MITH Universe
เบื้องหลังจักรวาลน้ำหอมของ MITH แบรนด์น้ำหอมคนไทยที่ได้ร่วมงานกับ Perfumers ระดับโลก
“ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว วงการน้ำหอมไทยยังคงเงียบอยู่ แล้วก็มีแบรนด์ไทยเจ้าใหญ่อยู่ในตลาดแค่ไม่กี่เจ้า ซึ่งส่ิงที่ผมมองและคิดจะทำก็คือการเปิดธุรกิจน้ำหอมที่แตกต่าง”
จากความคิดนั้นคือจุดเริ่มต้นของ ‘MITH’ (มิตร) แบรนด์น้ำหอมคนไทยที่ก่อตั้งโดย พอ–จุติณัฏฐ์ ปิยวีรวงศ์ นักออกแบบ ผู้ซึ่งมีความหลงใหลในกลิ่นหอมอย่างเข้าเส้นจนลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง
ในช่วงแรกธุรกิจน้ำหอมของพอไม่ได้ชื่อ MITH และไม่ได้เป็นแบรนด์น้ำหอมที่มีช็อปอยู่ในห้างสรรพสินค้าอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ แต่เป็นเพียงร้านเล็กๆ ขายผลิตภัณฑ์เครื่องหอมที่เปิดตามล็อก ณ ตลาดนัดจตุจักรชื่อแบรนด์ว่า ‘Ban-Ama’ (บ้านอาม่า) โดยพอตั้งใจใช้สกิลนักออกแบบและความชื่นชอบในกลิ่นหอม ของบรรยากาศ รวมไปถึงความทรงจำในวัยเด็กที่ตนเองเคยอาศัยอยู่ในบ้านสไตล์จีนเก่าๆ ของอาม่ามารังสรรค์ให้กลายเป็นหน้าร้านแรกของเขา
จนวันหนึ่งที่แบรนด์ Ban-Ama เริ่มอยู่ตัวระดับหนึ่ง ความคิดที่อยากจะขยับขยายธุรกิจเครื่องหอมสู่ธุรกิจแบรนด์น้ำหอมจึงได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาบ้างเป็นครั้งเป็นคราว
พอบอกว่าการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขาเกิดขึ้นจากประโยคคำถามเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
“ซัพพลายเออร์ของผม เขาพูดประโยคนึงที่จุดประกายผมขึ้นมาว่า ‘รสนิยมการเลือกน้ำหอมของคุณมันดีมากนะ แล้วทำไมคุณไม่ทำให้แบรนด์ของคุณมันมุ่งไปทางน้ำหอมไปเลย’ คำตอบในหัวของผม ณ ตอนนั้นมีแค่คำว่า ‘เหรอ’ แต่คำว่า ‘เหรอ’ ของผมมันคือการที่ผมนำคำแนะนำนี้กลับมาคิด แล้วก็มาเริ่มศึกษา ลงลึกเกี่ยวกับน้ำหอมต่อเลย”
จากเชื้อความสนใจในธุรกิจน้ำหอมอยู่แล้ว แค่เพียงประโยคเดียวจากคนใกล้ตัวก็สามารถผลักดันให้พอมุ่งไปสู่การศึกษาเรื่องน้ำหอมอย่างลงลึก ไม่ว่าจะเป็นการลงเรียนคอร์สระยะสั้นในประเทศไทย หรือการบินไปยังประเทศอังกฤษเพื่อลงคอร์ส ณ บ้านปรุงน้ำหอมแห่งหนึ่ง
แม้จะศึกษาอย่างจริงจังแต่พอกลับบอกกับเราด้วยความสัตย์จริงว่าเขายังไม่สามารถเรียกตัวเองว่านักปรุงน้ำหอม หรือไม่แม้แต่จะปรุงน้ำหอมเองได้ด้วยซ้ำ
“จริงๆ ตรงนั้นมันไม่ได้เรียกกว่าการเรียนหรอกนะ เดี๋ยวจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าผมไปลงคอร์สระยะสั้นๆ แล้วบอกว่าตัวเองเป็นนักปรุงน้ำหอม (perfumer) แล้วผมเองก็จะไม่เคลมตัวเองด้วย สิ่งที่ผมไปเรียนเดือนนึงมันยังห่างไกล เหมือนคุณเรียนหมอมันต้องใช้เวลาเรียนตั้ง 6 ปี คล้ายๆ กับการปรุงน้ำหอมเหมือนกัน เพราะ perfumer ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ปีในบ้านปรุงน้ำหอม (fragrance house) และต้องใช้เวลาอีก 5 ปีกับการประจำสำนักงานใหญ่ในประเทศต่างๆ
“ในคอร์สระยะสั้นผมได้เรียนรู้แค่เรื่องเบสิกๆ อาจจะแตะถึงเรื่องของโครงสร้างบ้าง แต่แน่นอนว่ายังไม่ได้ลงลึกถึงแก่นหลักของน้ำหอมเลย เอาจริงๆ ผมก็แค่เรียนในส่วนของวัตถุดิบเบื้องต้น ซึ่งระยะเวลาเท่านี้ก็ยังไม่พอที่จะเรียนรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ”
หลังกระบวนการศึกษาหาความรู้ แบรนด์ MITH ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยชื่อมาจากคำย่อของประโยคอย่าง ‘Made In Thailand’ ที่แปลว่าผลิตในประเทศไทย ซึ่งเมื่อรวบตัวย่อเข้าด้วยกันแล้ว ยังสามารถออกเสียง ชวนเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘มิตร’ ที่มีความหมายดีๆ อย่าง ‘เพื่อน’ ได้อีกด้วย
