Out of Office

Tailored Casual เครื่องแบบนอกเวลางานของวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และเจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU

ครั้งแรกที่เห็นชุดของแบรนด์ OFFICIEL BEAU เราคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังสไตล์โก้หรูเปี่ยมไปด้วยรสนิยมนี้ต้องเป็นนักออกแบบที่ทำงานคร่ำหวอดในวงการสร้างสรรค์แน่ๆ

หากแต่เมื่อได้รู้จัก โบ๊ท–สิริชัย วิพัฒนพร เขากลับแนะนำตัวสั้นๆ ว่าเป็นวิศวกร ที่ปัจจุบันผันตัวมาทำงานด้านการตลาด เป็น Marketing Manager ของบริษัทฮิลติ หรือ Hilti (Thailand) ผู้ผลิตและผู้นำทางนวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างขนาดใหญ่ 

ชีวิตของโบ๊ทสนุกและให้แรงบันดาลใจแก่เรามากๆ ตั้งแต่เส้นทางการทำงานไปจนถึงเรื่องการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจาก 0 ที่นำหลักการทำงานแบบวิศวกรมาพัฒนาเสื้อผ้า ทดลองแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมั่นใจพร้อมขาย ซึ่งแม้จะเพิ่งเปิดตัวแบรนด์ได้ไม่นาน OFFICIEL BEAU ก็ได้รับความรักจากแฟนๆ โดยลูกค้า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำอยู่เสมอ

นั่นเป็นเพราะ OFFICIEL BEAU ไม่ได้ขายเสื้อผ้า แต่กำลังมอบสไตล์ให้ผู้คนที่รู้จักตัวตนและรู้ความต้องการของตัวเอง 

เหมือนที่ Coco Chanel ได้กล่าวไว้ว่า ‘Fashion changes, but style endures’ แฟชั่นเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา แต่สไตล์นั้นไม่เปลี่ยน

ถือสายวัดตัวและกระดาษร่างแบบ ตาม Capital ไปพูดคุยกับโบ๊ท ถึงชุดทำงานของเขา ตั้งแต่เป็นวิศวกรบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน วิศวกรฝ่ายขายในบริษัทชั้นนำที่เปลี่ยนการทำงานของเซลส์ในวงการ ไปจนถึงบทบาทปัจจุบันที่เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดในบริษัทใหญ่ และเจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU แบรนด์เสื้อผ้ามีสไตล์ที่กำลังมาแรงและเป็นที่น่าจับตา

Part 1
วิศวกรภาคสนาม หัวหน้าทีมวิศวกรฝ่ายขาย และผู้จัดการฝ่ายการตลาด

จากแรงบันดาลใจในวัยเด็ก ที่ได้ดูหนังเรื่อง Armageddon (1998) ทำให้โบ๊ทตั้งเป้าหมายจะเป็นวิศวกรที่แท่นขุดเจาะน้ำมัน แม้เส้นทางชีวิตจะนำพาเขาเข้าไปสู่สาขาเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาก็ไม่ละทิ้งความฝัน กลับมุ่งมั่นที่จะทำทุกวิถีทางให้เฉียดเข้าใกล้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีให้มากที่สุด

โบ๊ทเริ่มต้นทำงานเป็นวิศวกรภาคสนามไปติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันและโรงไฟฟ้า ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง สามปีต่อมา โบ๊ทได้รับการแนะนำให้ไปทำงานในบริษัทสัญชาติเยอรมัน ได้ทำงานเซอร์วิสบนแท่นขุดเจาะน้ำมันตามความฝัน 

ขณะที่ใช้ชีวิต 6-7 เดือนที่กลางทะเล โบ๊ทก็พบว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการ และหากเขาเลือกที่จะอยู่ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางนี้ต่อไป เขาจะต้องแลกกับชีวิตส่วนตัวและเวลากับคนรอบข้าง ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะเลือกทางเดินชีวิตเส้นไหน โบ๊ทก็ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง ว่าให้ลองทำงานในฝั่งการขาย เขาจึงเริ่มทำงานเป็น Sales Engineer ในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แม้ไม่เคยผ่านงานด้านการขายมาก่อน แต่ผู้บริหารก็เชื่อมั่นว่าโบ๊ทจะทำได้ จากประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ความเข้าใจที่มีต่อสินค้าที่ขาย และการเปิดรับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ

อะไรทำให้คุณตัดสินใจเปลี่ยนสายงานจากวิศวกรบนแท่นขุด มาเป็นเซลส์ในบริษัทชั้นนำ

จริงๆ ลึกๆ แล้วผมชอบศิลปะมาโดยตลอด อยากเป็นสถาปนิก แต่ด้วยเติบโตที่ต่างจังหวัดตอนเด็กๆ ไม่มีใครมาไกด์ พ่อกับแม่ขอให้เลือกเรียนวิศวะ ผมก็ลองดูเพราะคิดว่าเราพอไปได้ ช่วงเวลา 3 ปีที่อยู่ on-site ต้องทำงานเกือบทุกวัน ย้ายไประยองบ้าง ไปสระบุรีบ้าง ในที่สุดผมได้ทำตามความฝัน คือมีโอกาสไปทำงานบนเเท่นขุดกลางทะเล แต่ทำได้ระยะเวลาสั้นๆ กลับคิดถึงชีวิตที่ต้องการจริงๆ ตอนนั้นอายุ 24-25 ได้เงินเดือนค่อนข้างเยอะเลยนะ แต่ผมก็อยากใช้ชีวิต อยากค้นหาตัวเองไปด้วย

