มิจลักนักข่าว
เมื่อแก๊งคอลเซนเตอร์ อ้างกรมที่ดินหลอกดูดเงินผู้ประกาศข่าวช่อง 3 กว่า 1 ล้านบาท
การปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงของแก๊งคอลเซนเตอร์เพื่อดูดเงินออกจากบัญชีเหยื่อ สร้างความเสียหายมหาศาล นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 จนถึงปัจจุบันมีผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความจากกรมที่ดินปลอมรวมกว่า 3,000 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท เพราะแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกอย่างแนบเนียนด้วยการปลอมตัวเป็นหน่วยงานรัฐ และคนที่เป็นเหยื่อก็มีหลายสาขาอาชีพ
กรณีล่าสุดที่สังคมให้ความตระหนักถึงความแนบเนียนของแก๊งคอลเซนเตอร์คือ กรณีของประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ก็ตกเป็นผู้เสียหายเช่นกัน
โดยมิจฉาชีพเข้ามาในรูปแบบของเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ติดต่อเข้ามาเพื่ออัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องเสียภาษีที่ดินพอดี และประจวบเหมาะกับที่ตัวผู้เสียหายเองก็ไม่มีเวลาไปจัดการเรื่องดังกล่าว จึงต้องการอัพเดตออนไลน์ ปรากฏว่าผู้เสียหายถูกหลอกให้ติดตั้งแอพฯ
และถูกดูดเงินจากบัญชีรวมกว่า 1 ล้านบาท
มิจฉาชีพสามารถบอกข้อมูลได้หมด
“วันนึงเราได้รับสายโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่กรมที่ดินที่โทรมาบอกให้เราอัพเดตข้อมูลเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งตอนนั้นพี่อยู่บ้านและอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์พอดี เลยถามกลับไปว่าสามารถอัพเดตในคอมพ์ได้ไหม อีกฝั่งก็บอกว่าไม่ได้ ต้องทำผ่านแอพฯ เท่านั้น จึงให้เราแอดไลน์เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่และโหลดแอพฯ ผ่านลิงก์ที่ส่งให้ หลังจากตรวจมาแล้วเราก็เช็กว่าภาพในแอพฯ กับเว็บไซต์กรมที่ดินตรงกัน หน้าตาเหมือนกัน และข้อมูลที่ปลายสายบอกก็ตรงกับที่ดินของเราจริงๆ
“จากนั้นปลายสายบอกให้เราตั้งรหัสด้วยเลขที่จำง่ายๆ ในบางช่วงก็มี process ที่เราต้องสแกนใบหน้าเพื่อยันตัวตน และยืนว่าเราเป็นเจ้าของที่ดินนั้นจริงๆ ซึ่งในระหว่างติดตั้งแอพฯ เราก็คุยกับมิจฉาชีพไปด้วย
“จุดที่ทำให้เราเชื่อมากๆ คือ เขาถามว่าเรามีโฉนดอยู่กับตัวหรือเปล่า แล้วให้เช็กเลขในโฉนดว่าถูกต้องตรงกันไหม ซึ่งข้อมูลที่เขามีก็ตรงกับเรา สุดท้ายเราก็คุยกับมิจฉาชีพประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างการพูดคุยเราไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ เพราะต้องรอให้ทุกอย่างติดตั้งเสร็จก่อน จริงๆ แล้วมิจฉาชีพจะใช้เวลานี้ในการเข้าถึงแอพฯ ธนาคารทั้งหมด”
ที่น่าตกใจคือ มิจฉาชีพสามารถบอกข้อมูลได้หมดไม่ว่าเป็นเลขโฉนดที่ดิน หน้าระวาง หน้าสำรวจ เลขที่ดิน รวมถึงเนื้อที่ของที่ดินทั้งหมด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจมาจากแอพฯ LandsMaps ของกรมที่ดิน ที่เปิดให้ประชาชนดาวน์โหลดแอพฯ เพื่อตรวจสอบตำแหน่ง ภาพแปลนที่ดิน โดยระบุเลขที่โฉนดไว้ชัดเจน ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดโดยง่าย
และในเวลาเดียวกันผู้เสียหายได้ขอชื่อ-นามสกุลเจ้าหน้าที่ และค้นหาในอินเทอร์เน็ตพบว่ามีตัวตนจริง เป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในจังหวัดภูเก็ต แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพกลุ่มนี้ ทั้งนี้เมื่อดาวน์โหลดแอพฯ กรมที่ดินปลอมจะเข้าควบคุมโทรศัพท์ทันที จากนั้นจะมีข้อความว่า “ระหว่างทำการตรวจสอบห้ามใช้งานโทรศัพท์มือถือ” ในระหว่างนั้นมิจฉาชีพจะดูดเงินผู้เสียหายจนหมดบัญชี
เราอาจตกเป็นเหยื่อได้โดยที่เราก็รู้เล่ห์เหลี่ยมมิจฉาชีพ
“หลังจากคุยประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบวางสายทันที และพบว่าแอพฯ ธนาคารทั้งหมดในเครื่องเด้งออกมาอยู่นอกโฟลเดอร์ที่เก็บไว้ เมื่อเช็กยอดเงินในแต่ละธนาคารพบว่ามิจฉาชีพดูดเงินออกไปแล้ว เมื่อดูไทม์ไลน์ของการถอนเงินพบว่าตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่คุยเงินก็ถูกดูดไปแล้ว 1 ธนาคาร และ 10 นาทีต่อมาก็อีกหนึ่งธนาคาร ในกรณีของพี่จะมีด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นวงเงินบัตรเครดิตที่ผูกกับบัญชีธนาคาร และส่วนที่เป็นเงินฝาก มิจฉาชีพจะถอนเงินจากบัตรเครดิตและนำเงินไปฝากเข้าบัญชีเรา และถอนออกมาทั้งหมด พี่เจอแบบนี้ 2 ธนาคาร ทำให้ความเสียหายค่อนข้างเยอะ”