ปัจจุบัน MITH มีทั้งหมด 4 สาขาใน 3 โลเคชั่นหลัก ได้แก่ ชั้น 2 โซน B กับชั้น 3 โซน E ณ เซ็นทรัลเวิลด์, ชั้น G ของเซ็นทรัลลาดพร้าว และสาขานิมมานซอย 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในขณะเดียวกันนั้น จักรวาลน้ำหอมของพอก็ยังประกอบไปด้วยอีก 2 แบรนด์น้ำหอมในโพซิชั่นที่แตกต่างกันอย่าง ‘PROAD’ (โปรด) แบรนด์น้ำหอม niche กับคอนเซปต์ของกลิ่นหอมที่มาจากความคิดและความทรงจำของพอเอง และ ‘PRANN’ (ปราณ) แบรนด์น้ำหอมลักชูรี่น้องใหม่ที่จะต้องบริหารไปพร้อมๆ กันอีกด้วย
ในวันที่เรานัดเจอกับพอที่บ้านของเขา แบรนด์ MITH ไม่ได้นับว่าเป็นแบรนด์น้ำหอมโลคอลอีกต่อไป แต่ถือเป็นหนึ่งในจักรวาลน้ำหอมไทยที่ใครๆ ต่างก็เลือกใช้และรู้จักในระดับสากลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว MITH เป็นแบรนด์น้ำหอมไทยที่ได้ร่วมงานกับบรรดา perfumer ระดับโลก
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ MITH ยังสามารถเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมที่ครองใจใครหลายๆ คนมาจนถึงขวบปีที่ 8 นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป เราขอชวนคุณไปสำรวจวิธีคิดของจักรวาลน้ำหอม MITH สู่เส้นทางของการเป็นแบรนด์น้ำหอมไทยที่ได้ร่วมงานกับบรรดา perfumer ระดับโลกกัน
อะไรทำให้คุณเริ่มเข้าสู่วงการน้ำหอมอย่างเต็มตัว
ผมเริ่มเข้าสู่น้ำหอมที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เครื่องน้ำหอมจากการฉีดน้ำหอมในชีวิตประจำวัน จริงๆ ผมมีความเชื่อว่าการที่ใครสักคนจะมีความชอบอะไรบางอย่าง มันก็ต้องมาจากการใช้งานจริงก่อน แล้วพอผมใช้งานจริงแล้ว มันก็ยังทำให้ผมมีความรู้สึกว่าน้ำหอมสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเครื่องหอม เพราะผมมองว่ามนุษย์ทุกคน ตัวอย่างเช่นจาก 100 คน ผมคิดว่ามีเครื่องหอมอยู่ที่บ้านเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าคนที่มีน้ำหอม เพราะคนส่วนใหญ่ในโลกเขาเลือกใช้น้ำหอมกันเป็นเฟอร์นิเจอร์ เป็นแอ็กเซสเซอรีในการแต่งกายอยู่แล้ว ฉะนั้นผมก็เลยมองว่ากลุ่มตลาดมันใหญ่กว่า
น้ำหอมแบรนด์ไหนที่มีอิทธิพลต่อการเริ่มทำธุรกิจของคุณ
น้ำหอมที่สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจของผมเนี่ย ในทีแรกก็ต้องมองเป็นพวกดีไซเนอร์แบรนด์ก่อน เพราะหนึ่ง ราคาถูก ซื้อได้ง่ายมีตามห้าง ตามเคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วไป ใช้ง่าย ใช้ทุกวันก็ย่อมได้
ในตอนนั้นผมก็จะชอบกลิ่น London ของ Burberry และกลิ่นหอมง่ายๆ จากแบรนด์ดังๆ อย่าง CK, DKNY แล้วก็น้ำหอมแบรนด์ GIVENCHY ผมเองเริ่มต้นจากตรงนี้ และผมก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะเริ่มต้นใช้จากดีไซเนอร์แบรนด์ก่อน เหมือนเก็บเกี่ยวประสบการณ์การใช้งานและกลิ่นกันไปก่อนจากการใช้งานจริง
ถึงจุดไหนที่รู้สึกว่าควรทำแบรนด์น้ำหอม MITH
ตอนนั้นผมเปิดแบรนด์ชื่อ Ban-Ama ได้ประมาณ 6 เดือน หรืออาจจะไม่ถึงด้วย แล้วผมก็มีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป จากที่ผมอยากจะเปิดเล่นๆ กลายมาเป็นความจริงจังได้ ซึ่งพอผมเริ่มจริงจังกับมัน ผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะ ‘Ban-Ama’ ผมตั้งเพื่อสนองความต้องการในการเปิดช็อปเครื่องหอมของตัวเอง ซึ่งชื่อและการตกแต่งร้านมันก็จะมาจากบ้านอาม่าที่ผมเคยอยู่สมัยเด็กๆ ทีนี้ ผมก็แอบคิดว่าคอนเซปต์หรือชื่อร้าน ‘Ban-Ama’ กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มก็อาจจะไม่เก็ต แล้วก็อาจจะต้องมีการแปลความหมาย หรือใช้เวลาในการทำความเข้าใจอีก ที่สำคัญในช่วงนั้น ผมเองก็เริ่มมองว่าน้ำหอมมันสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเครื่องหอมด้วย เพราะฉะนั้นความคิดในการรีแบรนด์และการเปลี่ยนโปรดักต์ที่เน้นไปทางน้ำหอมมันถึงได้เกิดขึ้นมา