จากที่เคยคิดว่าการเป็นวิศวกรบนแท่นขุดคือชีวิตของเรา สุดท้ายผมพบว่าชีวิตเรามีหลายมิติ มีความซับซ้อนมากกว่านั้น เลยอยากเปิดโอกาสให้ตัวเอง ตอนนั้นแค่ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานวิศวกรที่เราพอทำได้ ในขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสทำสิ่งที่อยากทำขนานไปด้วยได้ เช่น การได้ไปเดินดูเสื้อผ้ามือสองของวินเทจที่ตลาดจตุจักรช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์

การทำงานเป็นเซลส์ทำให้คุณต้องเปลี่ยนตัวเองยังไงบ้าง

ความยากคือผมเป็นคนขี้อายและพูดไม่เก่ง ด้วยความเป็นวิศวกรภาคสนามก็จะเน้นปฏิบัติซะมากกว่า แต่การเป็นเซลส์นั้น การพูดเเละการฟังเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องรู้จักพูดโน้มน้าว สื่อสารตรงไปตรงมาให้เข้าใจได้ง่าย และฟังให้เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ไปจนถึงเราจะเปิดการสนทนายังไง นี่คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ในช่วงแรกๆ ผมไม่สามารถทำให้ลูกค้าเดินเข้ามาพูดกับผม แล้วซื้อของกับผมได้ ก็ค่อนข้างกดดัน เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีเต็มๆ ที่ขายของไม่ได้เลย กลายเป็นว่าผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าในองค์กร 

จากคนที่มีความมั่นใจเต็มร้อย คุณผ่านความรู้สึกนั้นมาได้ยังไง

ผมเพิ่งรู้ว่าการเป็นตัวเองมากไปมันทำงานไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเบรกตัวเอง มองหาว่าผมพอจะปรับอะไรได้บ้าง ระหว่างนั้นเจ้านายญี่ปุ่นเขาก็แนะนำว่า คุณเป็นวิศวกรฝ่ายขาย คุณจะทำมันไม่ได้เลยถ้าคุณไม่เริ่มต้นพูด นี่คือสิ่งที่ควรปรับเป็นอย่างแรก simple มาก เขาบอกว่าทุกๆ ครั้งที่ไปเจอลูกค้าให้พยายามหยิบยกอะไรก็ได้สัก 1-2 เรื่องขึ้นมาพูด เพื่อทลายกำแพงระหว่างเรากับเขา ไม่ใช่ว่ามาปุ๊บ ตั้งของ ตั้งคอมพ์ เซตอัพอุปกรณ์แล้วก็เล่าว่าเครื่องนี้ดีอย่างงั้นอย่างงี้ มันไม่ได้

พอเริ่มปรับ ใช้วิธีเริ่มต้นคุยเรื่องส่วนตัวบ้าง ดินฟ้าอากาศบ้าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากนั้นผมกลายเป็น best sales หลายปีเลยนะ ทำยอดขายและกำไรตลอดระยะเวลา 7 ปี มากกว่า 350 ล้าน ยังจำที่เจ้านายเคยบอกว่า เวลาที่ผมเล่าเรื่อง ผมคือคนที่พูดได้น่าฟัง เพียงแต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็แค่นั้น

การจะเป็น best sales ได้นั้นเรียกร้องทักษะอะไรบ้าง

ผมคิดว่าเป็นความจริงใจนะ เวลาเราฟังปัญหาของลูกค้า เราแค่พูดในสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราไม่รู้หรือทำไม่ได้เราไม่เคยพยายามปกปิด แสร้งว่ามันทำได้หรือพูดให้โอเวอร์เกินจริง เขาก็จะรู้สึก secure แล้วก็รู้สึกอยากจะคุยกับเราจริงๆ 

การที่ใครสักคนจะตัดสินใจซื้อของราคาหลักล้านบาทในวันเเรกที่เจอกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากคุณสมบัติของเครื่องมือที่ตอบโจทย์หรือบริการหลังการขายแล้วนั้น ความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อเราก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย งานของเราคือต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจสเปกของผลิตภัณฑ์ก่อน การตอบคำถาม ข้อสงสัย เเละให้คำแนะนำลูกค้าได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง ซื่อสัตย์ ซึ่งคือความจริงใจที่มีต่อลูกค้า เป็นส่วนที่เราต้องให้ความสำคัญเสมอ ผมเคยเจอเซลส์หลายคน ที่มีความกดดันจากยอดขาย ทำให้เขาพยายามทุกวิถีทางให้ลูกค้าซื้อของ จนหลงลืมสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็อาจทำได้ในบางครั้ง แต่ไม่มั่นคงในระยะยาว

