Safe-fu House
Safe-fu House Healing Space ที่ดีไซน์โต๊ะให้กลายเป็นสายน้ำผสานแนวคิดเซนจนเป็นไวรัล
โต๊ะทรงโค้งขนาดใหญ่ที่มีสวนสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมสายน้ำไหลผ่านไปกระทบหินและทราย ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ริมลำธารขนาดย่อม พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสงบ ในพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘Safe-fu House’
ภาพที่ว่ามักถูกแชร์ลงในโซเชียลมีเดียจนกลายเป็นไวรัล และถูกพูดถึงในฐานะ ‘คาเฟ่มัทฉะสเปเชียลตี้ ที่เสิร์ฟมัทฉะบนสายน้ำ’ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้ถูกคิดมาให้เป็นดั่งหลุมหลบภัยพักใจจากความวุ่นวายรอบตัวในคอนเซปต์ ‘healing space’ โดยใช้หลักการออกแบบที่ตอบโจทย์สัมผัสทั้ง 5 ผ่านสิ่งที่ตาเห็น รสชาติมัทฉะที่ได้สัมผัส กลิ่นมัทฉะอ่อนๆ เสียงของสายน้ำ และการได้สัมผัสพื้นทราย มาใช้ในการออกแบบ
อีกทั้งยังผสมผสานแนวคิดของญี่ปุ่น ทั้งวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ การเปิดร้านในบ้านของตัวเองแบบที่คนญี่ปุ่นชอบทำ การออกแบบสวนหินที่อิงแนวคิดมาจากนิกายเซน โดยจำลองธรรมชาติ หิน และทราย ทำให้สัมผัสถึงความสงบและเรียบง่าย
ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของ ป๋อมแป๋ม–แทนรัก อัศวเลิศลักษณ์ และ พีท–โกศล เอกวิริยะกิจ สอง Co-founder ของ Safe-fu House ที่เปลี่ยนความชอบทำกิจกรรมแนว mindfulness และ wellness รวมถึงการเวิร์กช็อปงานศิลปะ มาสร้างสเปซเพื่อฮีลใจผู้คน
จากความสนใจในโต๊ะตัวนั้น ดีไซน์ของร้าน และไอเดียการทำธุรกิจของป๋อมแป๋มและพีท ทำให้เราตีรถไปถึงฝั่งธนฯ วนเข้าไปในหมู่บ้านเพชรเกษม 3 ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนร้านจะเปิดเพื่อใช้เวลานี้สัมผัสถึงแนวคิดการทำ Safe-fu House ให้เป็นเซฟโซนของผู้คน พร้อมสัมผัสความรู้สึก peaceful ที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้

ในวันที่เริ่มก่อร่างสร้างหลุมหลบภัยและสถานที่ฮีลใจเป็นของตัวเอง
ภายในบ้านสีขาวที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนบ้านพักอาศัยทั่วไปหลังนี้ แรกเริ่มเดิมทีพีทได้หยิบความชอบเรื่องงานศิลปะและการทำเวิร์กช็อป มาต่อยอดเป็นสถานที่จัดเวิร์กช็อป ที่ต้องจองมาก่อนเท่านั้น
“เรามีตั้งแต่การทำศิลปะบนผิวน้ำที่ให้หยดสีลงบนผิวน้ำเจล แล้ววาดสร้างลวดลายตามที่ต้องการ ส่วนมากจะเป็นลวดลายหินอ่อน และนำผลิตภัณฑ์ที่เลือก เช่น หมวก แก้วมาจุ่มทำลวดลายที่วาด มีงานเรซิ่นที่นำภาพถ่ายจากโฟโต้บูทมาทำเป็นเคสโทรศัพท์และกริปต็อก”
พีทเล่าพร้อมพาเราเดินดูสถานที่ทำเวิร์กช็อปทั้งหมด ก่อนจะเดินทะลุไปถึงโซนที่มีโต๊ะยาวสีขาวสะดุดตา ภายในโต๊ะมีสายน้ำไหลผ่านและสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดย่อมรายล้อมอยู่ พร้อมตัวหนังสือสไตล์มินิมอลที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้เรามาถึง ‘Safe-fu House’ เป็นที่เรียบร้อย