ย้อนกลับไปในวันแรก คอนเซปต์ของ MITH คืออะไร
คอนเซปต์ของ MITH ตั้งแต่เริ่มแรกเรียกได้ว่าไม่มี เพราะมันยังไม่มีอะไรที่ตายตัวสำหรับผมเลย อย่างความชอบของผมมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์และความรู้ของผมในช่วงเวลานั้นๆ แม้แต่ brand identity ของผมใน day 1 ก็ยังไม่มี แต่สิ่งที่ผมทำเพื่อแก้ปัญหา ณ ตอนนั้น ก็คือการศึกษา ศึกษาว่าผมควรจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางไหน ผมจะนำพาแบรนด์ของผมไปทางไหนต่อ สร้างตัวตนแบรนด์ยังไง
ด้วยคอนเซปต์ที่ไม่มั่นคง คุณวางแผนการทำงานยังไง
MITH ณ ตอนแรกเริ่มต้นจากผมคนเดียวเลย แล้วผมก็เริ่มต้นด้วยเงินทุนอันน้อยนิดของผม ไม่ได้มีการกู้เงินมาทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นใน day 1 รวมไปถึงในช่วงแรกของการก่อตั้งแบรนด์ ผมทำเองคนเดียวหมดทุกอย่าง ตั้งแต่กรอกน้ำหอมเอง บรรจุเอง เดินไปเลือกผ้าที่จะเอามาผลิตเป็นถุงของแบรนด์เอง ไปดีลซัพพลายเออร์เอง ทั้งยังออกไปขายน้ำหอมเองด้วย เพราะฉะนั้น ข้อดีของการทำงานคนเดียวคือผมได้รู้จักจิ๊กซอว์ทุกตัวในองค์กรเล็กๆ ของผมหรือองค์กรที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในช่วงแรกของ MITH คุณปรุงน้ำหอมเองใช่ไหม
ใช่ ในคอลเลกชั่นน้ำหอมไลน์แรกเนี่ยผมเป็นคนทำเอง ก็มีผสมเองบ้าง ซึ่งผมเองก็ยังถือว่ามีความรู้ในเรื่องของการปรุงน้ำหอมน้อย กลิ่นมันก็เลยออกมาตามความสามารถของคนปรุง (หัวเราะ)
ไลน์น้ำหอม MITH ในวันแรก มันเริ่มต้นมาจากกลิ่นน้ำหอมที่ชื่อว่า ‘One Fine Day’ เป็นน้ำหอมกลิ่นง่ายๆ กลิ่นหนึ่งที่มันผสม ‘accord’ ไม่ซับซ้อน หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการผสมผสานของโน้ตกลิ่นต่างๆ ไม่ค่อยเยอะ
ซึ่งถ้าให้พูดย้อนกลับไปในไลน์แรกของ MITH เนี่ย จริงๆ ผมเปิดตัวคอลเลกชั่นน้ำหอมไปทั้งหมด 8 ตัวเลยนะ แต่ 7 ตัวเนี่ย ผมเลิกผลิตมันไปหมดแล้ว (หัวเราะ) เหลือก็เพียงกลิ่น One Fine Day กลิ่นเดียวที่ผมยังผลิตและวางขายอยู่ในทุกวันนี้
ทำไมถึงเลือกที่จะเลิกผลิตตัวอื่นๆ แล้วเก็บกลิ่น One Fine Day เอาไว้
สำหรับผมเอง ผมก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นมันก็ยังไม่ดีพอ มันก็เลยเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ผมจำเป็นจะต้อง discontinued 7 ใน 8 กลิ่นที่ว่า
ส่วนกลิ่น One Fine Day มันเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างฮีลใจผม เพราะตอนที่ผมเริ่มทำธุรกิจเป็นครั้งแรก มันยากอะเนอะ ยากมาก ยากถึงขนาดที่ว่า ผมกลับบ้านแบบท้อๆ เหนื่อยๆ ในทุกๆ วันเลย เพราะด้วยความไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้อะไรมากมายในการทำธุรกิจ มันจึงทำให้ผมอยากทำน้ำหอมกลิ่นนึงขึ้นมา เป็นน้ำหอมกลิ่นที่ทำให้ผมรู้สึกมีความหวังในพรุ่งนี้ต่อในทุกๆ ครั้งที่ได้กลับบ้านมาดมมาฉีด ถือเป็นกลิ่นที่ทำให้ทุกวันของผมเป็นวันที่ดีและเป็นกลิ่นที่คอยย้ำเตือนถึงจุดกำเนิดแบรนด์ MITH อีกด้วย
