Golden Time
ออม ‘ทอง’ ยังไงให้รุ่ง ในยุคที่โลกผันผวนแทบทุกวัน? จาก Your Wealth Architect
นอกจากอาบน้ำ แปรงฟัน หรือส่งลูกไปโรงเรียน เชื่อว่ากิจวัตรยามเช้าของมนุษย์วัยทำงานตอนนี้คือการเช็กราคา ‘ทองคำ’ ที่ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่าที่ขึ้นสุดลงสุดราวกับนั่งรถไฟเหาะ นั่นทำให้เหล่ากูรูคอยเชียร์อัพให้ช้อนทองเข้าพอร์ตลงทุนในกระเป๋าทุกวี่วัน
อาจกล่าวได้ว่าทองกลายเป็น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (safe haven) ที่หลายคนจับจ้องรองลงมาจากเงินสด และเพลย์เซฟในการลงทุนมากกว่าการซื้อหุ้น, คริปโตฯ หรือแม้กระทั่งอสังหาฯ โดยเฉพาะในบ้านเราที่กำลังเผชิญกับวิกฤตการซื้อหดตัว นั่นจึงเป็นที่มาของความเชื่อว่าซื้อทองเก็บไว้เฉยๆ ก็คุ้มค่า เพราะไม่ว่าจะยุคไหนสุดท้ายทองก็มีค่าในตัวของมันเองเสมอ
คำถามคือในยุคที่เงินเฟ้อจนต้องเหลียวมองทอง เราจะออมทองยังไงให้รุ่ง เราควรรู้อะไรอีกบ้างเกี่ยวกับธรรมชาติของสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งเราได้สรุปมาจากการฟังเซสชั่นหัวข้อ ‘Gold 2.5: In Gold We Trust Again ลงทุนในโลกหลังความวุ่นวาย เมื่อคนไม่ไว้ใจเงิน แต่กลับมาไว้ใจทอง’ โดย ‘แอนนาเบล คชนันท์’ สถาปนิกการเงินเจ้าของเพจ Annabel – You Wealth Architect และ Private Banker ประจำกรุงเจนนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นน่าสนใจจากงาน Work Life Festival 2025 Make Rich Stage
[1. ทองขึ้นทุกครั้งเมื่อโลกไม่แน่ใจ]
“ทองโตด้วยความกลัวของมนุษย์ไม่ใช่ด้วยความหวัง” คือประโยคแรกที่แอนนาเบลชวนให้คิดตาม
หนึ่งในปัจจัยแรกที่คนคิดจะลงทุนออมทองต้องรู้คือทองเป็นสินทรัพย์ที่ราคาขึ้นทุกครั้งเมื่อทั่วโลกเกิดความ ‘กลัว’ ยกตัวอย่างช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ไปจนถึงสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน เมื่อแรงกดดันถาโถมใส่โลกจนนำพาไปสู่วิกฤต ‘macro uncertainty’ หรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาค ดังเช่นภาวะเงินเฟ้อเช่นที่เป็นอยู่
นักลงทุนทั่วโลกจึงหันมาจับจ้องทองอีกครั้ง เพราะเป็นทรัพย์สินที่การันตีมูลค่าตัวมันเองได้ เมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจหรือกลัวต่อสถานการณ์โลกที่เป็นอยู่ การมีทองในพอร์ตโฟลิโออาจช่วยทำให้อุ่นใจมากขึ้น เหมือนกับที่เศรษฐีทั่วโลกนิยมเก็บทองไว้ในธนาคารส่วนตัว (private bank) 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ
[2. ถ้าทองตกพร้อมหุ้นอย่าเพิ่งตกใจ]
“ทองมักมีมูลค่าสูงตรงกันข้ามกับสินทรัพย์อื่นๆ ในยามที่หุ้นตก แต่ไม่ใช่กับ 1-2 ปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ที่หุ้นตกคุณจะเห็นว่าทองก็ตกด้วย” เจ้าของเพจ Your Wealth Architect เปรยถึงประเด็นถัดไป
หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว! ไหงบอกว่าทองเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสถียรมากที่สุด แล้วไหงหุ้นตกทองถึงตกด้วย ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ?
