591
September 29, 2025

‘เศรษฐกิจที่ดีต้องโตคู่ความยั่งยืน’ สรุปจาก MFLF Sustainability Forum 2025 

การพัฒนาเศรษฐกิจกับความยั่งยืนดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่สวนทางกันมาโดยตลอด จริงหรือไม่? ในวันนี้ภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) กำลังสั่นคลอนสมดุลของโลก เศรษฐกิจมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาถูกมองว่า ‘โตแต่ตัน’ เติบโตทางตัวเลขแต่กลับสะดุดในหลายมิติ ขณะที่บางประเทศ ‘ดีแต่ขาด’ มีแนวทางที่ยั่งยืนแต่ยังไม่อาจตอบโจทย์การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกได้

ท่ามกลางความเปราะบางของโลก ประเทศเล็กๆ อย่างไทยก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เมื่อโลกของเรามีใบเดียว และสภาพสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิส่งผลกระทบเชื่อมโยงกันทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพียงเล็กน้อยของประเทศใดประเทศหนึ่งอาจสะเทือนไปทั้งระบบ

เพื่อหาคำตอบและทางออกที่เป็นรูปธรรม งาน MFLF Sustainability Forum 2025 จึงถูกจัดขึ้นโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้แนวคิด ‘วิกฤตโลก ทางออกไทย’ (Global Challenges, Local Solutions at Scale) เวทีนี้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ระดมความคิด เปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มองทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลกไปพร้อมกัน

มองการพัฒนาเศรษฐกิจกับความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน

คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า หลายสิ่งที่คนเราเคยคิดว่าเป็น ‘ของตาย’ อย่างสิ่งแวดล้อม อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ความยั่งยืนจึงเป็นโจทย์ที่ต้องผลักดันอย่างต่อเนื่องในระยะยาว คำถามสำคัญคือ เราจะทำยังไงให้มองภาพอนาคตได้ชัดเจน แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างอิมแพกต์ในระยะสั้นได้ด้วย นี่คือชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่ยังหายไป

ที่ผ่านมา การพัฒนาทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนมักถูกมองแยกขาดจากกัน สิ่งสำคัญคือภาคนโยบายต้องทำให้สองเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเดียวกันให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้น แม้ GDP จะเติบโต แต่ก็ต้องย้อนกลับมาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากทุนนิยมอยู่ดี เรื่องนี้ควรกลายเป็น national agenda หรือวาระแห่งชาติ ขณะที่ภาคธุรกิจเองก็ควรตระหนักว่าการเติบโตต่อไปคือการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการหากำไร ในขณะที่ฝั่งประชาชน การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเล็กๆ ในทุกวันก็เป็นแรงกระเพื่อมสำคัญเช่นกัน

แต่การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้เอง (by default) แต่ต้องอาศัยแรงผลักดันและการออกแบบร่วมกันอย่างสามัคคี ภาคเกษตรจึงเป็นหนึ่งในทางออกสำคัญของประเทศ เพราะสามารถพัฒนาได้ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้เข้าใจ ใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะตอบโจทย์การกระจายประโยชน์กลับสู่ชุมชนอีกทอด 

ความหลากหลายทางชีวภาพเปรียบเหมือนตัวต่อ Jenga

ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อธิบายว่า ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศเปรียบเสมือนเกมตัวต่อไม้ Jenga (เกมตึกถล่ม) หลายครั้งเราอาจคิดว่าอยากให้สิ่งมีชีวิตบางชนิดหายไป เช่น ยุง หรือแม้แต่ตัวเงินตัวทองในสวนลุมพินี แต่ความจริงคือ หากสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งสายพันธุ์สูญสิ้นไป ก็อาจทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดล่มสลายลงมาได้เหมือนทาวเวอร์ตัวต่อไม้ที่ล่มลงมา ดังนั้นหากความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นต้นทุนทางธรรมชาติลดลง ธรรมชาติก็จะไม่สามารถฟื้นตัวและเติบโตได้อีก

