‘Beauty Coral Rescue’ เมื่อปะการังฟอกขาวขึ้นทุกวัน ภาครัฐและเอกชนจะทำยังไงได้บ้าง

นอกจากพิษฝุ่น PM2.5 และอุณหภูมิร้อนทะลุปรอทแตก อีกหนึ่งผลพวงจากวิกฤตโลกเดือดที่กำลังน่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ปะการังฟอกขาว’ (coral bleaching) ปัญหาที่เสี่ยงต่อความเป็นอยู่ของระบบนิเวศใต้มหาสมุทรโดยตรง

ปลาการ์ตูนสีสันสดใส หอยและหมึกนานาชนิด ดอกไม้ทะเล ไปจนถึงฟองน้ำหน้าตาพิลึก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กว่าร้อยละ 25 ล้วนพึ่งพิงแนวปะการังเป็นแหล่งอาศัย ปะการังยังทำหน้าที่เป็น ‘ป่าฝนแห่งท้องทะเล’ เพราะสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ประสิทธิภาพสูงกว่าป่าไม้บนผืนดินมากกว่า 10 เท่า แต่เมื่อน้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ปะการังจึงค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาว และล้มตายในที่สุด

แม้สาเหตุที่แนวปะการังถูกทำลายจะมาจากอุณหภูมิโลกที่ผิดเพี้ยน แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า รากเหง้าของปัญหาทั้งหมดทั้งมวล มนุษย์เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย ทั้งจากการทำประมงด้วยวิธีลากอวน แหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สร้างก๊าซเรือนกระจกอยู่ตลอดเวลา ไปจนถึงเศษขยะ เศษพลาสติก น้ำเสีย และสารเคมีเจือปนที่มาจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

แต่ในเรื่องร้ายใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีให้เห็นเลย เมื่อกลุ่มผู้ประกอบการและผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มเล็งเห็นถึงปัญหาปะการังฟอกขาว พลันตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมแบบเดิมที่เคยทำมา ยกตัวอย่างในปี 2565 กับกรณีของ ‘MISTINE’ แบรนด์เครื่องสำอางระดับตำนาน ที่ตัดสินใจประกาศยกเลิกใช้สารเคมี 4 ชนิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของปะการังโดยตรง ยามนักท่องเที่ยวใช้ทาก่อนลงทำกิจกรรมในทะเล ได้แก่ สาร Oxybenzone (Benzophenone-3 หรือ BP-3), สาร Octinoxate (Ethylhexyl Methoxycinnamate), สาร 4-Methylbenzylidene Camphor (4-MBC) และสาร Butylparaben 

เวลาต่อมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็ได้ประกาศสั่งห้ามนำเข้าและใช้ครีมกันแดดผสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง บริเวณอุทยานแห่งชาติทางทะเลจำนวน 26 แห่ง แม้ประกาศดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลก เพราะหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ปาเลา อารูบา ออสเตรเลีย และเกาะบอร์เนียว ก็เป็นประเทศต้นๆ ที่ประกาศห้ามนำเข้าครีมกันแดดที่มีสารเป็นอันตรายต่อปะการัง ทว่านี่เป็น ‘กระดุมเม็ดแรก’ ที่ถูกติดได้ทันท่วงที ก่อนวิกฤตปะการังฟอกขาวในประเทศไทยจะลุกลามจนสายเกินแก้

ที่น่าสนใจ คือ MISTINE ยังรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพของแนวปะการังอย่างต่อเนื่อง เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เพื่อลงพื้นที่เกาะราชาใหญ่ จังหวัดภูเก็ต และเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่กำลังเผชิญปัญหาปะการังฟอกขาว รวมไปถึงเศษขยะบนชายหาด เพื่อรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียจากการใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีเป็นอันตรายต่อปะการัง 

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องทำควบคู่ต่อเนื่องไปพร้อมกับการรณรงค์ นั่นคือการ ‘ฟื้นฟู’ แก่แนวปะการังที่เสียหายให้กลับคืนธรรมชาติอีกครั้ง ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบ่งวิธีการฟื้นฟูออกเป็น 3 ข้อใหญ่ 

  1. การฟื้นฟูโครงสร้างทางกายภาพ–ปรับปรุงคุณภาพของสภาพแวดล้อมรอบๆ แนวปะการัง เช่น การกำจัดมลพิษ การลดปริมาณตะกอน การฟื้นฟูแนวชายฝั่ง และการอนุรักษ์พื้นที่ปะการัง
  2. การขยายพันธุ์ปะการัง–เพาะเลี้ยงปะการังในสถานที่ควบคุมและนำกลับคืนสู่แนวปะการัง วิธีการขยายพันธุ์ปะการัง ได้แก่ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ และการขยายพันธุ์แบบพันธุวิศวกรรม
  3. ปกป้องปะการัง–เป็นการปกป้องปะการังจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น การทำประมง การท่องเที่ยว และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

หากเป้าหมายที่กล่าวมานี้ทำได้จริง ทรัพยากรแนวปะการังในประเทศไทย น่าจะสามารถฟื้นตัวและแตกหน่อแพร่ขยายใหม่ได้อย่างเต็มที่ และนำไปสู่การสร้างสมดุลธรรมทางทะเลได้อีกครั้ง

แม้เรื่องราวทั้งหมดจะเล่าถึงปัญหาและการฟื้นฟูปะการัง แต่แก่นแท้จริงที่ต้องการสื่อสารออกไป คือเรื่อง ‘จิตสำนึก’ ในการทำธุรกิจ ที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรคำนึงถึงมูลค่าทางธรรมชาติ มากกว่าแค่มูลค่าทางกำไร เพราะธรรมชาติเมื่อถูกพรากไปครั้งหนึ่งแล้วก็อยากที่จะนำกลับมาใหม่

แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทุกวันนี้เราคำนึงถึงธรรมชาติมากพอแล้วหรือยัง?

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

You Might Also Like