อย่าเพิ่งตกใจด่วนสรุปไป แอนนาเบลอธิบายให้ฟังว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมาจาก ‘การเทขาย’ ของนักลงทุนเพื่อพยุงตัวเอง เพราะทองเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง สังเกตได้ว่าเมื่อไหร่ที่ทองร่วงหนัก ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาราคาของมันจะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งเป็นเช่นนี้สลับไปสลับมา ซึ่ง Goldman Sachs ผู้ให้คำปรึกษาด้านการควบรวมกิจการ การซื้อ-ขาย และการระดมทุนข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ได้พบกราฟแพตเทิร์นขึ้น-ลงของมูลค่าทองนี้ครั้งแรกคือตอนที่โลกเผชิญกับวิกฤตการเงิน Hamburger Crisis เมื่อปี 2008 ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อปี 2020 คือช่วงวิกฤตโควิด-19 ก่อนจะถึงปี 2024-2025 ที่เกิดภาวะสงครามและภาวะเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงอย่าตกใจที่เห็นทองคำราคาตกพร้อมๆ กับหุ้น แต่ให้เข้าใจว่าการเก็บทองไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรแต่เพื่อให้เกิดความสบายใจ สามารถล้มลงบนฟูกได้ยามเกิดวิกฤตโลก ที่ไม่รู้ว่าแต่ละครั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเกิดความสูญเสียมากน้อยแค่ไหน
[3. ดอกเบี้ยยังสำคัญกับทอง…แต่ทองไม่ฟังอีกต่อไป]
ต่อมาคือเรื่องของ ‘อัตราดอกเบี้ย’ คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คนถือทองต้องรู้
เมื่อก่อนเรารู้ดีว่า ‘อัตราดอกเบี้ย’ ที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง คือผู้กำหนดทิศทางว่าราคาทองจะขึ้นหรือลง กล่าวคือเมื่อไหร่ที่ดอกเบี้ยสูงจากการที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนบางอย่างหรือสถานการณ์การเงินโลกกำลังไม่โอเค อัตราดอกเบี้ยจะกดให้ราคาทองต่ำลงเพื่อให้เกิดการนำทองออกมาซื้อ-ขายเพื่อให้เกิดสภาพคล่อง ผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามข่าวสารและสอดส่องอัตราดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ

แต่ความเชื่อดังกล่าวเปลี่ยนไปทันทีที่สหรัฐฯ และกลุ่ม G7 ใช้มาตราการคว่ำบาตรรัสเซียกรณีเปิดฉากบุกยูเครนเมื่อปี 2022 ด้วยวิธีตัดช่องทางการเงินของธนาคารรัสเซียออกจาก ‘SWIFT’ ซึ่งเป็นระบบโอนเงินโลก ผลที่ตามมาคือเกิดแรงซื้อทองครั้งใหญ่จากธนาคารกลางและกองทุน ETF ไม่ใช่แค่จากบุคคลธรรมดา นั่นทำให้แม้ดอกเบี้ยจริง (real yield) พุ่งสูงขึ้น และราคาทองเองก็พุ่งสูงตามด้วยเช่นกัน เพราะการซื้อที่ว่าเป็นการแห่ซื้อโดยไม่สนทิศทางราคาหรืออัตราดอกเบี้ยใดๆ
ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้ทองขึ้นหรือลงในยุคนี้จึงขึ้นอยู่กับ ‘ความกลัวของคน’ สังเกตได้ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโลก ทองมักราคาพุ่งสูง และจะตกลงเมื่อความกลัวนั้นหายไปจากสถานการณ์ที่คลี่คลาย เราจึงไม่ต้องรีบปล่อยทองในวันที่ราคาขึ้นหากไม่จำเป็น แต่ถือไว้ได้ยาวๆ ไว้เป็นหลักประกันชีวิต