อะไรคือสิ่งหล่อเลี้ยงให้คุณรู้สึกสนุกกับงานเซลส์

เซลส์เป็นงานที่มีรายละเอียดเยอะมาก ยิ่งถ้าสินค้าที่ขายมีราคาค่อนข้างสูง สมมติเรานึกถึงเจ้าของบริษัททุนจดทะเบียน 50-100 ล้าน วันหนึ่งมีสายแปลกๆ โทรเข้ามา ใครคนนั้นจะเล่าเรื่องให้เจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารที่มีเวลาน้อยมากๆ ได้ยังไง เซลส์จึงต้องทำรีเสิร์ชหาข้อมูลเยอะมาก ต้องรู้แบ็กกราวนด์ของลูกค้าระดับหนึ่ง และต่อให้ผู้บริหารรับนัด เขาก็ไม่มีทางจะตัดสินใจซื้อของราคาหลักล้านได้ในทันที มันค่อนข้างมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและระยะเวลาค่อนข้างมาก 

สิ่งที่เราต้องคิดถึงเป็นสำคัญคือ ผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ และอะไรคือสิ่งที่เราจะบอกลูกค้าก่อนที่เราจะไปเจอเขา เพื่อให้เขารู้สึกว่าเรากำลังมาเพื่อแก้ปัญหาให้คุณนะ และถ้าเป็นไปได้ก็ต้องพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกพร้อมที่จะตัดสินใจเรื่องราคาให้ได้ในทันที หากทิ้งระยะเวลาไว้นาน ความต้องการของลูกค้าก็จะลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเขาก็จะไม่คิดถึงมันอีกเลย การที่ผมตั้งโจทย์ว่าจะเป็น best sales ได้ยังไงนั้น ผมก็ต้องปิดการขายให้เร็วที่สุด ในที่สุดแผนนี้ก็กลายมาเป็นกลยุทธ์หลักของทีม 

คุณดูจะไปได้ดีมากกับสายงานนี้ อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจย้ายงานอีกครั้งหนึ่ง

หลักๆ ก็เป็นเรื่องสุขภาพ ช่วง 2 ปีที่แล้ว ผมป่วยหนักมากจนต้องหยุดงาน 2-3 เดือน หมอบอกว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ และเป็นอัมพาตตอนกลางคืน ซึ่งเป็นเคสที่ค่อนข้างหนัก หมอบอกว่าเป็นมานานแล้วแต่เราไม่รู้ เป็นโรคที่เกิดจากความเครียดทำให้ฮอร์โมนในร่างกายรวนไปหมด ร่างกายและมือสั่น หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติประมาณ 3 เท่า

ก่อนหน้านี้ร่างกายส่งสัญญาณใดๆ มาก่อนไหม

มี แต่น้อยมาก เช่น เหงื่อออกเยอะ ขี้ร้อน คนอื่นหนาวมาก แต่ผมเหงื่อแตก จริงๆ แล้วโรคนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะสำหรับผู้ชายเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ กรรมพันธุ์กับความเครียด เนื่องจากความเครียดจะหลั่งสารพิษในร่างกายเรา ทำให้อวัยวะในร่างกายทำงานหนักเพื่อกำจัดมัน 

ซึ่งในสายงานเซลส์งานค่อนข้างเครียดเเละกดดันเลย เราต้องขับรถเยอะมาก ไปประชุมกับลูกค้าต่างจังหวัดเกือบทุกวัน แล้วก็ขับรถกลับมากรุงเทพฯ เพื่อทำงานที่ออฟฟิศต่อ เจอรถติดหลายชั่วโมง ตอนนั้นเข้าใจว่าทำงานหนักเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ยิ่งทำผลงานดีก็ยิ่งกลายเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก มีความคิดเป็นของตัวเอง ใจร้อน ไม่ฟังใคร เเต่เมื่อป่วยจึงได้รู้ว่าอะไรสำคัญ

คุณเปลี่ยนไปยังไงในวันที่กลับมาคิดถึงสุขภาพกายและใจมากขึ้น

เมื่อก่อนเราอาจจะไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขนาดนั้น เราเเค่ทำงานให้หนัก หาเงินเพื่อไปมีความสุข และเป็นคนที่รับทุกเรื่องไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ เรื่องของคนอื่นเราก็เข้าไปช่วยแก้ปัญหาตลอด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่เราพอจะช่วยได้ หลังจากป่วยผมกลายเป็นคนที่มองอะไรกว้างขึ้น lean ทุกอย่างให้น้อยที่สุด ทำแต่สิ่งที่จำเป็น หัดบอกปฏิเสธ เรียนรู้ที่จะฟังและยอมรับความต้องการของตัวเองมากขึ้น

ช่วงแรกของการรักษา ร่างกายเราไม่ตอบสนองกับยาที่หมอให้เลย ซึ่งอาจจะต้องลงเอยที่การผ่าตัด ที่ผ่านมาเราใช้ร่างกายหนักเกินไป หมอต้องให้กินแร่กัมมันตรังสีเพื่อหยุดการทำงานของต่อมไทรอยด์ ผลที่ตามมาคือระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ทำงาน เป็นช่วงชีวิตที่ยากลำบากมาก แต่ก็ผ่านมาได้ เพราะการมีวินัย ปฏิบัติตามที่หมอสั่งจนหายดีได้ภายใน 7 เดือน ทั้งๆ ที่หมอเคยบอกว่าเป็นเคสที่ยากมากอาจจะต้องใช้เวลารักษา 2-3 ปี จึงจะหาย

