วิเคราะห์มหากาพย์ดีล Warner Bros.
วิเคราะห์มหากาพย์ดีล Warner Bros. หลัง Netflix และ Paramount แย่งเข้าซื้อกิจการ
ข่าวใหญ่ของคอหนังและซีรีส์ที่สั่นสะเทือนวงการสตรีมมิงในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นข่าวที่ Netflix ประกาศเข้าซื้อกิจการในส่วนของสตูดิโอภาพยนตร์ Warner Bros. (WB) และบริการสตรีมมิง HBO Max ผู้ถือลิขสิทธิ์ชื่อดังอย่าง Harry Potter, Games of Thrones, The Lord of the Rings รวมถึงซีรีส์ที่เพิ่งเข้าฉายสดๆ ร้อนๆ อย่าง IT: Welcome to Derry และเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์และสร้างภาพยนตร์จากคอมิกของ DC
แต่ดีลยักษ์ใหญ่ยังไม่จบ เมื่อ Paramount Skydance Corporation หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Paramount สตูดิโอยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดที่มีหนังและซีรีส์ชื่อดัง ทั้งแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Mission: Impossible, Transformers, Star Trek และซีรีส์ยอดนิยมจาก Showtime & CBS อย่าง FBI: International, NCIS, Halo, Mayor of Kingstown ได้ประกาศเสนอซื้อหุ้น Warner Bros. Discovery (WBD) เพื่อปาดหน้าเค้ก Netflix ด้วยมูลค่าที่สูงกว่า
Recap ในตอนนี้จึงพามาสรุปมหากาพย์ดีลที่เขย่าวงการบันเทิงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ และฉายภาพให้เห็นว่าหากดีลนี้สิ้นสุดลง จะเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจหนังและซีรีส์ไปยังไง รวมถึงผู้บริโภคจะได้ประโยชน์หรือได้ผลกระทบมากกว่ากัน
🎞 ทำไมดีล Warner Bros. ถึงน่าจับตามอง
David Zaslav ซีอีโอและประธานของ Warner Bros. Discovery (WBD) ประกาศขายกิจการ เพื่อให้สตูดิโอกลับมาชิงบัลลังก์ผู้นำในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และตั้งใจให้ HBO Max ขยายฐานผู้ชมไปทั่ว หลังจากเผชิญปัญหาขาดทุนหลายปีติด จนเจอกับภาระหนี้สินท่วมท้น

หลังการประกาศขาย หุ้นของ WBD พุ่งขึ้นสูงทันที ทำให้นักลงทุนมองว่าหากใครปิดดีลนี้ได้ เท่ากับได้ทรัพย์สิน IP มหาศาล เพราะไม่ได้เป็นแค่การซื้อบริษัท แต่ถือเป็นการซื้อจักรวาลคอนเทนต์ระดับตำนาน มาสร้างรายได้ต่อไม่รู้จบ ซึ่งพลิกเกมธุรกิจมาชนะยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นๆ ได้อีกด้วย
ผู้เข้าชิงประมูลครั้งนี้มีถึง 3 บริษัท ได้แก่ Paramount Skydance, Netflix และ Comcast แน่นอนว่า Netflix ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลหลังเสนอซื้อเฉพาะส่วนสตูดิโอ ภาพยนตร์ ทีวีของ Warner Bros. และสตรีมมิงในส่วนของ HBO Max ด้วยราคาประมาณ 27.75 ดอลลาร์ต่อหุ้น รวมมูลค่ากิจการทั้งหมดกว่า 82,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในบรรดาคู่แข่ง
🎞 ถ้า Netflix ซื้อกิจการสำเร็จจะเป็นยังไง
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แตกออกเป็น 2 ฝั่ง ทั้งผู้ชมที่มองว่าจะได้ชมภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่ตนเองรัก ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว รวมถึงถ้าปิดดีลได้จริงๆ ก็น่าจะมีเม็ดเงินมหาศาลมาลงทุนเพิ่มขึ้นในการผลิตเนื้อหาเพื่อความบันเทิง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก
แต่เสียงหมู่มากเทไปในอีกมุมหนึ่งคือ Netflix เป็นบริการสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว โดยมีหนังและซีรีส์เรือธงอย่าง Stranger Things, Squid Game, Money Heist, Wednesday และอื่นๆ อีกมากมาย หากควบรวม HBO Max จะถือเป็นการผูกขาดตลาด ซึ่งจะลดการแข่งขันและกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง

