White Balance
4P+1 ของ White Story ที่เสิร์ฟเมนูดีต่อใจและสุขภาพจนผู้บริโภคหลงรักและขยายได้กว่า 90 สาขา
ขณะนี้เป็นเวลา 12:00 น. ภาพตรงหน้าคือเหล่าคนทำงาน ผู้สูงอายุ และนักท่องเที่ยวขาจร สลับสับเปลี่ยนกันเดินเข้าร้าน White Story สาขา The Walk ราชพฤกษ์ โดยมีจุดมุ่งหมายต่างกัน บ้างขอฝากท้องช่วงเที่ยงกับเมนูอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศ บ้างขอหยิบเบเกอรีสักกล่องสองกล่องติดมือไว้รองท้องช่วงบ่าย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาที่นี่ล้วนอยากบริโภคอาหารที่จริงใจต่อสุขภาพ
ที่ต้องบอกแบบนั้นเพราะจุดแข็งของ White Story คือการขายของ ‘อร่อย’ ที่คำนึงถึงความสุขของคนกินเป็นหลัก ไม่ใช่แค่รสชาติถูกปาก แต่ต้องทำสดวันต่อวัน ปราศจากสารวัตถุกันเสีย ปริมาณสารอาหารอยู่ในเกณฑ์กำลังดี และเพิ่มเติมคือวันนี้กระบวนการผลิตต้องคิดและลงมือทำโดยคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’ ด้วย
จากธุรกิจที่เริ่มต้นด้วย Grab & Go จนถึงตอนนี้ White Story มีสาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลถึง 92 สาขา โดยปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้ถึง 598 ล้านบาท กำไรสุทธิ 67 ล้านบาท ที่สำคัญคือเข้าไปนั่งอยู่ในใจของคนรักเบเกอรี และผู้นิยมอาหารคาร์บฯ (แต่ยังอยากติดหวาน) ได้อย่างไม่เคอะเขิน
น่าสนใจว่าอะไรทำให้ White Story เติบโตขึ้นในทุกๆ ปี ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจอาหารที่ใครต่อใครก็บอกว่าโหดหินระดับ red ocean คำตอบที่ว่าคงไม่มีใครอธิบายได้ดีไปกว่าผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง แวว–วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ ที่จะมาเล่าถอดสูตรกลยุทธ์การทำธุรกิจของเจ้าตัวจนผู้บริโภคต้องหลงรักในคอลัมน์ 5P ตอนนี้