เมื่อผ่านเรื่องที่ยากและไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิตได้ หลังจากหายดี ทัศนคติผมก็เปลี่ยนไปด้วย เราเหมือนเป็นคนใหม่เลย การป่วยมันให้อะไรดีดีกับเราเยอะเหมือนกันนะ ทำให้ผมกล้าออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายอย่าง รวมถึงการทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง

คุณตัดสินใจยังไงต่อหลังจากเลือกเดินออกจากคอมฟอร์ตโซน

หลังจากทำงานในสายด้านการขายมา 7 ปี ผมเปลี่ยนสายงาน เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนอุตสาหกรรมอีกครั้ง มาทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด คอยสนับสนุน sales engineer ให้ขายของและทำยอดได้ตามเป้า

บทบาทหน้าที่ของหัวหน้าทีมการตลาดและทีมขาย แตกต่างกันยังไง

ต่างกันเยอะนะ เซลส์จะมองยอดในระยะสั้น แต่มาร์เก็ตติ้งจะมอง long term 3-5 ปี ที่สำคัญไม่ได้ยอดขายอย่างเดียว แต่ต้องมองโพซิชั่นของแบรนด์ ว่าเราอยู่ตรงไหนของตลาด เป็นงานเชิงกลยุทธ์ ดูว่านโยบายจากบริษัทแม่เป็นยังไง แล้วเราจะประยุกต์ใช้กับแผนระดับภูมิภาคและระดับประเทศเรายังไง วัฒนธรรมหรือพฤติกรรมลูกค้าเป็นแบบไหนเราจะปรับแผนการทำงานยังไงเป็นต้น ซึ่งตอนนี้ผมเพิ่งเริ่มมาทำงาน ยังเป็นคนที่คิดแบบเซลส์อยู่ 

ถ้าคิดแบบเซลส์มากไป งานฝั่งมาร์เก็ตติ้งก็จะเสีย แต่ถ้าคิดแบบมาร์เก็ตติ้งมากไป เซลส์ก็จะทำงานได้ยาก การที่บริษัทเราทำยอดขายได้เยอะ ไม่ได้แปลว่า marketing strategy เราดีนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ ที่จะทำให้องค์กรเติบโตไปเรื่อยๆ เพราะถ้าปีนี้ขายดี ปีหน้ายอดขายตกลงมา แปลว่าคุณวางแผนมาไม่ดี เป็นผลลัพธ์ที่ไม่มั่นคงเเละยั่งยืนในระยะยาว

ถ้าโจทย์ตอนทำงานเป็นเซลส์คือ best sales คุณในวันนี้คาดหวังอะไรจากงานที่ทำ

บอกตามตรงว่างานนี้ค่อนข้างใหม่สำหรับผมมากๆ ผมอาจจะบอกไม่ได้มากว่าจะทำมันได้ดีหรือเปล่า แต่คิดว่าถ้าทำมันได้ในระดับนึง เราคงจะรู้สึกว่าเราได้พิสูจน์ตัวเอง รู้สึกว่าเรามีคุณค่าในองค์กรนั้นๆ อันนี้คือสิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนขององค์กรหรือสังคม เราต้องมีส่วนสำคัญระดับหนึ่ง ไม่งั้นชีวิตจะไม่มีความหมาย บางคนอาจจะต้องการชื่อเสียง เงิน ทอง ซึ่งสุดท้ายแล้วมันคือการถูกยอมรับทางสังคม ผมเองก็ต้องการเหมือนกัน เพียงเเต่ผมอยากสื่อสารออกมาในรูปแบบของการทำงานมากกว่า เป็นเหตุผลให้เราพยายามผลักดันตัวเองในงานที่ทำ และให้ความสำคัญกับหน้าที่ตรงหน้าแค่นั้นเอง

Part 2
เจ้าของแบรนด์ OFFICIEL BEAU

ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าสนใจศิลปะและชอบการแต่งตัว ช่วงที่ทำงานหนักๆ แฟชั่นหรือศิลปะเข้ามามีส่วนทำให้อิ่มเอมใจระหว่างงานที่ทำมากน้อยแค่ไหน

น่าจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวมากกว่านะ เพราะในเวลางาน เราไม่สามารถแต่งตัวสวยงามอย่างที่คิดได้เลย ด้วยงานที่ทำผมต้องใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไท ใส่กางเกงสแล็ก รองเท้าหนังสีดำ แค่นั้นเลย 

ได้ใส่อะไรที่ตัวเองชอบสักนิดไหม เช่น นาฬิกา?

นาฬิกาอาจจะได้บ้าง ต้องโกนหนวดทุกวัน ต้องแต่งตัวเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน จุดประสงค์หลักคือ ไม่ว่าเรากำลังจะไปเจอใคร ตั้งแต่ระดับคนงานไปจนถึงเจ้าของบริษัท เราต้องสามารถคุยหรือเข้าหาเขาได้หมดเลยและดูเป็นมืออาชีพน่าเชื่อถือ บางคนอาจจะยอมรับไม่ได้ แต่ผมเข้าใจได้เพราะรู้สึกว่า เราไม่ได้มาทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของตัวเอง แต่เราเป็นตัวแทนของบริษัท สิ่งที่ลูกค้ามองมาที่เราคือชื่อเสียงของบริษัท เพราะฉะนั้นเราก็จะแยกโลกออกไปเลยชัดเจน ว่านี่คืองานประจำนะ นี่คือชีวิตในเวลาส่วนตัวนะ