เพราะฉะนั้น กลิ่นของน้ำหอม One Fine Day จะเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างสะอาด ปลอดโปร่ง และสามารถทำให้ผมสงบจากวันที่ผมรู้สึกว้าวุ่นใจจากอะไรหลายๆ อย่างได้ เจ้าตัวน้ำหอมนี้มันก็เลยยังอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าใครที่ได้ดม หรือใช้ยังไงก็ต้องเก็ตแน่นอน แล้วมันก็เป็นกลิ่นที่ขายดีมาตลอดจริงๆ
ภายหลังการผลิตน้ำหอมไลน์แรก MITH มีการพัฒนาน้ำหอมไลน์ต่อไปยังไง
ผมก็ต้องเริ่มหานักปรุงน้ำหอมที่เก่งพอที่จะมาปรุงน้ำหอมให้กับ MITH ผมก็เลยได้ fragrance house ที่มีชื่อเสียงระดับนึงจากประเทศอังกฤษมาปรุงกลิ่นให้กับแบรนด์ ระหว่างนั้นเอง ผมก็ได้รู้จักกับ perfumer หน้าใหม่อีกสองท่าน สองท่านนี้เขาก็มาช่วยปรับปรุงโครงสร้างน้ำหอมของ MITH ให้ใหม่เลย ส่วนหน้าที่ของผมในคราวนี้ ก็จะเน้นไปที่การกำหนดทิศทางกลิ่นที่ผมอยากได้ ส่งไปให้กับพวกเขา หรือก็คือการบรีฟงานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นหลังจากคอลเลกชั่นแรกถูก discontinued ไปแล้ว น้ำหอมคอลเลกชั่นต่อๆ มาก็ได้ถูกยกระดับขึ้นจากการร่วมงานกับ professional ทางด้านน้ำหอม ช่วยทำให้น้ำหอมของ MITH มีความเป็นน้ำหอมมากขึ้นกว่าเดิมด้วย (หัวเราะ)
เมื่อกลิ่นของน้ำหอมถูกปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม คอนเซปต์ของ MITH นิ่งขึ้นไหม
ณ ตอนนั้นมันก็อาจจะนิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้นิ่งขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่เอาเป็นว่าผมเองก็ใช้ระยะเวลาอยู่หลายปีกว่าคอนเซปต์ของ MITH จะนิ่ง จริงๆ แล้วในวันที่คอนเซปต์ของแบรนด์นิ่ง มันก็ทำให้ตัวผมคิดได้ว่า มันก็เป็นเรื่องของการวางโพซิชั่นแบรนด์มากกว่าด้วย
อย่าง MITH เนี่ยผมก็ต้องการให้แบรนด์ของผมกลายเป็นเพื่อนที่เฟรนด์ลี่ เข้าถึงง่ายกับทุกๆ คน ในกรอบหลักอันนี้ มันก็นำพาให้ผมคิดคอนเซปต์ในแง่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น อย่างแนวคิดในการบริหารหน้าร้าน การริเริ่มเปิดรับพนักงานและทีมงานมากขึ้นตามการเติบโตขององค์กร ที่สำคัญภายใต้กรอบที่เป็นมิตร ผมใส่ใจกับการบริการของพนักงานหน้าช็อปมากๆ เพราะจะต้องทำให้ลูกค้าทุกคนประทับใจ แม้จะกลับออกจากหน้าร้านแล้วก็ตาม
แต่ทุกๆ อย่าง ผมไม่อยากให้แบรนด์ MITH มันดูหรูหรา จนทำให้ลูกค้าไม่กล้าที่จะเข้ามา เหมือนกับตัวโปรดักต์ของ MITH เอง ก็ต้องเป็นกลิ่นที่เข้าถึงง่าย กลิ่นที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าจะลูกค้าซื้อไปใช้เอง หรือคนรอบข้างที่จะต้องได้กลิ่น อันนี้ก็ต้องเป็นมิตรด้วย ตลอดจนราคาเองก็ต้องเป็นมิตร ลูกค้ารับได้ น้ำหอมขวดนึงจะต้องราคาไม่เกิน 2,000 บาท
หลังจากกำหนดคอนเซปต์ได้แล้ว คุณมีการจัดการระบบหลังบ้านยังไง
ถ้าพูดถึงในระยะเวลาไม่กี่ปีนี้ โปรดักต์น้ำหอมของผมเองก็เริ่มอยู่ตัวแล้ว แบรนดิ้งของผมก็นิ่งแล้ว น้ำหอมของผมมันขายตัวมันเองได้ เพราะฉะนั้นการรับสมัครพนักงานของผม ผมบอกเสมอว่าผมรับพวกคุณมา ไม่ใช่เพื่อจะมาขายของอย่างเดียว แต่ผมรับสมัครคุณมาช่วยเซอร์วิสลูกค้าผม คุณจะเป็นฝ่ายบริการลูกค้า ไม่ใช่พนักงงานขายของ สินค้าจะขายได้ไม่ได้ให้ลูกค้าเป็นตัดสินใจ ส่วนหน้าที่ของคุณคือการมอบข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหอมแต่ละตัวให้กับลูกค้าแค่นั้นเองส่วนเรื่องซื้อไม่ซื้อเป็นเรื่องของลูกค้า คนที่เขาชอบเขาก็จะซื้อ ถ้าสินค้าของ MITH ดีพอสำหรับเขา เขาก็จะซื้อ ถ้าวันนี้เขายังไม่ชอบก็จะยังไม่ซื้อ
แต่ส่ิงที่ผมยืนยันได้จากการเทรนพนักงานของผมเลยคือ เมื่อไหร่ที่คุณเลือกมาหา MITH เนี่ย คุณจะได้รับประสบการณ์ที่มากกว่าการได้เพียงแค่น้ำหอม เพราะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับสตาฟของแบรนด์ด้วย