PRODUCT
Grab & Go ที่ดีต่อใจและสุขภาพคนกิน
“ช่วงเวลาประมาณนี้คนจะเต็มร้านตลอดเป็นปกติเลยค่ะ”
วาศิณีกล่าวพลางช่วยพนักงานในร้านจัดวางเบเกอรีที่เพิ่งส่งตรงจากเตาอบเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนอย่างขมีขมัน ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นคนระดับผู้บริหารใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือลงมาทำหน้าที่หน้าร้าน แต่กับเธอที่พื้นเพเป็นคนชอบเข้าครัวตั้งแต่เยาว์วัยและเคยทำงานในสาย fast-moving consumer goods (FMCG) การลงมือทำเองคือหนึ่งในหนทางที่ทำให้เธอได้สังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อวางแผนพัฒนาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์กับชีวิตประจำวัน ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของ White Story ด้วย
“แรกเริ่ม White Story เกิดจากการเป็นร้านคาเฟ่ ก่อนจะพัฒนามาเป็นร้าน dine-in ซึ่งก็คือที่สาขาราชพฤกษ์ ตอนนั้นเราเน้นขายอาหาร ขายเบเกอรี เพราะเรามีความรู้เรื่องการทำขนมปังอยู่ แล้วด้วยความที่ hand on ลงมาทำงานที่หน้าร้านเอง เราเลยรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ลูกค้าของเราคือคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบในสังคมยุคปัจจุบัน เมื่อเรารู้โจทย์ customer needs ตรงนี้ เราเลยเผื่อพื้นที่ 30% ของร้านเป็น Grab & Go ที่เน้นขายพวกเบเกอรีเป็นหลัก
“จนวันหนึ่งมีลูกค้าเดินมาบอกกับเราว่า อาหารของคุณอร่อยนะ ครัวคุณก็มี ทำไมคุณไม่ทำอาหารกล่องขายด้วยล่ะ ฉันไม่ได้อยากกินขนมปังทุกวันนะ เราเลยตัดสินใจปรับ product variety ที่มีให้มันดีขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีทั้งขนมปัง อาหารกล่อง และเครื่องดื่มที่สามารถนำกลับไปทานที่บ้านได้ รวมไปถึงอาหารคาวอย่างกานาฉ่าย หมูฝอย กุนเชียง ฯลฯ ที่เก็บไว้ทานในมื้อต่อไป ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าและทำให้สเกลรายได้ของเราเติบโตชัดเจน”
สำหรับใครที่เป็นแฟนตัวยงของ White Story น่าจะรู้ดีว่านอกจากจะจำหน่ายอาหารที่ทานง่าย ซื้อติดไม้ติดมือสะดวก อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งคือการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพคนทาน จากวัตถุดิบสดใหม่ที่คัดสรรเป็นอย่างดี ซึ่งวาศิณีบอกกับเราว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและกลายเป็นขาประจำในที่สุด
“เราใส่ใจเรื่องสุขภาพมากๆ ลูกค้าของเราต้องไม่อิ่มอย่างเดียว แต่ต้องได้ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทำสดวันต่อวัน ทำให้รสชาติหวานน้อยที่สุด ใครที่เคยทานเบเกอรีของเราจะรู้ถึงรสสัมผัสของวัตถุดิบที่มีความเป็นออร์แกนิกชัดเจน
“อย่างเนื้อขนมปังคุณกัดเข้าไปจะรู้เลยว่านี่แหละเนยแท้ นมสด ไข่ไก่ รูป รส กลิ่น สี ที่ปราศจากสารกันเสีย และลดการใช้สารเคมีให้มากที่สุด ข้อนี้ทำให้เกิดลูกค้าประจำ บอกกันปากต่อปาก เป็นพื้นฐานที่ทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยที่ไม่ต้องเพิ่งงบการทำมาร์เก็ตติ้ง”

วาศิณียังเสริมว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าทุกชิ้นผลิตออกมามีคุณภาพเท่ากันคือ ‘ครัวกลาง’ ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของ White Story “ในตอนที่เราขยับขยายมาสักประมาณ 4-5 สาขา เราเริ่มรู้แล้วว่าเราจะทำให้ธุรกิจเราไปในทิศทางนี้ (อร่อยและดีต่อสุขภาพ) เราก็เลยเริ่มพัฒนาครัวกลางขึ้น เพื่อให้คุณภาพอาหารที่ออกมาได้คุณภาพเท่าๆ กัน และสามารถจัดการเรื่องของวัตถุดิบได้ง่าย”
ยกตัวอย่างเช่น มันหวานญี่ปุ่นที่ไม่มีสารกันเสียทำให้อยู่ได้แค่ 10 วัน ดังนั้นเพื่อคงความสดใหม่จะต้องสั่งมันหวานจากต่างประเทศให้ตรงกับ minimum order และต้องมีทีม QC ตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งออก ถือเป็นขั้นตอนการวางระบบภายในที่ทำให้ของมีคุณภาพในทุกๆ เช้า

