทจของร้านนั้นมีความน่ารักเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว วันหนึ่งปรากฎว่าวง New Jeans นำสมุดของร้านไปใช้ เลยกลายเป็นสมุดสุดฮิต
- คอลเลกชั่นเสื้อผ้า DADDY X IPYAL ที่ร่วมคอลแล็บกับแบรนด์ I Peach you A Lot นำลายเส้นน่ารักของศิลปินมาอยู่บนชุดอย่าง Pixie Baby Dress และอีกมากมาย
- Private School Top เสื้อกีฬาครอปตามเทรนด์สปอร์ตที่สกรีนสีสดใสให้เหมาะกับสาวๆ
- Little Wendy & Daddy Doll Keychain ตุ๊กตาพวงกุญแจรูป Wendy และแด๊ดดี้ เป็นคาแร็กเตอร์เอกลักษณ์ของร้านที่ไม่เหมือนใคร