นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

LOUDER THAN WORDS

ภาษากายใน CODA ที่สร้างที่ทางให้คนหูหนวกในฮอลลีวูดและโลกธุรกิจ

1.

ฉันเป็นคนร้องไห้ให้กับหนังได้ง่าย บางทีอาจจะง่ายกว่าร้องไห้ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ สำหรับฉัน การร้องไห้ให้หนังนับเป็นการร้องไห้ที่ดี หนังบางเรื่องเรียกความทรงจำที่ฉันเคยหลงลืมไปกลับคืนมา บางตัวละครทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ผ่านสถานการณ์ยากลำบากเพียงลำพัง และซีนบางซีนก็ช่วยเตือนความจำฉันว่า ใช่ ที่ฉันร้องไห้เพราะฉันยังเป็นมนุษย์ มีหัวใจ ไม่ได้ตายด้านทางความรู้สึก

ซีนล่าสุดที่ทำให้ฉันเสียน้ำตาคือซีนสุดท้ายของ CODA เจ้าของรางวัลหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2022

ขอสปอยล์ตรงนี้เลยแล้วกัน ในฉากนี้ Ruby ตัวเอกของเรื่องจะไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ เธอจึงจำเป็นต้องโบกมือลาพ่อ แม่ กับพี่ชายผู้หูหนวก–กลุ่มคนที่รูบี้ต้องช่วยเหลือมาตลอด 17 ปีในฐานะคนเดียวในครอบครัวที่หูดี

ตอนจะไป รูบี้ทำท่าเหมือนการจากลานั้นเป็นเรื่องง่าย ไม่ค่อยได้แสดงความรู้สึกอ่อนไหวมาก แต่พอออกรถไปได้ไม่ทันไร เธอก็บอกให้เพื่อนจอด กระโดดลงจากรถแล้วทุ่มตัวกอดครอบครัวแรงๆ อีกที คือกอดที่แทนคำว่าห่วงใย เป็นห่วง และรักจนไม่อยากไปจากพวกเขา

ในฐานะเด็กเชียงใหม่ที่ต้องย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ฉันเข้าใจความรู้สึกของรูบี้เป็นอย่างดี แถมยังเคยมีซีนคล้ายๆ กันนี้กับครอบครัวของตัวเอง

วินาทีที่ Frank พ่อของเธอพูด–ซึ่งเป็นคำพูดเดียวที่เราได้ยินจากปากเขาว่า “ไปเถอะ” รูบี้น้ำตาไหล ฉันเองก็ไม่ต่าง

2.

CODA กลายเป็นหนึ่งในหนังที่อยู่ ‘ใกล้ใจ’ ฉันมากที่สุด ความหมายคือมันทั้งรู้สึกใกล้ตัวและจับใจ สำหรับฉันมันไม่ได้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปทุกด้าน แต่ก็ทำให้ฉันเพลิดเพลินได้อย่างหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่งพึงจะทำ

สรุปเรื่องราวอย่างย่นย่อ CODA เล่าเรื่องเด็กสาวหูดีที่เติบโตมาในครอบครัวคนหูหนวก ผู้ต้องรับบทบาทคนแปลภาษามือให้ครอบครัวมาตั้งแต่เกิด เธอฝันอยากเรียนต่อด้านการร้องเพลง แต่ไม่เคยบอกใครเพราะคิดว่าฝันคงไม่มีวันเป็นจริง จนปีสุดท้ายของไฮสคูล รูบี้จับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในชมรมประสานเสียง Mister V อาจารย์ประจำชมรมมองเห็นความเป็นดาวในตัวเธอเลยเสนอตัวจะฝึกให้ไปสอบชิงทุน ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านก็อยากขยายธุรกิจประมงของตัวเองให้ใหญ่โตขึ้น รูบี้จึงต้องเลือกระหว่างการตามความฝันที่จะเป็นนักร้อง หรือจะเป็นล่ามประจำครอบครัวไปตลอดกาล 

ขณะที่ต้อนคนดูให้เปิดใจกับหนังทีละนิดจากเสียงเพลง บรรยากาศการออกทะเลหาปลา การได้มองดูความฝันและความรักของรูบี้ผลิบานในชมรมร้องประสานเสียง หนังก็ฉายภาพให้เห็นสิ่งที่เธอต้องรับมือจากการเป็นคนหูดีคนเดียวของบ้าน รวมถึงสิ่งที่คนอื่นๆ ในครอบครัวต้องปรับจูนเข้าหาเธอ บ้างก็ตลกขบขัน บ้างก็ทำให้เข้าใจหัวอกของทั้งสองฝ่าย