พัฒนาความอร่อยตามเทรนด์ผู้บริโภค
ชิโอะปังเนื้อเด้ง, ขนมปังจุ่มสังขยา, ขนมปังธัญพืช 8 ชนิด, ข้าวผัดเนื้อปลาแซลมอน, ข้าวคลุกกะปิ และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งนี้คือความสนุกยามก้าวเข้าไปยังร้าน White Story ทุกสาขา กับการเลือกเมนูที่ถึงขั้นลิสต์เมนูครบ 3 มื้อ โดยไม่ซ้ำกันทั้ง 7 วัน ได้แบบสบายๆ
วาศิณีอธิบายให้เราฟังถึงเหตุผลที่มีเมนูหวานคาวให้เลือกสรรมากมายไม่ซ้ำ ซึ่งไม่ใช่การหว่านแหลุ้นผลลัพธ์ แต่เป็นการใช้ข้อมูลที่มีให้เกิดประโยชน์ ควบคู่กับการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคที่เธอเน้นย้ำว่าเป็นข้อสำคัญที่คนทำธุรกิจไม่ควรละเลย


“บางครั้งถ้าเรารู้สึกว่าอันนี้มันอร่อยนะ มันน่าจะมาได้แต่มันก็ไม่มา อาจเพราะมันไม่ได้ตอบโจทย์ หรือมันอาจจะพอขายได้ แต่ขายได้ในกลุ่มที่มัน niche มากๆ พอมัน niche มากๆ แต่เราขายของสดใหม่ มันทำให้เราไม่สามารถลดเรื่องของ food waste ในแต่ละวันได้ เราเองต้องใช้ข้อมูลจากหน้าร้านช่วยตัดสินใจ บางอย่างมันอาจจะเคยเป็นเทรนด์ที่ดีมาก่อน แต่ว่าคนไทยก็ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบอะไรใหม่ๆ”
“พอเทรนด์ของยุคนี้ที่ผู้คนนิยมก็ต้องเป็นชิโอะปัง เราก็ลองขายดู ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก แต่เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นชิโอะปังเหมือนคนอื่น ชิโอะปังของเราใช้เนยจากฝรั่งเศส หอมหวานละมุน แล้วเราเติบโตมากับการทำไดฟูกุ งั้นเราทำชิโอะปังไส้ไดฟูกุ หรือทำเป็นชิโอะปังที่คนทานง่าย เช่น ชิโอะปังงาสาหร่ายไส้เนยและหมูหย็อง และชิโอะปังดาร์กช็อกฯ”

PRICE & PROMOTION
ความอร่อยในราคาจับต้องได้โดยไม่ทิ้งคุณภาพไว้ข้างหลัง
เมื่อปักธงว่าจะขายสินค้าที่ทั้งพรีเมียมและอร่อย คำถามคือจะทำยังไงให้สินค้าพรีเมียมและอร่อยนี้เข้าถึงผู้คนในราคาจับต้องได้
นี่คือโจทย์ที่คนทำธุรกิจอาหารต้องหาจุด ‘สมดุล’ อยู่เสมอ วาศิณีเองยอมรับว่านี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่เธอต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกพอสมควร ก่อนลงเอยที่คำว่า ‘ปรับ’ ซึ่งปรับในที่นี้คือปรับคนละครึ่งทางกับลูกค้า ทั้งในแง่ของราคาและวัตถุดิบให้สอดคล้องกัน
หลักการในทีมที่วาศิณียึดถือคือการไม่มองที่ต้นทุนเป็นหลัก แต่เน้นทำขนมให้อร่อยก่อน แล้วค่อยคิดว่าต้นทุนขนมที่อร่อยต้องใส่อะไรบ้าง นั่นคือต้องทำรสชาติที่ตอบโจทย์ลูกค้า เช่น เนยต้องเป็นเนยแท้ แต่ในกรณีที่ต้นทุนแพงแบบสุดวิสัยจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าแบรนด์อาจไม่ได้ออกสินค้าตัวนั้น
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าสินค้าตัวนั้นจะถูกพับเก็บไป เพราะแบรนด์ยังมีทางเลือก 2 ทาง นั่นคือการปรับปริมาณสินค้าให้พอดีกับต้นทุน เช่น ถ้าโลฟขนมปังใหญ่มากแล้วอาจทำให้ราคาสูงก็ลองทำสักครึ่งโลฟเพื่อดูว่าปริมาณนี้ตอบโจทย์ทั้งเราและลูกค้าหรือไม่
อีกทางคือการบริหารการจัดซื้อภายใน เช่น เหตุการณ์ภาษีจากทางอเมริกา “ถ้าเราใช้ครีมชีสของอเมริกาอยู่ เราก็ต้องยอมถอยมาก้าวหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมลดคุณภาพครีมชีสหรือว่าไปใช้สารทดแทนตัวอื่น แต่เราลองไปหาครีมชีสจากประเทศอื่นที่คุณภาพใกล้เคียงกัน เช่นครีมชีสของนิวซีแลนด์หรือออสเตรเลีย เราต้องจัดการให้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้ของที่ดีแทบจะเทียบเท่าของเดิม