หลายคนอาจไม่รู้ว่าผลไม้ที่เราคุ้นเคยอย่างสับปะรด กำลังเผชิญวิกฤต ทุกวันนี้บริษัทสับปะรดกระป๋องหลายแห่งต้องปิดกิจการ เนื่องจากผลผลิตไม่สามารถคาดการณ์ได้ ต้นทุนการผลิตไม่แน่นอน และวัตถุดิบไม่เพียงพอ ซึ่งในอนาคตปัญหาอาจไม่ได้กระทบแค่สับปะรด แต่ลามไปถึงวัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ ที่เป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน
ดร.สุภัชญายังเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเองว่า ขณะไปทานอาหารที่เชียงแสน ริมแม่น้ำโขง ร้านอาหารมีสองตัวเลือกคือเมนูปลานิล และปลาจากแม่น้ำโขง ในวันนั้นตัดสินใจเลือกทานปลานิลเพราะกังวลเรื่องสารปนเปื้อนในน้ำโขง สำหรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเพียงครั้งคราวอย่างเธออาจเป็นเพียงมื้อเดียว แต่สำหรับชาวบ้านริมแม่น้ำ การคำนึงถึงอาหารและน้ำที่ต้องใช้อุปโภคบริโภคทุกวันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทุกๆ วัน

ผลกระทบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจรอบลุ่มแม่น้ำเฉพาะแม่น้ำกกได้รับความเสียหายหลักห้าร้อยล้านบาทต่อปี และหากนับรวมภาคการท่องเที่ยวและการประมง มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึงหลักพันล้านบาทต่อปี ไม่เพียงแค่ผลผลิตการเกษตรที่ตกต่ำ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมาก หากไม่เริ่มแก้ไขตั้งแต่วันนี้ ค่าใช้จ่ายที่ตามมาอาจสูงเกินกว่าที่สังคมจะรับไหว

7 ประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน

ภายในงานเสวนายังมีตัวแทนจากอีกหลายภาคส่วนที่มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ภาคการเงินจากธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งพัฒนาด้าน climate finance, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ที่ผลักดันกลไกคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย, โครงการ UNDP Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN) ที่สนับสนุนเงินทุนด้านสิ่งแวดล้อม, บริษัท PwC ประเทศไทยที่ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตลอดจนตัวแทนเครือข่ายป่าชุมชนจากพะเยาและเชียงใหม่ ที่บริหารจัดการพื้นที่ป่าของตนเองอย่างยั่งยืน 

จากการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้สามารถ สรุป 7 ประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนควรตระหนักและร่วมมือกันในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนดังนี้

  1. BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ : ทุกภาคส่วนควรทำงานลงลึกกว่าเดิม ด้วยการไม่มองเพียงมิติสิ่งแวดล้อม แต่ครอบคลุมถึงความผาสุกโดยรวม รวมถึงเรื่อง well-being และธรรมชาติ
  2. คว้าโอกาสจากปัญหา : เตรียมความพร้อมการลงทุนด้าน nature credit เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน
  3. พิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง : โครงการคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ แสดงให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน
  4. มองระยะยาวแบบข้ามรุ่น : ความยั่งยืนไม่ใช่เพียง 10-15 ปี แต่ต้องมองไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ 
  5. กติกาใหม่เพื่อการพัฒนา : หากฎเกณฑ์ใหม่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนาที่ควรเป็นของชุมชน
  6. ภาคการเกษตรคือหัวใจ : เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ภาคการเกษตรสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง
  7. ต้นทุนของการทำและไม่ทำ : ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึง cost of action และ cost of inaction ว่าการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตยังไง

สำหรับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มีพันธกิจระยะยาวคือการยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน ในงานนี้จึงมีอีกหนึ่งวาระสำคัญคือพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ ‘คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ’ ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ 

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในวันนี้เกินกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ถึง 4 เท่า สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานหนักและความร่วมมือของชุมชน และการให้ความสำคัญของการอนุรักษ์และการป้องกันป่าไม้ที่จะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน  

You Might Also Like