จากการทำงานคนเดียวสู่การทำงานเป็นทีม ยากขึ้นมั้ย
จากที่วันนึงมีผมแค่คนเดียว กลายมาเป็นมีทีมงานกว่า 10 คน 60 คน แล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ ความยากในการบริหารคนหรือระบบหลังบ้านเองก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวผมก็คิดว่าผมเองก็เป็นเจ้านายที่ดุและมีความเฉียบขาดคนหนึ่ง สิ่งนี้มันเลยทำให้ MITH เป็น MITH ทำให้ MITH เหมือนกับตัวตนของผมไปด้วย และในทุกๆ โปรดักต์ของแบรนด์ก็มีความเฉียบขาดที่แฝงอยู่ด้วย ผมขายความจริงใจ ผมไม่เคยและจะไม่โกหกผู้บริโภค โดยความจริงใจนี้แหละก็อยู่ในแนวทางการบริหาร MITH ของผมด้วย
จุดไหนที่ทำให้คุณตัดสินใจริเริ่มร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมระดับโลก
การได้ร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมระดับโลกถือเป็นความใฝ่ฝันของผมที่มีมานานแล้ว เพราะว่าในช่วงที่ผมเป็นแค่คนที่ชื่นชอบการใช้น้ำหอมในชีวิตประจำวันเนี่ย ผมเองก็มีแบรนด์โปรดของผมแบรนด์นึงชื่อแบรนด์ ‘Frederic Malle’ เป็นแบรนด์น้ำหอม niche ซึ่ง Frederic Malle เนี่ย เขาเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งในโลก แล้วก็เป็นบุคคลที่อยู่ในวงการน้ำหอม เพราะฉะนั้นในแบรนด์น้ำหอมแบรนด์นี้ Frederic Malle เขาก็นั่งดำรงตำแหน่งเป็นไดเรกเตอร์ ก่อนท่ีเขาจะไปเชิญ perfumer ที่เก่งที่สุดในโลกมาทำงานให้กับแบรนด์และรังสรรค์น้ำหอมให้กับเขา
ผมก็มองมาตลอด จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วหรือในปี 2022 ที่ผมมีความรู้สึกว่าไหนๆ MITH ครบรอบ 6 ปีแล้ว ผมเองก็อยากทำอะไรพิเศษๆ ขึ้นมา ประจวบกับในช่วงเวลาเดียวกันตัวผมก็มีความชื่นชอบน้ำหอมตัวนึงของแบรนด์นึงอยู่ด้วย เป็นน้ำหอมที่ปรุงโดยนักปรุงน้ำหอมระดับมาสเตอร์ (master perfumer) อย่าง ‘Nathalie Lorson’ ที่เขาทำงานให้กับหนึ่งในบริษัทบิ๊กโฟร์ของวงการน้ำหอมหรือบริษัท Firmenich
ณ ตอนนั้น ผมก็คิดว่ายากแล้ว (หัวเราะ) เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เวลาเขาจะผลิตหรือปรุงอะไร ทุกอย่างก็จะถูกนับว่าเป็นธุรกิจหมด ซึ่งมันก็ต่างจากการที่ MITH เคยไปดีลเหล่า perfumer หน้าใหม่จากบ้านน้ำหอมในสมัยก่อนเลย แต่ผมเองก็ตัดสินใจที่จะลองติดต่อไป จนในท้ายที่สุดก็ได้รับการตอบรับ
กระบวนการทำงานกับ perfumer คนแรกเป็นยังไงบ้าง
ในบรีฟตัวน้ำหอมฉลองครบรอบของแบรนด์ MITH เนี่ย ผมก็บอกทาง Firmenich ไปว่าผมต้องการกลิ่นที่เรียบง่ายตามสไตล์ ตามตัวตนของ Nathalie Lorson แล้วก็อยากให้กลิ่นมันสื่อถึงการเฉลิมฉลอง ความสว่างไสว
เมื่อทางบริษัทได้รับบรีฟแล้ว เขาก็จะใช้ระยะเวลาประมาณนึงก่อนจะเริ่มทำการส่งกลิ่นน้ำหอมที่ถูกปรุงโดยนาตาลี ลอร์สัน กลับมาให้ผมเลือกทั้งหมด 8 กลิ่นด้วยกัน แต่เชื่อไหมว่า 8 กลิ่นนี้เนี่ยเป็นกลิ่นที่ตัวผมเองตีตกหมดเลย (หัวเราะ)
แล้วความผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน
เมื่อเริ่มฟีดแบ็กกลับไป ทางบริษัทกับผมก็เริ่มที่จะมานั่งพูดคุยเพื่อถกหาถึงปัจจัยที่ทำให้กลิ่นออกมาไม่ตรงบรีฟ ก็คุยกันยาวเลย ยาวจนไปถึงในเรื่องของราคาต้นทุน จุดนี้แหละที่ทำให้ผมอ๋อ เพราะทางบริษัทเขาก็เลือกที่ปรุงน้ำหอมแบบประหยัดต้นทุนกลับมาให้ผม อาจจะเพราะด้วยความหวังดี MITH ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่อะไร แล้วมันก็อาจจะเป็นเพราะพวกผมไม่เคยพูดถึงเรื่องต้นทุนกันมาก่อนด้วย