โลกสองใบนี้แตกต่างกันแค่ไหน

ในเวลางานจะแต่งตัวทางการมาก ส่วนนอกเวลาผมชอบใส่เสื้อยืดธรรมดา พื้นฐานผมเป็นคนขี้อายมากๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ทำให้ผมไม่กล้าลองผิดลองถูกสักเท่าไหร่ เพราะกลัวความผิดพลาด ผมยอมรับตัวเองเลยว่านี่คือจุดอ่อนของตัวเอง ผมไม่มี self-esteem ไม่มี self-appreciate ใดๆ ขณะที่กับเรื่องงานเรามั่นใจมาก แต่กับการแต่งตัวอะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย

แต่งตัวแบบไหนที่รู้สึกว่าปลอดภัย

เสื้อผ้าโทนสีขาว สีกรม สีครีม แค่นี้เลย กับรองเท้าขาว รองเท้าดำ ไม่มีอะไรฉูดฉาดและแฟนซี เครื่องแบบตอนทำงานประจำค่อนข้างเป็นทางการเเละจริงจังมากๆ ทำให้ผมคิดถึงและโหยหาความเรียบง่าย สบายๆ ไม่พยายาม ใส่อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกได้พักผ่อน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถูกกาลเทศะ 

สบายที่ว่าหมายถึงสบายตาหรือยังไง

ใช่ สบายตาเราเเละรู้สึกสวมใส่สบายด้วย เมื่อสีหรือองค์ประกอบต่างๆ ที่เราชอบนั้นเรียบ สิ่งที่เราให้ความสำคัญต่อมาคือวัสดุและการตัดเย็บ พื้นฐานเราชอบเสื้อผ้าวินเทจเพราะมันผ่านการใช้งานมาแล้ว มันดูนุ่ม ใส่สบายและถ่อมตัว

การจะแต่งตัวเรียบๆ สบายๆ ได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง หรือมีใครเป็นต้นแบบในการแต่งตัวบ้างไหม

อาจจะเป็นเพราะเราชอบงานศิลปะ ชอบ Picasso และ Le Corbusier ที่เป็นศิลปินเเละสถาปนิกยุค 1930-1970 เวลาเรามองไปที่เขา เราเห็นแต่ตัวตนเขา เราไม่เห็นเสื้อผ้า หมายความว่า เขาจะใส่อะไรไม่รู้เลย สิ่งที่มากกว่าสไตล์หรือเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ คือสิ่งที่เขาทำรวมถึงสิ่งที่เขาฝ่าฟันมา ความรักที่มีในงาน มันดูมีเสน่ห์มาก นั่นทำให้ไม่ว่าเขาจะใส่อะไรก็ดูสบายตาและเป็นธรรมชาติ

สิ่งที่สำคัญที่มากกว่าความสวยงามและความมั่นใจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ คือการรู้ว่าคุณคือใครและคุณทำอะไร ลองสังเกตคนที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าพวกเขามีสไตล์มาก ทำไมสิ่งที่เขาเลือกมันนิ่งเเละเด็ดขาดมาก เราไปทำแบบเขาไม่ได้ เพราะเขาใช้ชีวิตมาแล้ว เขาผ่านประสบการณ์มาแล้วและรู้ว่าต้องเลือกอะไรให้กับตัวเอง 

แล้วคุณรู้ตัวตอนไหนว่าต้องเลือกอะไรให้กับตัวเอง

เราไม่ได้มีเวลาและโอกาสในการค้นหาสไตล์ตัวเองขนาดนั้น รู้แค่ว่าชอบใส่เสื้อยืดสีขาว ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวอาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่เราใส่เสื้อผ้าตอนทำงานบวกกับเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่อยากเป็นจุดสนใจ ก็เลยเข้าใจตัวเองว่าชอบใส่แบบไหนตั้งแต่นั้นมา ผมพยายามสร้าง contrast ระหว่างความ formal กับ casual เข้าด้วยกัน เช่น ใส่เสื้อยืดกับกางเกงสแล็กที่ดูเป็นทางการ อย่างกางเกงเอวสูง ขากางเกงไม่เล็ก มีความเป็นกระบอก มีวอลลุ่ม มีพื้นที่ให้มีมูฟเมนต์สบายๆ ผมคิดว่าหลายๆ คนยังไม่กล้าใส่กางเกงทรงกระบอกมากนัก

เราจะเห็นดีไซเนอร์หลายๆ คนใส่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงที่ตัดเย็บเนี้ยบมาก แค่นี้ก็ดูน่าค้นหาแล้วนะ คนที่มีสไตล์มีสไตล์เพราะตัวตนข้างในของเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาสวมใส่ เช่นคำว่า elegant บางคนอาจจะนึกถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ต้องมีราคาแพง แต่สำหรับผมอาจจะหมายถึง การที่เราเข้าใจตัวเอง รู้ว่าอะไรเหมาะกับเรา สิ่งที่เราพูดเเละปฏิบัติกับครอบครัว คนรัก เเละคนรอบข้างอย่างเท่าเทียม คิดว่านี่คือความ elegant จริงๆ