“เราเห็นว่าคนที่มาทำเวิร์กช็อปเขารอนานกว่าสินค้าจะแห้ง เลยอยากสร้างพื้นที่ตรงนี้มาให้ลูกค้าได้จิบมัทฉะและพักผ่อน เพราะเราเป็นสายทำกิจกรรมแนว mindfulness (การฝึกสติเพื่อจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทำให้เกิดการยอมรับประสบการณ์ ความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่ตัดสินหรือควบคุม) และ wellness อยู่แล้ว ทำให้รู้ว่าหัวใจหลักของการทำกิจกรรมพวกนี้ คือความรู้สึก peaceful ความรู้สึกนิ่งสงบแล้วก็รู้สึกโล่งสบาย”
ป๋อมแป๋มเล่าให้เราฟังและเน้นย้ำว่าเธอไม่ได้เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเป็น ‘คาเฟ่’ แต่เธอมีความตั้งใจตั้งแต่ day 1 ว่าอยากให้เป็น ‘healing space’ ที่เหมือนทุกคนได้มาพักในหลุมหลบภัยหลีกหนีจากความวุ่นวาย มาอยู่ในสถานที่สงบ ผ่อนคลาย และช่วยฮีลใจทุกคนได้


healing space ที่ยึดหลักการของเซนและวิถีสโลว์ไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่น
“ชื่อร้านเริ่มมาจากคำว่า Safe House คือเราอยากเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย แล้วเราเอาคำว่า fu เข้ามาเป็นกิมมิกเล็กๆ ให้ดูเป็นญี่ปุ่น ซึ่งคำว่า fu มีความหมายแปลว่าลม ด้วยความที่ร้านเราตกแต่งธีมธรรมชาติ พอมีคำว่าลมเข้ามาก็เลยเชื่อมโยงกัน แม้แต่โลโก้ร้านก็เป็นคลื่นน้ำ ทำให้เห็นว่าทั้งชื่อร้านและโลโก้เราสื่อถึงความเป็นธรรมชาติหมดเลย” พีทกล่าว
ไม่เพียงแต่ชื่อร้านที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น หากสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในร้านก็ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย ป๋อมแป๋มเล่าถึงความตั้งใจให้ฟังว่าไม่ได้อยากให้พื้นที่แห่งนี้ดูเป็นญี่ปุ่นแบบต้นตำรับมากเกินไป เพราะเธอเคยเห็นหลายๆ ที่แต่งร้านในโทนนั้นแล้ว เธอจึงเลือกทำเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบประยุกต์ที่ดูทันสมัย มินิมอล และเข้าถึงง่าย
“เราชอบความเป็นญี่ปุ่น ด้วยวัฒนธรรมเขาที่มีความสโลว์ไลฟ์ ใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบและเรียบง่าย แม้แต่การเปิดร้านที่นั่นเรายังเห็นหลายธุรกิจในญี่ปุ่นเอาบ้านตัวเองมาทำเป็นร้าน พอลูกค้าไปทีไรก็เจอเจ้าของทุกที เป็นอะไรที่น่ารักและมีความ peaceful” พีทกล่าว