อย่างซีนที่แม่สารภาพกับเธอว่าตอนที่หมอทำคลอดมาแจ้งว่ารูบี้ไม่ได้หูหนวก แม่เสียใจมาก กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นแม่ที่แย่ เพราะการได้ยินปกติอาจกลายเป็นกำแพงที่ทำให้แม่กับเธอสื่อสารกันได้ไม่เต็มที่จนไม่สนิทกันเหมือนแม่กับยาย (ซึ่งเป็นคนหูดี) อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่มันก็เป็นมนุษย์มากๆ เช่นกัน

3.

มากกว่าการเป็นหนังแนวอบอุ่นเข้าถึงง่าย ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้ CODA ชนะใจคนดูหลายคนจนได้รางวัลจากทั้งซันแดนซ์และออสการ์ คือการเป็นหนังที่โอบรับและให้ที่ทางกับกลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามอย่างคนหูหนวก

เริ่มตั้งแต่ให้ที่ทางกับคนหูหนวกที่เป็นนักแสดง อันที่จริง CODA รีเมคมาจาก La Famille Bélier หนังฝรั่งเศสปี 2014 ที่โดนคอมมิวนิตี้ของคนหูหนวกสับเละ เพราะเล่าเรื่องของคนหูหนวกแต่นักแสดงนำเป็นคนหูดีทั้งสิ้น พอได้มายกเครื่องทำใหม่ CODA ก็ไม่เดินทางซ้ำรอยเดิม เพราะบทบาทของคนหูหนวกในครอบครัวทั้งสามคนคือพ่อ แม่ และพี่ชายล้วนแสดงโดยนักแสดงหูหนวกทั้งหมด 

ซึ่งหลายคนมองว่านี่แหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น การมีภาพแทนที่แสดงโดยคนในคอมมิวนิตี้จริงๆ ช่วยเปิดโอกาสให้นักแสดงหูหนวกที่มีความสามารถอีกหลายคนได้ถูกมองเห็น พอได้ออกฉายในโรงใหญ่ CODA ก็เลือกฝังซับไตเติลไปกับหนัง เพื่อให้คนดูที่หูหนวกได้เพลิดเพลินกับหนังได้ไม่ต่างจากคนหูดี

4.

สิ่งที่ฉันสนใจเป็นพิเศษแต่หนังไม่ได้เล่ามาก คือการทำธุรกิจของคนหูหนวก 

ตอนที่รูบี้ยังอยู่กับครอบครัว เธอเป็นทั้งปากและหูของที่บ้าน ไม่เกินจริงถ้าจะบอกว่าที่บ้านพึ่งพาเธอมากเกินไปด้วยซ้ำ ถึงขนาดว่าจุดหนึ่งของเรื่องที่รูบี้ (เกือบ) ตัดสินใจว่าจะไม่ไปร้องเพลงเพราะอยากเป็นล่ามให้ที่บ้านต่อ พี่ชายของเธอหัวเสียอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยชัดเจน 

พี่ชายมองว่าการตัดสินใจของรูบี้เป็นสิ่งที่งี่เง่า สิ่งหนึ่งที่สะกิดใจฉันคือคำพูดที่ว่า “ก่อนจะมีเธอ พวกเรา (พ่อ แม่ และพี่ชาย) ก็อยู่กันได้” เมื่อรูบี้ถามว่าถ้าไม่มีเธอแล้วพวกเขาจะอยู่กันยังไง จะปรับตัวเข้าหาสังคมรอบข้างยังไง พี่ชายก็บอกว่า “ช่างสิ ให้พวกคนหูดีปรับตัวเข้ามาหาพวกเราสิ”

ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความจริง ปัจจุบันในสังคมที่เจริญแล้ว มีกฎหมายห้ามแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ อาทิ Americans with Disabilities Act (ADA) ปี 1990 ที่กลายเป็นหลักไมล์สำคัญให้คนอเมริกันได้เข้าใจและโอบรับคนหูหนวกและคนพิการแขนงอื่นๆ ด้วยการให้การศึกษา ตลอดจนถึงให้โอกาสในการทำงาน 