ทำไมทุกครั้งเวลาพูดถึงผู้ชายที่ดู elegant เราต้องนึกถึงหนุ่มฝรั่งเศส อิตาลี เสมอ

ก็ไม่เสมอไปนะครับ ทุกคน elegant ได้ ส่วนหนึ่งผมคิดว่าอาจจะเพราะเขามีศิลปะอยู่ในทุกอย่างของชีวิต ศิลปะทำให้คนอ่อนโยน นุ่มนวล คิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ไม่เป็นมนุษย์แข็งๆ พูดจาโผงผาง ศิลปะทำให้เข้าใจชีวิตและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

ก่อนหน้านี้มีความฝันว่าอยากมีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองมาก่อนไหม แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มต้นทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง

ไม่เคยมีความฝันมาก่อนเลย แฟนเรา (ธนันญาฐ์ อภิเชษฐ์พงศ์ เจ้าของแบรนด์ Pudee) ทำแบรนด์เสื้อผ้าอยู่แล้ว เขาเห็นเราสนุกกับการแต่งตัว ตัดกางเกงทำงานใส่เอง ก็เชียร์ให้ทำแบรนด์มาตลอด แต่เราไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะสิ่งที่เราชอบมัน niche มากเลย คนไม่ชอบหรอก ทำเจ๊งแน่ๆ เขาบอกอะไรเราก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ ไม่ลอง ไม่เริ่ม แต่ที่ชอบตัดกางเกงเพราะเราใส่ ready to wear ไม่ได้ หุ่นเราไม่ปกติ การจะใส่กางเกงทำงานหรือกางเกงสแล็กให้สวยมันเลยต้องตัดแบบ made to measure ซึ่งช่วยเสริมบุคลิกภาพเรามากกว่า เพราะแต่ละคนมีรูปร่างแตกต่างกัน ถ้าเรารู้จุดอ่อนเราก็ปกปิดและรู้จุดแข็งตัวเองเราก็เสริมมันเข้าไป

อยู่มาวันหนึ่งได้เจอพี่แพท–ณภัทร สุทธิธน (ครีเอทีฟไดเรกเตอร์) พี่แพทก็ชมว่ากางเกงที่เราใส่สวยดี ผมก็บอกว่าผมลองตัดออกมาใส่เล่นๆ ดู เป็นกางเกงที่ลองปรับมาจากกางเกงวินเทจที่เราชอบ แต่ปรับให้มันใส่ง่ายขึ้น ใช้งานได้จริง เพราะวินเทจจริงๆ บางครั้งก็ขากว้างไป เอวสูงไป ผมก็ลดทอนส่วนนั้นลง ซึ่งพี่แพทก็ตัดสินใจ ยื่นมือเข้ามาช่วย ดูทิศทางและภาพรวมให้ เราก็เริ่มเชื่อว่าหรือเราน่าจะพอทำได้ แต่ก็ยังรู้สึกกดดัน ว่าต้องตั้งใจทำมันออกมาดีจริงๆ เพราะพี่เขาอุตส่าห์หยิบยื่นโอกาสให้เรา ซึ่งงานประจำที่ทำอยู่ก็หนักมากๆ และเราไม่เคยมีความรู้เรื่องเสื้อผ้ามาก่อนเลย

ตอนนั้นคุณเริ่มต้นยังไง

ก่อนหน้านี้ใช้เงินรักษาตัวไปเยอะมากๆ แล้วก็เพิ่งทำบ้านด้วย เลยวางแผนว่าจะค่อยๆ เจียดเงินเดือนมาลองทำแบรนด์ เริ่มจากหาช่างและทำเสื้อกับกางเกงออกมาทดลองใส่เองก่อน ไม่ยอมขายใครเลย ค่อยๆ ทำทุกเดือนจนครบหนึ่งปี ถึงเริ่มรู้สึกว่าพร้อมเปิดตัวแบรนด์

คุณได้นำทักษะในงานประจำมาใช้กับการทำแบรนด์ยังไงบ้าง

สิ่งที่ได้จากงานวิศวกรคือ PDCA (plan, do, check, action)  ก็คือวางแผนก่อน แล้วลองทำดู แล้วเช็กว่าสิ่งที่ทำโอเคหรือยัง ถ้าลงตัวค่อยลงมือทำเต็มที่ ซึ่งผมวนเวียนอยู่ในกระบวนการนี้ตลอดหนึ่งปีเต็มๆ หมดเงินไปเยอะมาก ซึ่งพี่แพทก็บอกว่าการทำ R&D แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อแบรนด์ เมื่อมั่นใจกับเสื้อผ้าที่ทำออกมา ขั้นตอนต่อไปคือการเล่าเรื่อง โจทย์ของเราคือนำเสนอเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแบบนี้ยังไงให้น่าสนใจ 

Officiel Beau เป็นภาษาฝรั่งเศส Beau เป็นคำ masculine สำหรับผู้ชาย ที่แปลว่าหล่อเหลา เจ้าสำอาง รูปงาม เป็นคำเชยๆ โบราณนิดนึง ที่ทุกวันนี้เค้าไม่น่าจะพูดกันเเล้ว