ก่อนที่ป๋อมแป๋มจะขยายความเพิ่มเติมว่า “อีกเหตุผลหลักๆ ที่เราใช้บ้านมาเปิดเป็นสถานที่จัดเวิร์กช็อปและทำ healing space ด้วยความที่โปรเจกต์นี้เป็นโปรเจกต์แรกของพวกเรา เลยรู้สึกว่ามันเซฟกว่าถ้าใช้บ้านมาเป็นโลเคชั่นทำร้าน เพื่อเป็นการทดลองตลาดก่อน แล้วถ้ามันเวิร์กยังไงก็คิดว่าจะมีสาขาอื่นตามมา”
นอกจากนี้ ส่วนของเวิร์กช็อปยังหยิบปรัชญาและสุนทรียภาพของญี่ปุ่นอย่างวาบิ-ซาบิ (wabi-sabi) ที่เน้นการยอมรับและชื่นชมความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติและกาลเวลา มาเล่นกับวัสดุที่คนรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์แล้ว อย่างเปลือกไข่และใบไม้ เพื่อมาทำเป็นงานศิลปะ
“ส่วนไอเดียการเสิร์ฟมัทฉะบนสายน้ำและมีแท่งเหล็กให้เขี่ยทรายเล่น ก็ต่อยอดมาจากเวิร์กช็อปเราที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะและเป็นงานคราฟต์ ก็เลยรู้สึกว่าการใช้อุปกรณ์เดียวกันกับที่ทำเวิร์กช็อป ให้คนได้ลองมาวาดทรายเล่นในช่วงที่จิบมัทฉะ เพื่อสัมผัสถึงความสงบจากศิลปะได้ตลอดเวลา และเข้าถึงความรู้สึกแบบเซน (Zen) ของญี่ปุ่น”

พีทเล่าให้เราฟัง แล้วชี้ให้ดูสวนหินคาเรซันซุย (Karesansui) ที่อยู่บนโต๊ะกลางร้านและถูกจัดวางอยู่ในหลายๆ มุมของร้าน ซึ่งเป็นสวนหินสไตล์ญี่ปุ่นที่อิงแนวคิดมาจากนิกายเซน โดยจำลองธรรมชาติ หิน และทราย ทำให้สัมผัสถึงความสงบและเรียบง่าย ตามปรัชญาของเซนที่สอนให้ฝึกสติและทำสมาธิ เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของจิตใจ ธรรมชาติ และโลก โดยไม่ยึดติดกับสิ่งใด
“คอนเซปต์นี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลย ถ้าวันไหนมีลูกค้ามานั่งเยอะๆ ทุกคนก็จะคุยกันไป แล้วใช้แท่งเหล็กนี้วาดบนทราย เขาไม่ได้วาดเป็นรูปด้วยนะ เหมือนขีดไปเรื่อยๆ แล้วมันเพลิน ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและนั่งพักที่นี่ได้นานแบบไม่ต้องรีบร้อน” ป๋อมแป๋มกล่าว
จากชอล์ก 1 แท่งสู่งานดีไซน์ที่อาจจะไม่เป๊ะแต่ใส่ใจทุกดีเทลแม้แต่น้ำแข็ง 1 ก้อน
“ทุกอย่างที่เห็นในร้านนี้เกิดจากชอล์กเพียง 1 แท่ง ที่เราเอาไปวาดแบบกับพื้น วาดบนผนัง วาดบนกระจก แล้วก็บอกช่างให้เจาะเข้าไปเลย เรา DIY กันสุดๆ เพราะเราเป็นสายอาร์ตทั้งคู่ด้วย ที่นี่เราไม่ได้ใช้อินทีเรียร์เลยไม่ได้ถูกต้องเป๊ะๆ ตามหลักการออกแบบ” ป๋อมแป๋มเล่าด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่พีทจะขยายความว่าการออกแบบร้านให้ยูนีกถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก Safe-fu House โดยพวกเขาไม่ได้รีเสิร์ชการออกแบบร้านมาก่อน เพราะกลัวว่าหากทำอย่างนั้นอาจปิดกั้นอิสระทางความคิดและทำให้ออกแบบร้านเหมือนกับคาเฟอื่นๆ