สำหรับความเสียหายทั้งหมดแบ่งเป็นธนาคารกรุงไทย 155,000 บาท, ธนาคารไทยพาณิชย์ มีการเบิกเงินสดจากบัตรเครดิต ยอด 49,999 บาท 4 ครั้ง รวมประมาณ 200,000 บาท และธนาคารกสิกรไทย เบิกเงินสดจากบัตรเครดิตออกมาทั้งหมด 625,000 บาท รวมถึงมีถอนเงินฝากอีก 50,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,020,000 บาท
“หลังเกิดเรื่องทั้งหมดยอมรับเลยว่าช็อกจริงๆ ตัวเราเองที่อ่านข่าว รายงานข่าวเรื่องของมิจฉาชีพ คอลเซนเตอร์มาตลอด เราก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อจริงๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามิจฉาชีพมีวิธีการที่แยบยล ตอนนั้นเราไม่มีสติ หรือไม่เอ๊ะมากพอจนทำให้เราเชื่อ”
ความเสียหายเกิดขึ้นในลักษณะนี้ ทำให้เราตระหนักได้ว่าการปรับตัวของแก๊งคอลเซนเตอร์กลายเป็นภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัว เราอาจตกเป็นเหยื่อได้โดยที่เราก็รู้เล่ห์เหลี่ยมมิจฉาชีพมาไม่น้อย หากมองอย่างคนทั่วไป การได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่รัฐที่สามารถบอกข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินของเราได้อย่างชัดเจนและถูกต้องทั้งหมด ก็คงคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินตามที่กล่าวอ้างมาจริงๆ
จากการติดตามของตำรวจ เคสของประวีณมัยถือเป็นเคสที่มีมูลค่าความเสียหายสูง ทางตำรวจจึงมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เป็นผู้ดูแลคดี ตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ก็มีการอัพเดตความคืบหน้ากันอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้จับบัญชีม้าที่อยู่นอกประเทศได้ 6 คน ซึ่ง 5 ใน 6 คนรับสารภาพว่าก่อเหตุจริงในรูปแบบของการเปิดบัญชีม้าเพื่อหลอกลวง ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
คำแนะนำสำหรับผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อ
จากประสบการณ์สูญเงินครั้งนั้นทำให้ประวีณมัยเรียนรู้บทเรียนครั้งสำคัญและเดินสายให้ความรู้ แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการรับมือกับมิจฉาชีพ ไปจนถึงขั้นตอนการแจ้งความและการคุยกับตำรวจ
และต่อไปนี้คือคำแนะนำเบื้องต้นที่เธออยากแบ่งปัน–ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับมิจฉาชีพรูปแบบใด
“อย่างแรกเลยคือ ต้องเอ๊ะไว้ก่อน เพราะมิจฉาชีพมีหลายรูปแบบ และเข้ามาอย่างแยบยล ทว่า สิ่งสำคัญคือการตั้งรหัส เพราะคนส่วนใหญ่จะใช้รหัสเดียวกันในทุกแอพฯ เพื่อความสะดวก และเลขชุดนี้มิจฉาชีพก็นำรหัสไปใช้กับแอพฯ อื่นๆ ได้ทันที
หรือในกรณีที่โดนหลอกแล้ว พยายามมีสติแล้วโทรหาธนาคารเพื่ออายัดบัญชีปลายทาง และนำ Case ID ไปแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป ผู้เสียหายสามารถปรึกษาธนาคารได้ว่ามีมาตรการเยียวยาหรือช่วยเหลือยังไง”
สำหรับเหตุการณ์นี้ คนที่อยู่กับข่าวตลอดเวลา ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกหลอก ปัจจุบันมิจฉาชีพมีหลายรูปแบบ และมิจฉาชีพที่มาในคราบของเจ้าหน้าที่รัฐมีจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกรมที่ดินที่ปรากฏเป็นระยะๆ โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ผู้คนต้องชำระภาษีที่ดิน อาคารชุด หรือการยืนยันเจ้าของกรรมสิทธิ์ หากคุณได้รับสายจากกรมที่ดิน ให้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้เลยว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน เพราะทางกรมที่ดินไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรหาประชาชน
หากคุณเจอมิจฉาชีพหลอกดูดเงิน ขอให้โทรแจ้งคอลเซนเตอร์กรมที่ดิน โทร. 02-141-5555 หรือแจ้งที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โทร. 1441