“ก่อนจะมาเป็นเจ้าของกิจการ เราก็ต้องเคยเป็นพนักงานกินเงินเดือนมาก่อน เรารู้ว่าเราอยากจะทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ทำไมเราต้องจ่ายแพงขนาดนั้น แล้วมันจะทานได้ทุกมื้อได้ยังไง ให้มันตอบโจทย์สังคมเมืองและสังคมไทยให้ได้” เธอมองว่านี่เป็นความท้าทายที่คนทำธุรกิจอาหารส่วนใหญ่ต้องพบเจอสักวัน เพียงแต่จะมีวิธีจัดการยังไงให้สินค้ามีคุณภาพคงเดิม
อีกเรื่องที่เกี่ยวพันกับราคาคือการทำโปรโมชั่นช่วงเย็นที่ถูกอกถูกใจคนทำงานและบรรดาพ่อบ้านแม่บ้าน วาศิณีย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพราะจุดประสงค์ด้านการตลาด แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ลองชิมโปรดักต์ในราคาที่คนซื้อได้และคนขายไม่เจ็บตัว โดยมีผลพลอยได้คือการลดขยะอาหารเป็นรางวัล
“ต้องบอกก่อนว่า White Story ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่มาเล่นราคาอะไรเลย คือเราใช้ราคาที่เหมาะสมอยู่แล้วในการขายของลูกค้า บางแง่มุมนักมาร์เก็ตติ้ง เขาบอกทำแบบนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวลูกค้าจะจำว่าซื้อสองอย่างร้อยเท่านั้นๆ แต่ความโชคดีก็คือลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจ บางคนจากไม่เคยทานก็มีโอกาสได้ลองซื้อทาน และเขาก็รู้ว่าทำไมต้องมีโปรโมชั่นช่วงเวลานี้ เพราะคนขายเขาไม่ได้เก็บค้างคืน วันถัดไปเขาได้ของใหม่ การทำแบบนี้มันมีข้อดีในตัวอยู่”

ตำนานประโยคฟีลกู๊ดเรียกแขกบนฉลากฝากล่อง
เค้กไข่หน้าย่นไม่ง้อโบท็อกซ์, ถึงจะล้มจนเลือดซิบมัฟฟินช็อกชิพจะเยียวยา, ข้าวกะเพราสเต็กแซลมอน ว่ายทวนน้ำจนเซ ใจโลเลไปหาเธอ ฯลฯ
อีกหนึ่งหมัดเด็ดที่ทำให้คนจดจำ White Story ได้คือบรรดา ‘ประโยคฟีลกู๊ด’ ที่ใครได้อ่านถ้าไม่เขินตัวบิดก็ต้องมียิ้มแก้มป่อง ต้องบอกว่านี่เป็นกลยุทธ์หยิกแกมหยอกที่กลายมาเป็นเครื่องมือเรียกแขกได้ในยุคที่แพลตฟอร์มโซเชียลฯ เพิ่งตั้งไข่ และกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์จวบจนปัจจุบัน
“ตอนที่เราเพิ่งมี Grab & Go แพลตฟอร์มโซเชียลฯ อย่างเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม เพิ่งเริ่มใช้งานกัน ซึ่งการจะโปรโมตโฆษณาในแต่ละแพลตฟอร์มเรายังไม่มี budget ก็เลยมานั่งคิดว่าแล้วเราจะสื่อสารยังไงว่าของเราดีนะ ถ้าเราบอกข้อดีนี้ลงไปในเฟซบุ๊ก ก็เกรงว่าจะขายของเกินไป ถ้าอย่างนั้น เรามาใส่ลงไปในสติ๊กเกอร์ดีไหม เป็นคําคมเล็กๆ