ในปี 2025 Netflix มีจำนวนสมาชิก 300 ล้านราย ในขณะที่ HBO มีจำนวนสมาชิก 128 ล้านราย หากเกิดการควบรวมกันจริงๆ จะมีฐานสมาชิกสูงถึง 428 ล้านราย ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Amazon Prime Video มีจำนวนสมาชิก 200 ล้านราย Disney+ มีประมาณ 131 ล้านราย และ Paramount+ มีประมาณ 79.1 ล้านรายเท่านั้น
ทางสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์สหรัฐ (Directors Guild of America) ก็ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่าดีลนี้จะสร้างผลเสียต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์หรือไม่ โดยเตรียมนัดหารือกับ Netflix เพื่อหาแนวทางที่ไม่กระทบต่อทุกฝ่าย
ขณะที่ Paramount หนึ่งในบริษัทที่ร่วมประมูลซื้อกิจการ WBD แต่พ่ายแพ้กลับมาในครั้งแรก ก็เคยให้ความเห็นว่าหาก Netflix ชนะประมูลครั้งนี้ จะส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างมาก เพราะ Netflix คือแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่ให้คนดูหนังที่บ้าน มากกว่าการไปดูที่โรงภาพยนตร์ ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจภาพยนตร์ที่ฉายในโรงก็เข้าขั้นวิกฤตจากรายได้ที่ลดลง หากได้คอนเทนต์จำนวนมากจาก WBD จะยิ่งทำให้ Netflix เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจสตรีมมิงมากยิ่งขึ้น
ในตอนนี้ Netflix ออกมาบอกแต่เพียงว่าจะทำให้ทุกธุรกิจของ WBS ดำเนินต่อไปตามเดิม แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่าจะทำยังไงกับภาพยนตร์ของ WBS ที่ยังไม่ฉาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ WBD เจรจากับ Netflix เพื่อร่างข้อตกลงซื้อ-ขายขั้นสุดท้าย ทั้งยังต้องยื่นต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เพื่อให้พิจารณาดีลนี้ต่อไป
🎞 ถ้าดีลนี้ตกไปอยู่ในมือ Paramount จะเป็นยังไง
ดีลครั้งประวัติศาสตร์ยังไม่จบ หลังจาก Paramount ประกาศเสนอซื้อหุ้น WBD ทั้งหมด และจะเสนอซื้อด้วยเงินสดทั้งหมด ในราคา 30 ดอลลาร์ต่อหุ้น เท่ากับมูลค่า 108.4 พันล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าเป็นการเสนอซื้อในมูลค่าที่มากกว่า Netflix และเป็นการหักหน้ายักษ์ใหญ่ไปเต็มๆ
หากการควบรวมครั้งนี้ผู้ชนะคือ Paramount เขาตั้งใจรักษารายการภาพยนตร์ของ WBD ในปัจจุบัน และมีแผนที่จะขยายธุรกิจเพิ่มเติม โดยสนับสนุนการผลิตหนังเพื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ มากกว่าลงแค่ในสตรีมมิงแบบ Netflix

ในส่วนของสตรีมมิงตั้งใจจะผสมผสานระหว่าง Paramount+ กับ HBO Max เข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และทำให้การแข่งขันในวงการสตรีมมิงสมน้ำสมเนื้อมากขึ้น โดยเฉพาะกับ Netflix, Amazon และ Disney+ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของคอนเทนต์ มากกว่าการผูกขาดที่เสี่ยงต่อการเอาเปรียบผู้บริโภคในอนาคต
ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าการควบรวมกิจการกับ WBD จะจบลงยังไง และดีลนี้จะไปตกอยู่ในมือใคร แต่หวังว่าบทสรุปสุดท้ายจะส่งผลดีทั้งต่อวงการภาพยนตร์และซีรีส์ให้สามารถขับเลื่อนธุรกิจต่อไปได้อย่างเป็นธรรม และส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ในวันที่สงครามสตรีมมิงยิ่งดุเดือดขึ้นทุกที
ที่มา
- variety.com/2025/tv/news/warner-bros-discovery-evaluating-acquisition-offers-multiple-parties-1236557678/
- about.netflix.com/en/news/netflix-to-acquire-warner-bros
- gamedeveloper.com/business/yes-netflix-is-acquiring-warner-bros-games
- engadget.com/entertainment/streaming/the-netflix-and-warner-bros-deal-might-be-great-for-shareholders-but-not-for-anyone-else-183000247.html
- hollywoodreporter.com/movies/movie-news/will-netflix-release-warner-bros-movies-in-theaters-1236443116
- blognone.com/node/149147