แต่ ณ วันนั้น วันที่ผมเปิดแบรนด์มา 6 ปีแล้ว ในเรื่องของวัตถุดิบเนี่ยผมก็ดีลกับซัพพลายเออร์เอง เลือกเองมาตลอด ต้นทุนวัตถุดิบที่ผมดีลมันก็สูงมาเสมอ เพราะฉะนั้นผมก็เลยเลือกที่จะบอกกับทาง Firmenich ไปตรงๆ ว่า ‘MITH มีต้นทุนในวัตถุดิบและการปรุงน้ำหอมไม่อั้น พวกคุณไปทำมาใหม่ ใส่มาได้เลย ไม่ต้องห่วงว่ามันจะแพง MITH มีปัญญาซื้อ แล้วไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปขายต่อได้ยังไง เดี๋ยวผมจัดการเอง’ (หัวเราะ)
ในเมื่อคีย์เวิร์ดของผมคือ ‘ใส่ไม่ยั้ง’ คราวนี้ล็อตใหม่ ดมแล้วมันก็ใส่ไม่ยั้งจริงๆ (หัวเราะ) เพราะ ณ ตอนที่ผมได้กลับมาพร้อมราคามันก็แพงมาก แต่คุณภาพของกลิ่นน้ำหอมมันก็ดีมากเช่นกัน ซึ่งผมก็โอเคแล้วล่ะที่นำมาวางขาย จึงเกิดเป็นเจ้าน้ำหอมอย่าง ‘Sliver Sparkle’ กลิ่นครบรอบ 6 ปีของแบรนด์ MITH กลิ่นที่ยังคงขายดีมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อการร่วมงานกันครั้งแรกแรกผ่านไป perfumer คนต่อๆ ไปดีลง่ายขึ้นมั้ย
พอผมได้ร่วมงานกับนาตาลี ลอร์สัน ไปแล้วปุ๊บ ก็จะมีนักปรุงน้ำหอมอีกหลายท่านจากทาง Firmenich ที่ทางบริษัทเขาเริ่มส่งมาให้ร่วมงานกับ MITH ทีนี้มันก็กลายเป็นเรื่องธุรกิจที่ผมจะต้องไปดีลนักปรุงน้ำหอมจากหลากหลายบริษัทอื่นๆ อย่างอีก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Givaudan, IFF (International Flavors & Fragrances) และ Symrise
แต่การที่ผมร่วมงานกับ Firmenich มาแล้วเนี่ย มันถือเป็นประตูสำคัญสำหรับ MITH เพราะชื่อของแบรนด์ผม น้ำหอมของ MITH ถือเป็นที่รู้จักของบริษัทน้ำหอมเหล่านี้แล้ว มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเวลาที่ผมอยากจะร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมบริษัทอื่นๆ บ้าง เพราะบริษัทเหล่านี้เขาก็ยอมกันไม่ได้ (หัวเราะ)
แล้วการร่วมงานกับ perfumer คนไหนที่คุณประทับใจมากที่สุด
ผมเองก็ประทับใจในการร่วมงานกับทุกๆ ท่านเลยนะ แต่ถ้าต้องพูดถึงนักปรุงน้ำหอมที่ MITH เคยร่วมงานแล้วผมชอบจริงๆ หรือเรียกว่าประทับใจในการร่วมงานกับเขา คือ ‘Quentin Bisch’
เควนติน บิสช์ เนี่ย เขาอาจจะยังไม่ถึงขั้นว่าเป็น master perfumer หรอกนะ แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในนักปรุงน้ำหอมดาวรุ่งในวงการน้ำหอมระดับโลกเลย แล้วก็งานยุ่งสุดๆ เลยเหมือนกัน เพราะว่าหลายๆ แบรนด์น้ำหอมต้องการตัวเขาให้ไปร่วมงานด้วยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์น้ำหอมอย่าง Kenzo, Narciso หรือแม้กระทั่ง Jean Paul Gaultier เองก็ดี
ส่วน MITH ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับเควนติน บิสช์ ตั้งแต่ในช่วงปี 2022 กับน้ำหอมกลิ่น ‘Woody Musk’ และ ‘Rose of Male Planet’ ก่อนในปี 2023 จะเป็นกลิ่นที่ชื่อ ‘Florida Orange’ แล้วสำหรับในปีนี้เอง ผมก็รีเควสต์ไปว่าอยากร่วมงานกับเขาอีก พร้อมกับบรีฟคอนเซปต์ไปเช่นเคย
ทำไมคุณถึงประทับใจในการร่วมงานกับ perfumer คนนี้
ถ้าถามถึงเหตุผลว่าทำไม เชื่อไหมว่าในทุกครั้งที่ผมรีเควสต์อะไรไป งานที่คุณเควนติน บิสช์ ส่งกลับมาให้ผมเสมอเนี่ย ไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นงานแบบลวกๆ เลย และเมื่อเทียบกันกับนักปรุงนำ้หอมท่านอื่นๆ ที่เขาจะส่งกลิ่นมาให้ผมแค่เพียง 3-4 กลิ่นเป็นอย่างมาก คุณเควนตินเนี่ยส่งกลับมาให้ผมเลือกเป็น 10 กลิ่นเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) จนผมต้องกลับไปถามทางบริษัทใหญ่เลยว่า ‘นี่เขาว่างเหรอ’ (หัวเราะ)
แล้วทางบริษัทเขาก็ตอบกลับมาประมาณว่าเวลาคุณเควนตินเขาทำงานให้ใครเนี่ยเขาเต็มที่เสมอ และเขารับผิดชอบผลงานของเขาแบบโปรเจกต์ต่อโปรเจกต์เลย