อย่างที่รูบี้ถามพี่ชายว่า “ถ้าไม่มีเธอ ครอบครัวจะอยู่ได้ยังไง?” นอกเหนือจากธุรกิจล่ามภาษามือทั่วไป คำตอบสำคัญคือ ‘เทคโนโลยี’ ที่มีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนให้ธุรกิจของคนหูหนวกประสบความสำเร็จ เพราะความท้าทายที่คนหูหนวกจะต้องก้าวผ่านให้ได้คือกำแพงของการสื่อสาร

ก่อนหน้านี้คนหูหนวกใช้เครื่องแฟกซ์และ teletypewriter (เครื่องพิมพ์ดีดสำหรับคนหูหนวกไว้ติดต่อกันผ่านสายโทรศัพท์) พบว่าปัญหาคือทำให้สื่อสารช้าและไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่ ทว่าในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่มาซัพพอร์ตคนหูหนวกมากมายอย่าง

VRS (Video Relay Service) เทคโนโลยีที่มีตัวกลางช่วยแปลภาษามือของคนหูหนวกมาอธิบายเป็นคำพูดให้คนหูดีเข้าใจ เช่น บริการของ SignVideo ในอังกฤษที่อ่านภาษามือของคนหูหนวกระหว่างที่พวกเขาประชุมติดต่อกับคู่ค้า

VRI (Video Remote Interpreting) เทคโนโลยีที่ช่วยให้คนหูหนวกและคนหูดีสามารถสื่อสารกันได้ผ่านตัวกลางเหมือน VRS แต่อาจสะดวกกว่าเพราะสามารถคุยกันได้แม้จะอยู่คนละสถานที่กัน

Ava แอพพลิเคชั่นที่ช่วยสร้างแคปชั่นให้คนหูหนวกอ่านขณะที่พูดคุยกับผู้อื่น ทั้งยังสามารถจำแนกได้ว่าใครพูด ผ่านแท็กและสีของแคปชั่น 

ยังไม่นับรวมองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนคนหูหนวกทำธุรกิจโดยตรง เช่น Deaf Business Academy ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการหูหนวกได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจด้วยคอร์สคุณภาพและเฉพาะเจาะจง

จากผลสำรวจปี 2017 มีคนหูหนวกในอเมริกาได้ทำงานมากกว่าครึ่ง เกิดธุรกิจที่คนหูหนวกเป็นเจ้าของมากกว่า 1,000 ธุรกิจในอเมริกา แน่นอนว่ามีธุรกิจของคนหูหนวกที่ประสบความสำเร็จมากมายในทุกวงการ เช่น Mozzeria ร้านอาหารดังในซานฟรานซิสโก, By Mara แบรนด์เสื้อผ้าในนิวยอร์ก รวมถึงวงการไลฟ์โค้ช คราฟต์เบียร์ ไปจนถึงวงการดนตรี

หันกลับมาที่ประเทศไทยเรา มีหลายธุรกิจที่เกิดขึ้นเพื่อซัพพอร์ตคนหูหนวกเช่นกัน อาทิ Mute Mute Café คาเฟ่บอร์ดเกมและ co-working space ที่ให้บริการโดยผู้พิการทางการได้ยิน และหวังว่าในอนาคตเราจะได้เห็นคนหูหนวกมากขึ้นในอีกหลายแวดวง

5.

หากอ้อมกอดในตอนจบคือกอดที่แทนคำว่าห่วงใย เป็นห่วง และรักจนไม่อยากแยกจากของรูบี้

ฉันคิดเองว่าบางทีนะ บางที คำพูดของพ่อที่บอกว่า “ไปเถอะ” ในอีกความหมายหนึ่ง มันแปลว่า พวกเขาจะอยู่ได้

พวกเขาจะอยู่ด้วยตัวเองได้ในที่สุด ในฐานะมนุษย์ที่มีคุณค่าเท่ากับมนุษย์คนอื่น

อ้างอิง
entrepreneur.com
hearinglikeme.com
121captions.com
vox.com
today.com

Writer

นักอยากเขียนผู้รักทะเลและฤดูหนาวพอๆ กับหนังสุขซึ้ง สนใจประเด็น gender และเรื่องป๊อปทุกแขนง

You Might Also Like