อย่างคอลเลกชั่นแรกเราทำเสื้อผ้าที่นึกถึง ศิลปิน ดีไซเนอร์และสถาปนิกยุค 1930-1970 มีเสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงสแล็กเรียบง่ายธรรมดา ผ่านการปรับให้รู้สึกวินเทจน้อยลง เช่น นำ French Victorian shirt ที่ผู้ชายยุค 1930 ใส่เป็นชุดทำงาน ชุดอยู่บ้าน หรือแม้แต่ใส่เป็นชุดนอน เราหยิบมาทำเพราะมันดูสบาย ใส่ง่าย ขณะเดียวกันก็พยายามใส่สีเอิร์ทโทนลงไปให้ดูสบายตา ไม่แข็งเกินไป ตั้งใจทำเสื้อผ้าผู้ชายให้ผู้ชายใส่ แต่เวลามองมาแล้วมีความ feminine touch อ่อนละมุน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้ชายคงไม่กล้าใส่เสื้อผ้าโทนสีครีม เพราะกลัวจะดูหวานจนเกินไป สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชายที่เข้าใจตัวเองและกล้าก้าวออกมาจากกรอบเหล่านี้ เขามักจะเป็นคนที่ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เรารู้สึกว่าผู้ชายควรจะใส่เสื้อผ้าสีอะไรก็ได้ที่อยากใส่

แล้วคุณทำยังไงให้คนกล้าใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้

เราให้ภาพเล่าเรื่อง สร้างบรรยากาศที่เกี่ยวกับศิลปะและงานดีไซน์ให้ลูกค้าเห็นคอนเซปต์ บวกกับภาพถ่ายที่ทำให้เสื้อผ้าดูน่าใส่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ส่วนคอลเลกชั่นที่สอง เราได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายทหารยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มาทำให้ดูใส่ง่ายขึ้น เหมาะกับอากาศบ้านเรา

การทำแบรนด์ Officiel Beau ทำให้คุณต้องเรียนรู้ทักษะอะไรใหม่ๆ บ้าง

เรียนรู้ใหม่หมดเลย ตอนเป็นวิศวกรเราทำงานภายใต้แรงกดดันเพราะมูลค่างานค่อนข้างเยอะ ขณะที่งานเซลส์และมาร์เก็ตติ้ง เราถนัดเรื่องการสื่อสารกับคนหลากหลายระดับตั้งแต่คนงานไปจนผู้บริหารระดับสูง ต้องวางตัว ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สำหรับเสื้อผ้ายากมาก การทำโปรดักต์คือสิ่งใหม่สำหรับเรา อีกคนที่ต้องขอบคุณมากๆ คือพี่โหน่ง–บัณฑิต รัศมีโรจน์ ที่มาช่วยดูและให้คำปรึกษาเรื่องวัสดุและการตัดเย็บ เพราะเรื่องผ้าจะดูแค่ภายนอกไม่ได้ บางทีตัดออกมาดูสวยแต่ใส่แล้วอาจจะรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง

หลังจากเปิดตัวแบรนด์ ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นยังไง

ดีกว่าที่คิดมาก สิ่งที่ชุ่มชื่นหัวใจที่สุดคือ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นลูกค้าเดิมที่กลับมาซื้อซ้ำ แล้วก็ซื้อเยอะมากๆ และส่วนใหญ่จะมาขอบคุณที่เราทำเสื้อผ้า ทำให้เขามั่นใจในตัวเอง เสริมบุคลิกภาพเขา และไม่คิดมาก่อนว่าเสื้อผ้าเรียบๆ ที่ใส่สบายจะทำให้เขาได้รู้สึกเป็นตัวเองขนาดนี้

ที่คุณบอกว่าไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่การที่คุณชอบใส่เสื้อผ้าโทนสีอ่อนแบบนี้มันเรียกร้องสายตาคนที่มองมาแน่นอน คุณรับมือกับสายตาที่มองมาเหล่านั้นยังไง

ถ้าบอกว่าไม่แคร์สายตาคนอื่นเลยก็คงจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ผมต้องยอมรับตรงๆ ว่า ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เพราะเรารู้ตัวว่าเราแต่งตัวเพื่อตัวเองไม่ได้แต่งตัวเพื่อให้คนอื่นสนใจ เสื้อผ้าที่ใส่ทำหน้าที่ปกปิดร่างกาย แต่สไตล์คือตัวตนเราข้างใน การที่คนทักว่าเราแต่งตัวแบบไหนมันก็แค่เรื่องภายนอก ถ้าได้พูดคุยเรียนรู้กันเขาจะไม่มีคำถามเลยว่าทำไมเราถึงแต่งตัวแบบนี้ 

ผมโดนว่าประจำว่าแต่งตัวแก่มาก ซึ่งถ้าเราเป็นคนไม่มี self-esteem เราก็จะกลายเป็นคนสูญเสียความมั่นใจ แล้วพลิ้วไหวกับทุกเรื่อง กับทุกเทรนด์ กลายเป็นคนที่เปลี่ยนไปตามคนอื่นเรื่อยๆ ทำไมเราถึงไม่พยายามหาตัวเองให้เจอ แล้วก็เป็นตัวเองที่เรียบง่ายที่สุด จะอีก 10 ปี 20 ปี ก็ยังแต่งตัวแบบเดิมอยู่ 

Youniform – Boat Sirichai Wipattanaporn

ชื่อ : สิริชัย วิพัฒนพร
ตำแหน่ง : ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ที่ทำงาน : Hilti (Thailand)