“เช่น สปาเกตตี้แซลมอน ว่ายทวนน้ำมาจากนอร์เวย์ เพื่อเป็นการบอกว่าที่เราใช้มาจากนอร์เวย์นะ แต่ทำไปสักพักมันกลายเป็นกระแสเฉย มีผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ลูกค้าพูดกันปากต่อปาก ประโยคนี้ฮาดีนะ แต่ก็จะมีลูกค้าบางคนที่เป็น customer needs ที่บอกว่า เอ้า! ทำไมเมนูนี้ไม่มีสติ๊กเกอร์ขำๆ แบบนี้เลย
“มันทำให้เรารู้ว่าสิ่งนี้สามารถกลายเป็นจุดเด่นของเราได้ ถ้างั้นเมนูในตอนนั้นที่มีอยู่ประมาณ 150 เมนู ทำไมเราไม่ทำให้ทุกเมนูมันมีสติ๊กเกอร์ คนจะได้เห็นคาแร็กเตอร์ของเมนูนี้ไปเลย เราก็เริ่มเปลี่ยนใหม่ จนปัจจุบันทุกเมนูที่ออกมาต้องมีคําคมสติ๊กเกอร์” วาศิณีเล่าด้วยรอยยิ้มฉาบใบหน้า

PLACE
ปริมาณสาขาที่เติบโตพร้อมกับคุณภาพของบุคลากร
92 สาขาคือจำนวน ณ ปัจจุบัน ที่ White Story ขยายหน้าบ้าน ส่วนมากมีหมุดหมายคือทำเลทองตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และตึก mixed-use ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ด้วยจำนวนที่ว่านี้ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจตามมาว่า แล้วจะทำยังไงให้การบริหารจัดการหลังบ้านทำงานสอดคล้องเป็นระบบ เสมือนสายระยางที่มีปลายทางเดียวกัน ซึ่งคำตอบที่ได้จากวาศิณีน่าสนใจไม่แพ้คำถาม นั่นคือการมีบุคลากรระดับหัวหน้าที่ทำหน้าที่ที่สำคัญแทนตนเองได้
“ตอนที่เราเริ่มขยายจำนวนสาขาถึงหลักสิบสาขา เราก็เริ่มรู้แล้วว่า ถ้าเราจะโตต่อ การบริหารจะต้องไม่เหมือนเดิม จะต้องมีความแตกต่าง ต้องเซตทีมงานหลังบ้านให้คล่องตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต สิ่งที่ทำเป็นอย่างแรกคือการขยายจำนวนคนในแต่ละแผนก รวมไปถึงระบบไอทีทั้ง POS (point of sale) และ ERP (enterprise resource planning) ที่จะช่วยดูเรื่องของ stock management