จุดนี้แหละที่ทำให้ผมประทับใจในตัวเขา เพราะไม่ว่า MITH จะเป็นแบรนด์เล็กแค่ไหนในสายตาของใคร นักปรุงน้ำหอมท่านนี้เขาก็ยังทำงานให้ผมอย่างจริงจัง
อะไรคือบทเรียนสำคัญที่คุณได้รับจากการร่วมงานกับบริษัทระดับโลก
บทเรียนที่สำคัญที่ผมได้รับจากการร่วมงานกับนักปรุงน้ำหอมหลายๆ ท่านที่เขาต่างก็อยู่ในสังกัดระดับโลก คือการที่ผมจะต้องสร้างแบรนด์เล็กๆ อย่าง MITH ให้มีความน่าเชื่อถือ นี่คือจุดแรกก่อนการไปติดต่อหรือดีลธุรกิจร่วมกับคนอื่นๆ
จุดที่สองคือหลังจากผมนำความน่าเชื่อถือและจริงจังของแบรนด์ไปถึงฝันแล้ว การบรีฟงานอย่างโปรเฟสชันนอลก็ถือว่าสำคัญ เพราะผมต้องการนักปรุงน้ำหอมที่มีความเชี่ยวชาญด้านน้ำหอมระดับโลกมาร่วมงานถูกต้องไหม ฉะนั้นการคุยงานกันผมก็ต้องคิดและคุยอย่างเชี่ยวชาญด้วยเหมือนกัน
และในจุดที่สามคือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน ที่รวมไปถึงการสื่อสารและแนวทางการปรับเข้าหากับสไตล์การทำงานที่ไม่เหมือนกันของทั้ง MITH และบริษัทภายใต้สังกัดของนักปรุงน้ำหอมคนที่ผมต้องการจะดีล
คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ MITH ยังยืนระยะมาได้ถึงขวบปีที่ 8
มันก็เป็นเพราะว่า MITH ไม่ตามตลาด ถ้าตลาดช่วงนี้อะไรกำลังมา อะไรกำลังเป็นเทรนด์ MITH ไม่ทำ แต่ MITH จะเป็นผู้นำตลาด จะเป็นผู้นำเทรนด์ หรือจะต้องเป็นแบรนด์น้ำหอมที่สร้างเทรนด์ขึ้นมาเอง
อย่างตัวผม กำหนดเลยว่าปีนี้ MITH ต้องการปล่อยน้ำหอมออกมาในเทรนด์แบบไหน แล้วผมเองก็แทบจะไม่ได้สนใจเลยว่าในปีนี้ลูกค้าโดยส่วนใหญ่เขาใช้น้ำหอมเทรนด์ไหน กลิ่นไหนกันยังไง แต่ผมกลับมองว่าผมต้องการให้ผู้บริโภคเข้าใจในสิ่งที่ MITH สร้างออกมาและติดตามกันต่อไป
แล้วคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ MITH ควรพัฒนาอีก
ก็ทั้งในเรื่องของคุณภาพและจุดอ่อนของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแพ็กเกจจิ้งที่ส่วนตัวผมเองไม่ได้เพิ่มต้นทุนในการผลิตเพียงเพราะการอัพเปลือกนอกของน้ำหอมให้มันสวย เพราะท้ายที่สุดราคาที่เพิ่มมากขึ้นมันก็จะไปตกเป็นภาระของผู้บริโภค หรือในเรื่องของการพัฒนากลิ่น ที่แม้ว่า MITH จะเคยร่วมงานกับใครมาแล้วก็ตาม แต่ถ้ามันเป็นกลิ่นที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ถึงจุดนี้ผมก็คงต้อง discontinued บางกลิ่นกันไปบ้าง แล้วเสาะหากลิ่นใหม่ๆ เข้ามาแทน ถือเป็นความท้าทายที่ต้องเรียนรู้และพัฒนากันต่อไป
คุณคิดว่าวงการน้ำหอมในปัจจุบันคึกคักขึ้นบ้างไหม
ผมเชื่อว่า MITH ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการกระเตื้องให้วงการน้ำหอมในไทยคึกคักขึ้น เพราะในช่วงก่อนที่ผมจะทำแบรนด์ MITH เนี่ยก็ยังไม่ค่อยมีใครภูมิใจกับการบอกว่าตัวเองใช้น้ำหอมไทยสักเท่าไหร่นะ หรือถ้ามีก็คงจะน้อยมาก เพราะกลุ่มคนส่วนใหญ่ก็จะคิดว่าการใช้น้ำหอมไทยเท่ากับการไม่มีรสนิยมและมีเงินไม่ถึง เทียบกับการที่เมื่อมีคนมาถามคุณว่าใช้น้ำหอมอะไร แล้วคุณตอบไปว่า Tom Ford หรือ Diptyque มันก็จะดูมีรสนิยมกับมีสตางค์เนอะ
แต่เอาเข้าจริงๆ MITH แทบจะไม่ทำการตลาดแบบฮาร์ดเซลล์กันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่แบรนด์สามารถเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ หลักๆ เป็นเพราะการบอกต่อแบบปากต่อปากของลูกค้า แล้วผมก็เชื่อว่า ณ ปัจจุบัน ลูกค้าทุกคนของ MITH ก็กล้าพูดเลยว่าเขาใช้น้ำหอมของ MITH