“ทุกวันนี้ลูกค้าให้ความสำคัญกับประสบการณ์ กว่าเขาจะได้ชิมได้ดื่ม ก็ต้องเห็นดีไซน์ร้านและสัมผัสบรรยากาศก่อน หลักการออกแบบของที่นี่จึงเล่นกับประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคน ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส การดีไซน์ทุกอย่างในร้านจึงสำคัญหมด
“ตั้งแต่ไฮไลต์อย่างโต๊ะตรงกลางร้าน พวกเขาอยากให้เป็นเหมือนลำธาร ที่มีต้นตอมาจากน้ำตก แล้วมีน้ำไหลเรื่อยๆ ไปกระทบทรายและหิน ได้ยินเสียงน้ำแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ รูปทรงของโต๊ะก็ทำเป็นทรงโค้งเพื่อทำให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวและผ่อนคลายเมื่อได้เห็น”

“ตอนที่ออกแบบโต๊ะตัวนี้เราคิดว่าถ้าร้านไม่มีคนก็ถือว่าเรามีโต๊ะสวยๆ ไว้นั่งกินข้าว“ ป๋อมแป๋มหัวเราะ ก่อนเล่าไอเดียต่อว่า “แล้วที่โต๊ะเป็นเหมือนบาร์ให้คนมานั่งด้วยกัน ต่างจากร้านอื่นๆ ที่ชอบทำเป็นโต๊ะเล็กๆ ให้ลูกค้านั่งแยกกัน เพราะคอนเซปต์ที่นี่คือเซฟเฮาส์ ดังนั้นเราเลยคิดว่าโต๊ะที่เราทำมันต้องไปเป็นอย่างอื่นได้
“เช่นในอนาคตอาจให้คนมาทำเวิร์กช็อปในน้ำ เพราะถึงแม้วันนี้คนจะจำ Safe-fu House ในฐานะคาเฟ่ แต่เราไม่ได้จำกัดพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแค่คาเฟ่ เราอยากให้มันเป็นสเปซที่คนเข้ามาแล้วได้เอ็นจอย ได้ผ่อนคลายจริงๆ”
พวกเขายังวางมู้ดบอร์ดเฟอร์นิเจอร์ไว้ตั้งแต่ต้นว่าต้องการคุมโทนสีประมาณไหน ถ้าเจอเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่ก็เลือกซื้อทันที แม้แต่เรื่องสีที่ใช้ ลายที่เพนต์บนผนัง และรูปทุกรูปที่วางในร้าน ทั้งคู่ก็วาดกันเองและเลือกทำให้เป็นไปตามมู้ดแอนด์โทนของร้าน


“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นจุดขายขนาดนั้น แต่กลายเป็นว่าลูกค้าชอบ คือเรื่องแก้วและน้ำแข็งที่เราใช้ ที่เราเลือกใช้แก้วแบบนี้ เพราะส่วนตัวเราคิดว่าเป็นแก้วใสแล้วมันสวยดี อีกอย่างคือขอบปากแก้วมันบาง ทำให้รู้สึกว่าลิ้มรสตัวชาได้ดีขึ้น
“ส่วนน้ำแข็งมาจากคอนเซปต์ว่าอยากให้ลูกค้านั่งสบายชิลๆ ก็เลยหาน้ำแข็งที่ละลายช้า ไม่ได้ต้องการให้เป็นน้ำแข็งเล็กๆ และละลายเร็ว ก็เลยมาจบที่น้ำแข็งทรงกลมก้อนใหญ่ ซึ่งตามหลักทรงกลมมีเนื้อโค้งเยอะ ทำให้คนรู้สึกสบายตาและผ่อนคลาย แต่ถ้าไปใช้น้ำแข็งเป็นสี่เหลี่ยมก็กลายเป็นว่ามีมุมแหลม ทำให้รู้สึกโดนโจมตีและรู้สึกอึดอัด กลายเป็นว่าลูกค้าชอบรีเควสต์ว่าขอแก้วกับน้ำแข็งแบบนี้นะ บางคนดื่มเครื่องดื่มหมดแล้วน้ำแข็งยังไม่ละลาย เขาก็ขอน้ำแข็งกลับบ้านด้วยก็มี” พีทเล่าแบบติดตลกให้เราฟัง แต่ก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจที่อยากให้ทุกดีเทลเป็นไปตามคอนเซปต์ร้านที่ตั้งไว้
บทเรียนสำคัญที่ทำให้บ้านหลังนี้เติบโต
ป๋อมแป๋มยอมรับว่าในช่วงที่เปิดร้านแรกๆ พวกเขาเจอปัญหาเยอะมาก เพราะไม่คิดว่าร้านจะแมสและมีคนมาเยอะขนาดนี้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่ได้เตรียมการจัดการร้านให้ดีพอ ทั้งเรื่องที่จอดรถ เพราะปกติเวลาลูกค้ามาเวิร์กช็อปจะขับรถไม่กี่คันและจอดหน้าร้านได้ แต่พอลูกค้ามาเยอะกว่าที่คาดไว้ จึงแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกค้าไปจอดบริเวณหมู่บ้าน ที่อนุญาตให้จอด แล้วใช้รถกอล์ฟรับ-ส่งมายังที่ร้านแทน
“เรื่องการทำเครื่องดื่มก็ยังไม่ลงตัวขนาดนั้น ก็มีปัญหา เช่น ทำนาน ทำผิดพลาด แก้วไม่พอ น้ำแข็งไม่พอ วิธีแก้ปัญหาของเราในช่วงนั้นอย่างเรื่องน้ำแข็งก็ต้องหาอันที่ดีที่สุดแล้วไวที่สุดในช่วงนั้นมาใช้ก่อน ส่วนเรื่องแก้วเราก็ต้องหามาวนให้ได้ หมายถึงว่าถ้าลูกค้าคนไหนดื่มหมดแล้วเราก็ต้องขออนุญาตเก็บก่อน” พีทเล่าเสริม