[4. ไม่ได้ซื้อเพื่อเก็งกำไรแต่ซื้อเพื่อความอยู่รอด]
ดังนั้นนิยามการซื้อทองของเศรษฐีในยุคนี้ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรหรือหวังรวยขึ้น แต่ซื้อ ‘เพื่ออยู่รอด’ มันเป็นมากกว่าทรัพย์สินแต่คือระบบป้องกันชีวิตในวันที่โลกไม่แน่นอน วันใดวันหนึ่งสกุลเงินที่ถืออาจตกลง แต่ทองยังเป็นทรัพย์สินที่ไว้ใจได้เสมอ
ขณะเดียวกันในอนาคตทองคำจะไม่ได้ถูกเก็บสะสมอยู่แค่ในตู้เซฟ แต่จะสะสมในระบบดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับ ผ่านระบบที่เรียกว่า ‘Tokenized Gold’ หรือการเปลี่ยนทองแท่งในห้องนิรภัยให้กลายเป็น digital token ที่ซื้อ-ขายได้จริง และมีราคาทองคำจริงๆ รองรับ นั่นหมายความว่าเมื่อนำทองขึ้นมาอยู่บนบล็อกเชน ตลาดการซื้อ-ขายทองจะยิ่งเปิดกว้างและโตขึ้นมากกว่าเดิม
[5. เมื่อระบบการเงินโลกไม่ไว้ใจดอลลาร์ฯ อีกต่อไป]
ดังที่เกริ่นนำข้างต้นว่า ภายหลังเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ตัดช่องทางการเงินของรัสเซีย จนในที่สุดทองไม่ฟังกลไกอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป ดังนั้นธนาคารกลางของหลายประเทศจึงหันมา ‘ลดเงินดอลลาร์ฯ’ และ ‘เพิ่มทอง’ ในคลังมากขึ้น เพราะเกรงว่าการสะสมเงินดอลลาร์ฯ มีความสุ่มเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งอาจถูกพี่ใหญ่สหรัฐฯ ลงดาบเหมือนรัสเซีย
การหนีไปออมทองซึ่งไม่ได้ขึ้นตรงกับระบบ SWIFT จึงเป็นหนทางสำคัญในการเอาตัวรอด ด้วยเหตุที่ว่าไม่อยากเป็นเหยื่อของเงินดอลลาร์ฯ อีกต่อไป

และเมื่อไม่รู้ว่าวันไหนจะเกิดสงครามหรือวันใดวันหนึ่งจะพลาดไปกระตุกหนวดเสือประเทศมหาอำนาจ จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีเงินสดสำรองในคลัง 12 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งถือสัดส่วน 60% จากสกุลเงินทั้งหมดในคลัง วันนี้ธนาคารกลางเหล่านั้นหันมาสำรองทองในระบบธนาคารมากขึ้น เพื่อสร้าง ‘อธิปไตยทางการเงิน’ (financial solvency)
เห็นได้ชัดจากการที่จีนพยายามสร้างเครือข่าย Gold Corridor เชื่อมโยงตลาดทองคำประเทศพันธมิตรในเอเชียและกลุ่มสมาชิก BRICS เพื่อสร้างระบบการเงินที่ไม่ต้องพึ่งระบบ SWIFT และเงินดอลลาร์ฯ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือหากจีนทำสำเร็จ เครือข่ายดังล่าวจะแลกเปลี่ยนทองเป็นเงินหยวนได้อย่างอิสระ กล่าวคือทำให้คนอยากถือสกุลเงินหยวนมากกว่าเงินดอลลาร์ฯ นั่นเอง
ช่วงท้ายเจ้าของเพจ Your Wealth Architect จึงเน้นย้ำว่า การออมทองในยุคนี้ คือต้องเข้าใจธรรมชาติของทอง เราสามารถซื้อทองสะสมได้แต่ไม่ถึงขั้นทุ่มซื้อหมดพอร์ต และอย่าเก็งกำไรแบบ ‘all in’ ไม่คิดหน้าคิดหลัง เหนือสิ่งอื่นใดให้จับตามองจีนเอาไว้ให้ดี ว่าจะกลายเป็นมหาอำนาจที่ควบคุมทองด้วยเงินหยวนอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นได้หรือไม่ เพราะถ้าได้ นั่นหมายความว่าอนาคตเงินหยวนจะกลายเป็นสกุลเงินตราที่มีอำนาจมากกว่าดอลลาร์ฯ นั่นเอง