นี่เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไม MITH ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาน้ำหอมเลยสักวัน เพราะผมไม่อยากให้ผู้บริโภคกลับไปรู้สึกว่าน้ำหอมไทยสู้น้ำหอมต่างประเทศไม่ได้เหมือนในช่วง 8 ปีก่อนอีกต่อไปแล้ว อยากให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นน้ำหอมใหม่ๆ กับความรู้สึกสงสัยว่า ‘MITH ยังไปต่อได้อีกเหรอ’ หรือ ‘เล่นใหญ่แล้ว ก็ยังใหญ่ได้อีกเหรอ’ มากกว่า ผมเองก็อยากให้แบรนด์น้ำหอมไทยทุกๆ แบรนด์ผลักดันโปรดักต์ไปในทิศทางเดียวกันด้วยนะ แล้วสุดท้ายตลาดน้ำหอมไทยก็จะโตขึ้นเอง
ประสบการณ์และความรู้ของผู้บริโภคแตกต่างจาก 8 ปีที่แล้วยังไงบ้าง
โห ผู้บริโภคมีความรู้เยอะขึ้นกันมาก ผมกล้าบอกเลยว่าผู้บริโภคเก่งขึ้น เผลอๆ เขาเก่งกว่าคนทำแบรนด์น้ำหอมบางคนซะด้วยซ้ำ ลูกค้าบางคนเองก็เก่งกว่าผมนะ นักรีวิวน้ำหอมบางคนก็เก่งมากด้วย (หัวเราะ)
ส่วนตัวผม ผมคิดว่าความโชคดีของผู้บริโภคสมัยนี้คือการที่พวกเขามีสื่อที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ไม่ว่าใครที่สนใจก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่แบรนด์จะต้องให้ความสำคัญด้วยเลยคือเรื่องของข้อมูล ถ้าแบรนด์ให้ข้อมูลอย่างไม่ตรงไปตรงมา ผมบอกเลยว่าผู้บริโภคเขาก็ไม่ได้โง่นะ (หัวเราะ)
มีอะไรอยากแนะนำให้กับเหล่าผู้บริโภคหน้าใหม่ที่สนใจอยากเข้าสู่วงการน้ำหอมมั้ย
จริงๆ ผมไม่มีอะไรอยากแนะนำเลย (หัวเราะ) ขอแค่ให้คุณเริ่มจากการไปลองดมกลิ่นดูก่อน เพราะการเลือกซื้อน้ำหอมเนี่ยมันเป็นอะไรที่ไม่ได้ยากเย็นเลยด้วยซ้ำ และเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกว่าอยากลองดมกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ไหนคุณก็แค่หาโอกาสไปลอง เหมือนการเดินเข้าร้านอาหารหรือการไปลองเครื่องสำอางที่เคาน์เตอร์ หากรู้สึกชอบก็ซื้อ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ แล้วก็เปลี่ยนไปลองแบรนด์อื่นๆ ต่อ
เพราะแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปแค่คุณเปิดใจ เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ไปทดลองดมกลิ่นดู แค่นั้นก็พอ แล้วถ้าคุณได้การบริหารที่ไม่ดีกลับมา ก็ขอแค่อย่าเพิ่งเอาความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไปตัดสินใจว่าแบรนด์น้ำหอมอื่นๆ จะเป็นเช่นเดียวกัน ก็ต้องเปิดใจให้แบรนด์อื่นๆ ให้เขาได้ให้บริการที่ดีให้กับคุณด้วย
สุดท้าย วิธีการฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องคือแบบไหน
วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องคือ ‘ไม่มีเลย’ มันไม่สามารถบอกได้เลย เพราะมันเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล
อย่างผมเอง เวลาผมเทรนพนักงาน ผมจะไม่ให้พนักงานของผมบอกลูกค้าว่าต้องฉีดน้ำหอมบริเวณไหน บริเวณนี้หรือเปล่า ไม่มี ไม่มีการบอกว่าฉีดน้ำหอมที่เสื้อผ้าแล้วจะติดทนนาน ‘ไม่จริง’ เพราะมันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่สามารถกำหนดความคงทนของน้ำหอม อย่างการฉีดน้ำหอมบนเสื้อผ้าเนี่ยก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของผ้าที่จะสามารถดูดซับกลิ่นน้ำหอมได้อีก การกระจายตัวของน้ำหอมในเนื้อผ้าแต่ละชนิดก็แตกต่างกันอีก ผ้าบางชนิดก็สามารถขับอุณหภูมิร่างกาย ทั้งยังสามารถทำให้น้ำหอมมันระเหยเร็ว มันมีปัจจัยเยอะมาก
เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าฉีดที่ผิว ฉีดที่ผ้าแล้วจะสามารถดึงประสิทธิภาพของน้ำหอมได้ดีที่สุด อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวนะสำหรับผม เพราะคนที่ใช้น้ำหอมไม่ทน ต่อให้ฉีดที่ไหนก็ไม่ทนแหละ