ช่วงแรกที่เปิดร้านป๋อมแป๋มถึงกลับทำคลิปลงในโซเชียลมีเดียของตัวเองว่าธีมหลักของพื้นที่แห่งนี้คือความสงบ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสงครามส่งด่วนซะอย่างนั้น และเล่าให้เราฟังว่ามีปัญหาให้ต้องจัดการเยอะไปหมด พนักงานไม่พออยู่ดีๆ พีทก็กลายเป็นเด็กเสิร์ฟ ป๋อมแป๋มก็ไปตีมัทฉะ คุณแม่ต้องมาช่วยล้างจาน แม้แต่เพื่อนๆ ที่มาแสดงความยินดีที่เปิดร้านใหม่ก็ต้องมาช่วยกันหมด
“บางปัญหาก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บางคนก็คาดหวังว่าเราเป็นร้านมัทฉะสเปเชียลตี้ แต่เราไม่ได้ตั้งให้ตัวเองเป็นมัทฉะสเปเชียลตี้ เราแค่ชอบดื่มมัทฉะ เลยเลือกเสิร์ฟเป็นมัทฉะก่อน แต่พอคนคาดหวังแบบนั้น เราก็ต้องพัฒนาสูตร เลือกใช้ผงมัทฉะเป็น ceremonial grade (มัทฉะคุณภาพสูงสุด ที่ใช้ในพิธีชงชาญี่ปุ่น) เป็นรสชาติที่เราและคนรอบตัวชอบ นำมาพัฒนาจนลูกค้าชมว่าอร่อยและรสชาติแตกต่างจากร้านอื่น” ป๋อมแป๋มกล่าว
ในอนาคตพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเสิร์ฟมัทฉะตลอดไป อาจจะเปลี่ยนเป็นเมนูเครื่องดื่มตามเทรนด์ในอนาคต พร้อมจัดกิจกรรมฮีลใจ เช่น มี sound healing ที่ใช้คลื่นเสียงบำบัด ไปพร้อมๆ กับการจิบมัทฉะไปในเวลาเดียวกัน
เพื่อเปลี่ยนภาพจำของ Safe-fu House ที่หลายคนคิดว่าเป็นเพียงคาเฟ่และร้านมัทฉะสเปเชียลตี้ ให้เป็น healing space ที่ฮีลใจผู้คนอย่างที่ป๋อมแป๋มและพีทตั้งใจไว้