ตามไปดูเสื้อผ้าลุคทำงาน ลุคที่ให้แรงบันดาลใจ และลุคที่เป็นตัวเองที่สุด

ลุคแรกเป็นลุคที่โบ๊ทมีความเชื่อมโยงกับตอนทำงานเป็นวิศวกร

“ด้วยงานที่ทำจำเป็นต้องแต่งตัวแบบ business man เสื้อเชิ้ตขาว ผูกเน็กไท กางเกงสแล็ก นอกนั้นก็มีชุดตอนทำงานที่ไซต์งานอันนั้นคือชุดหมีเลย ไม่ค่อยแฟชั่นเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่ไปออกไซต์เจอคนงานใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อ western ลายสกอตที่คนชอบเรียกเสื้อตัดอ้อย ใส่กับกางเกงยีนส์ สำหรับเราแล้วเขาดูเท่มากๆ ผสมกับเสื้อผ้าสไตล์ทหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเสื้อทหารคือเสื้อลายพราง จริงๆ ทหารสมัยสงครามโลกมีชุดที่เนี้ยบสีกากีทั้งตัว เราก็ทำไม่ให้มันดูแมนจนเกินไป และถ้าสังเกตจะเห็นว่าลุค Officiel Beau ส่วนใหญ่จะเป็น tone on tone  ขาวบนขาว กรมบนกรม ครีมบนครีม ดำบนดำ ซึ่งจะทำให้แต่งตัวได้ง่ายขึ้น”

เพื่อให้เห็นภาพว่าลุคนี้เป็นยังไง เราขอให้โบ๊ทแบ่งปันเคล็ดลับการแต่งตัวเสริมบุคลิกภาพที่คุณผู้ชายนำไปแต่งตัวตามได้ดังนี้

“ผมคิดว่าผู้ชายมีบอดี้ที่เซ็กซี่อยู่แล้ว เสริมได้ด้วยการแต่งตัวให้มีซิลูเอต อย่างการใส่กางเกงที่เอวสูงประมาณช่วงสะดือมันจะทำให้ดูมีเอวและไหล่ที่ชัดขึ้น ไหล่จะดูสวยขึ้น และบอดี้ก็จะดูเซ็กซี่ขึ้น ช่วงขาจะดูยาว ซึ่งการสอดเสื้อใส่ข้างในกางเกง หลายคนกลัวว่าจะดูตลก ดูแก่ แต่มันช่วยให้ดูหุ่นดีขึ้นได้นะ และผมรู้สึกมันคือเสน่ห์อย่างนึง เวลาเห็นคนมีอายุใส่แบบนี้ แม้แต่ใส่กางเกงขาสั้นเขาก็ยังเอาเสื้อสอดเข้าข้างใน ใส่กางเกงเอวสูง มันดู French มาก น่ารักดี”

ลุคที่สองเป็นลุคที่โบ๊ทอยากให้คนกล้าใส่เสื้อลินินกันมากขึ้น 

“คนส่วนใหญ่มองว่าเสื้อลินินเหมาะกับคนมีอายุใส่ สำหรับผมสัมผัสของมันให้ความรู้สึกว่าเราได้ออกไปเที่ยวแค่นั้นเลย แรงบันดาลใจมาจากทหารยุค 1950 ที่ในเวลาราชการเขาจะใส่เสื้อกล้ามใต้ชุดเครื่องแบบ แต่นอกเวลางานเขาแค่ถอดเครื่องแบบแล้วหยิบเสื้อลินินมาสวมทับแล้วออกไปนั่งที่บาร์หรือริมทะเล โดยที่ไม่หลงลืม discipline หรือวินัยที่มียังคงสอดเสื้อกล้ามในกางเกง ขณะเดียวกันความนุ่มนวลของเสื้อลินินทำให้เขาได้มีเวลาที่ผ่อนคลายไปด้วย”

ความสนุกของการแต่งตัวลุคนี้ โบ๊ทแนะนำว่า ควรจะมีจุดนำสายตาคือตำแหน่งของขอบเอว เพื่อให้เห็นช่วงขาที่ยาว “ลองปรับจากเสื้อพอดีตัวมาเป็นเสื้อหลวมนิดนึงเพื่อให้วัสดุของเสื้อผ้าได้ทำงานอย่างเต็มที่ มีน้ำหนักขึ้น มีพื้นที่มากขึ้น ไม่ต่างจากการใส่เสื้อสูทหรือทักซิโด้ที่ควรจะใส่ให้หลวมเล็กน้อย”

ปิดท้ายด้วย ลุคสุดท้ายที่โบ๊ทเป็นตัวเองที่สุด 

“ผมชอบเสื้อยืดขาวมาก หลักการเลือกเสื้อยืดคือ ไม่จำเป็นต้องมีไซส์เดียวเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงเอวสูงทรงหลวมนิดนึง ทำให้เกิดความ contrast มันจะดูสบายตาขึ้น ในทางกลับกันถ้าข้างบนใส่เสื้อตัวเล็ก ข้างล่างก็ใส่กางเกงค่อนข้างเล็ก สำหรับผมอาจจะทำให้ดูอึดอัดไปนิดนึง”

Writer

บรรณาธิการ ผู้หลงใหลการเล่าเรื่องธุรกิจ ใช้เวลางานตีสนิทแบรนด์ไทย นอกเวลางานเป็นนักธุรกิจออนไลน์ฝึกหัด จริงจังจนได้ดิบได้ดีในวงการห้องลองเสื้อ

Photographer

ชีวิตต้องมีสีสัน

You Might Also Like