“ฉะนั้นการขยายต้องทำควบคู่ไปกับการวางรากฐาน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อน organization chart ในยุคที่เรามี budget ไม่มากพอ มันเริ่มจาก CEO แล้วลงมาเป็นระดับสตาฟเลย ทุกอย่างมันเลยต้องตัดสินใจจากเรา แต่เมื่อเรามีรายได้มากพอเราจึงมี ‘เฮด’ ที่เปรียบเสมือนมือซ้าย-ขวาของเรา โดยที่เรายังมอนิเตอร์ดูความเรียบร้อยไปด้วย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีหัวใจหลักคือองค์กรจะต้อง empower น้องในทีมให้เขาเกิดความมั่นใจในการทำงาน”
วิธีการเรียกความมั่นใจที่ว่านั้น วาศิณีบอกกับเราว่าสามารถสร้างได้จากการ ‘เชื่อใจ’ และเปิดโอกาสให้บุคลากรในทีมได้ลองผิดลองถูกเพื่อสั่งสมประสบการณ์
“เราต้องเริ่มจากการให้เขา learning by doing ได้ลองผิดลองถูก ‘fail fast, fail forward’ ถ้าผิดก็รีบแก้ไข คนเป็น CEO ต้องคอยสังเกตให้คำปรึกษาน้องๆ ได้ ชี้นำได้ แต่ไม่ก้าวก่ายจนเกินไป
“สมมติมีงานหนึ่งที่เราไปคอลแล็บกับใคร แล้วเฮดเรามั่นใจว่าไดเรกชั่นนี้ถูกต้อง แต่มันมีความเสี่ยงที่อาจเกิดผลกระทบกับยอด เราก็ต้องเคารพในสิ่งที่เฮดตัดสินใจ เพราะเราเชื่อว่าเขาน่าจะมีทางหนีทีไล่หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาด แต่ยังไงก็ต้องไม่ไว้ใจถึงขั้นที่ปล่อยได้ทุกอย่าง ถ้ามันเสี่ยงมากเกินไปก็ต้องเตือนกัน เรียกว่าเป็นการช่วยกันขัดเกลาประสบการณ์ไปพร้อมกัน” วาศิณีสรุปถึงค่านิยมวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้ White Story เติบโตอย่างมั่นคง


PURPOSE
เดินทางมาถึง P ตัวสุดท้าย วาศิณีนิยาม P ตัวนี้ว่า ‘purpose’ นั่นคือการมีจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจที่ชัดเจน เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วทุกสิ่งทุกอย่างถึงจะตามมาอย่างเป็นรูปธรรม
“P ที่เราว่าคนทำธุรกิจทุกคนควรมีคือ purpose ถ้ามีจุดมุ่งหมายชัดเจน เป้าหมายชัดเจน ทุกอย่างมันจะชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะ product, price, place หรือ position ถ้าถามว่า purpose ของแบรนด์เราคืออะไร คำตอบคือเราอยากให้ลูกค้ามีความสุข มีสุขภาพที่ดีในการรับประทาน ถ้าเขาแฮปปี้ แบรนด์เราก็อยู่ได้ การเป็นอยู่ส่วนตัวของผู้บริโภคก็ดีขึ้น ชุมชนดีขึ้น สังคมดีขึ้น แม้แต่สิ่งแวดล้อมก็สามารถดีขึ้นได้จากการที่เราพยายามลด food waste ลดการใช้พลาสติก”

วาศิณียังแชร์ lessons learned ที่น่าสนใจ 2 ข้อ ซึ่งตกผลึกทางความคิดมาจากการทำแบรนด์ White Story มาตลอด 19 ปี ให้เราฟัง
“ข้อแรกคือความอดทนเป็นเพื่อนสนิทของสติและปัญญา ยิ่งเราอยู่ในธุรกิจที่เป็น food business แล้วเป็น retail ด้วย การลงมือทำจึงเป็นรากฐานที่สำคัญมากที่ผู้บริหารหรือเจ้าของต้องลงลึกความสำคัญตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อนำไปสู่ปัจจุบันที่ดี
“ข้อที่สองคือเมื่อทำธุรกิจ เราจะต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าและมีเทรนด์ รวมถึงต้องระมัดระวังที่จะไม่เข้าไปทำสิ่งที่มีคุณค่าแต่ยังไม่มีความต้องการ
“ถามว่า White Story ทำสิ่งที่มีคุณค่าและมีเทรนด์ยังไง คำตอบคือเราอยากจะช่วยทำให้คนไทยได้ทานอาหารหรือขนมปังที่ดี ส่วนเรื่องของเทรนด์ก็คือการที่สินค้าของเราสามารถตอบโจทย์แก่ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ให้เขาได้ทานของสดใหม่ปราศจากสารเคมีในทุกๆ วัน เพราะมีทั้งสองข้อนี้ White Story เลยมาถึงตรงนี้ได้” วาศิณีกล่าวทิ้งท้ายด้วยความเชื่อมั่น